ภาษีพระ ของจริง หรือ สร้างกระแส!!

กระทู้สนทนา
ขอย้ำ!!!  อย่าหลงประเด็น เรื่องภาษีพระ

ต้องอ่านข่าวดูให้ดีๆก่อนนะครับ ภาษีพระไม่ใช่ประเด็นที่ สปช.จะทำนะครับ
เพียงแต่พระบางกลุ่มนำมาเป็นประเด็น จุดกระแสต่อต้านคณะ สปช.เท่านั้นเอง


ข่าวจาก มติชน
วันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ดับร้อน "วงการผ้าเหลือง” ‘ไพบูลย์ นิติตะวัน’ ลั่น ไม่เห็นด้วยเก็บภาษีพระ

มติชนออนไลน์ ได้สัมภาษณ์ นายไพบูลย์ นิติตะวัน ประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์พระพุทธศาสนา ในฐานะผู้เกี่ยวข้องโดยตรง ได้ปฏิเสธข้อเสนอเหล่านั้นว่าไม่ได้มาจากคณะกรรมการฯ เป็นเพียงความเห็นของกรรมการบางท่านเท่านั้น

นายไพบูลย์ กล่าวว่า คณะกรรมการไม่เห็นด้วยกับการจัดเก็บภาษีพระ เพื่อไม่ให้เป็นการรับรองให้พระภิกษุไปเป็นนักธุรกิจ ไปเป็นแสวงหาผลประโยชน์ได้ ในกรณีที่มีรายได้ก็ทำการเสียภาษี ในกรณีที่มีรายได้เกิน 20,000 บาท/เดือน ซึ่งขัดต่อพระวินัย ที่ต้องละเลิกศซึ่งกิเลส และเห็นเงินเป็นอสรพิษ จึงคัดค้านการจัดเก็บภาษีพระสงฆ์ แต่ฝากไปยังภิกษุบางรูปที่บิดเบือนว่าเป็นความเห็นของคณะกรรมการฯทั้งหมด และการโยกย้ายเจ้าอาวาสทุก 5 ปี ก็เป็นเพียงความเห็นของที่ประชุม ก็ขัดแย้งต่อความเห็นของคระกรรมการฯ ที่เห็นว่าภิกษุที่เป็นเจ้าอาวาส จะต้องแต่งตั้งโยกย้ายไม่ใช่ให้สังฆาธิการ เจ้าคณะจังหวัด สั่งย้ายได้ตามอำเภอใจ แต่ต้องคำนึงถึงคณะภิกษุสงฆ์ที่อยู่ในวัดและชุมนุมชนในนั้นๆ ให้ความเห็นชอบร่วมด้วย ตามพระธรรมวินัย และขอให้ภิกษุที่ออกมาบิดเบือนยุติการกระทำดังกล่าว


ส่วนเรื่องที่คณะกรรมการปฏิรูปเสนอไป 4 ข้อ ทั้งการจัดการศาสนสมบัติของวัดและของพระภิกษุสงฆ์ ที่ต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ การกระจายอำนาจของการปกครองของสงฆ์ กลไกในการตรวจสอบว่าสิ่งใดขัดพระธรรมวินัยหรือไม่ และเรื่องการศึกษา กลับไม่มาทักท้วงเรื่องเหล่านี้ แต่กลับใช้เรื่องอื่นๆมาโจมตีคณะกรรมาการฯ ตนเชื่อว่ามีภิกษุบางกลุ่มไม่ต้องการให้มีการปฏิรูป

ขณะที่เรื่องการตรวจสอบรายได้ของวัดทุกขนาดที่คณะกรรมการฯต้องการให้มีความโปร่งใสตรวจสอบได้ขณะนี้มีการจัดส่งรายละเอียดเปิดเผยต่อสาธารณะอย่างไรนั้น นายไพบูลย์ เห็นว่า มีการนำส่งให้แกสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นการทำบัญชีแบบง่าย หละหลวม ถือเป็นบัญชีระดับประถม ซึ่งไม่สามารถใช้ได้ ซึ่งจะต้องทำให้เป็นไปตามมาตราฐานการตรวจลงบัญชี มีผู้ตรวจสอบบัญชีที่ได้รับอนุญาตตรวจสอบ และส่งไปยังสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ในลักษณะเหมือนมูลนิธิ-สมาคม เราก็จะทราบว่าว่าใดมีรายได้มากหรือน้อย จะได้ช่วยเหลือหรือไม่ช่วยเหลือวัดใด และเพื่อช่วยเหลือวัดที่รายจ่ายมากว่ารายรับ และทราบทั้งระบบของกิจการพระพุทธศาสนา เพื่อทะนุบำรุงได้ถูกต้อง แต่ที่ไม่อยากให้เปิดเผยเพราะผลประโยชน์มีอยู่มากในวัดแต่ละวัด ก็เลยอ้างว่าได้รายงานแล้ว ซึ่งตรวจสอบไม่ได้ มีแค่บางวัดที่ส่งรายงาน มีเพียงพันกว่าวัดที่ส่ง จาก30,000 วัด

