........ไผว่าอีสานแล้ง สิจูงแขนเพิ่นไปเบิ่ง น้ำของไหลอยู่จ้นๆ มันสิแล้งบ่อนจั่งได๋ ... ไผว่าเมืองอีสานฮ้าง สิจูงแขนเพิ่นไปเบิ่ง วัฒนธรรมยังโจ้โก้ มันสิฮ้างบ่อนจั่งได๋ ... ไผว่าอีสานเศร้า สิจูงแขนเพิ่นไปเบิ่ง เสียงแคนดังจ้นๆ เสียงพิณห่าวโดดโด่ง มันสิเศร้าบ่อนจั่งได๋..........(ขอบคุณเจ้าของกลอนนี้นะคะแต่งได้ซึ้งกินใจมาก)
.
.
.สภาพของคนอีสานในแอ่งสกลนคร มีเทือกเขาภูพานกั้นแบ่งเขตกับแอ่งโคราช (อันนี้ใครก็รู้เนาะ 555)
#กล้องที่ใช้คือกล้องจากโทรศัพท์ Dtac TriNet Phone (บางคนคงคิดว่ามันมีด้วยหรอยี่ห้อนี้) ซึ่งความคมชัดก็ไม่ดีงามอะไรมาก เป็นธรรมชาติของธรรมชาตินั่นแหละค่ะ
ศ.26.4.58
....เริ่มเดินทางจากขอนแก่นไปทางจังหวัดสกลนครผ่าน สารคาม (เชียงยืน) กาฬสินธ์ และ
สถานที่แรกของเราคือ อุทยานแห่งชาติภูพาน (พื้นที่ที่เคยเป็นสีแดง มีคำศัพท์ที่เกี่ยวข้อง เช่น เสรีไทย เสรีลาว และอื่นๆ) อุทยานแห่งชาติภูพาน
หมุดอุทยาน บอกพิกัดและเขตของอุทยาน
ผานางเมิน จุดชมวิวห่างจากอุทยานประมาณ 45 นาที แต่จะพบกับเรื่องราวต่างๆมากมายจากที่แห่งนี้
ป่าไม้คือปอด

มะค่าโม่ง ของเล่นของเด็กๆ ที่ชอบเเกล้งเพื่อน แล้วก็จะโตนเพื่อนตบบบบบ 555

ความมหัศจรรย์ของกาลเวลา หินสองส่วนนี้มันเคยเป็นก้อนเดียวกันแต่

หินส่วนที่แยกออกมากำลังจะตกลงไปข้างล่าง ในอีกหลายปีข้างหน้า ...ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน
สิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น จากฝีมือมนุษย์ ...เห็นรอยกระสุนที่หัวมันใช่ไหม?
จากอุทยานแห่งชาติภูพานเราได้พบเห็