การเปิดเผยบัญชีของภิกษุ โดยเฉพาะพระสังฆาธิการหรือพระสงฆ์ชั้นปกครองเป็นสิ่งจำเป็นที่มีกว่า 40,000 รูป ส่วน ส่วนพระภิกษุกว่าอีก 300,000 รูป ไม่ได้มีปัญหา เพื่อแสดงความโปร่งใส ว่าไม่ได้รับสิ่งใดที่มีปัญหา อีกทั้งพระสังฆาธิการเป็นเจ้าพนักงานในประมวลกฎหมายอาญา ถือเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ การรับทรัพย์สินใดๆ ทำจรรยาต่างๆ เงินทำบุญ ต้องรับไม่เกิน 3,000 บาท หากเกินจะผิดกฎหมายของป.ป.ช. หากเกิน 3,000 บาท ต้องบริจาคให้นามวัด และวัดก็ทำบัญชีให้โปร่งใส ตรวจสอบได้ ว่ามาจากภิกษุรูปใด แต่ตนเชื่อว่ามีปกระบวนการกลไกไม่ต้องการปฏิรูปเพราะเป็นเรื่องของผลประโยชน์จำนวนมาก

ที่วัดต้องปรับตัวมาเล่นบทที่เรียกว่า“พุทธพาณิชย์”มากขึ้น เพื่อความอยู่รอด ในการใช้พลังศรัทธาหารายได้ แต่ในบางกรณีที่นำรายได้ไปใช้ในสาธารณประโยชน์ เช่น สร้างโรงเรียน โรงพยาบาล หรือบทบาทของสงฆ์ไทยจะเปลี่ยนไปตามบริบทสังคม แต่อีกมุมพระก็ไม่ควรจะยุ่งกับเรื่องเงิน เราจะทำอย้างไรให้เกิดความสมดุลให้ไปด้วยกันได้ทั้ง 2 ด้าน
ก็ต้องมีกลไก ให้มีการจัดการที่โปร่งใส เช่น การลงบัญชีให้เรียบร้อยทุกๆปี และเสนอเปิดเผยต่อสาธารณะ หากทำได้ก็จะได้พลังศรัทธาช่วยวัดที่มีปัญหา วัดที่ร่ำรวยก็เอาเงินไปช่วยวัดที่ยากจน เปิดเผยโปร่งใส ตรวจสอบ ในส่วนภิกษุแต่ละรูปถ้าไม่ยึดเป็นของตน ถ้ามีผู้ถวายหากรับไว้ พระพุทธองค์ก็บัญญัติให้เป็นของคณะสงฆ์ คำครหาก็จะไม่เกิด บางวัดเอาเงินไปสร้างประโยชน์สาธารณะ มีใครยืนยันได้ว่าเอาไปสร้างหมด ไม่ใช่เอาไปวัดครึ่ง-กรรมการครึ่ง ก็จะเป็นที่เครือบแคลงสงสัยของพุทธศาสนิกชน

ส่วนเรื่องโมเดลในการตรวจสอบบัญชีนั้น   ให้มีการลงบัญชีตามมาตราฐานบัญชี มีผู้ตรวจสอบบัญชีที่ได้รับอนุญาตตรวจสอบรับรองงบ และส่งไปยังสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อเผยแพร่ต่อสาธารณะ ในลักษณะเหมือนมูลนิธิ-สมาคม โดยเริ่มจากพระสังฆาธิการตั้งแต่กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล เจ้าอาวาสทั้งหมด เพียงแค่นี้ก่อน ในฐานะสงฆ์ฝ่ายปกครอง เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก้ภิกษุที่เหลือกว่า 2 แสนกว่าคน ให้ปฏิบัติตตาม

ในส่วนของผู้เห็นช่องทาง ใช้พลังศรัทธาในการหารายได้ จะควบคุมอย่างไรในระยะยาว นายไพบูลย์เห็นว่า เมื่อพบว่าใครกระทำผิด นำศาสนามาทำมาหากิน ก็ใช้กฎหมายบ้านเมืองดำเนินการ ต้องเริ่มจาก การเปิดเผย โปร่งใส ตรวจสอบได้ ตามลำดับ ใครผิดก็ให้ไปเอาผิดตามกฎหมายต่อไป ทุกอย่างก็จะเข้าที่

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1432633698
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่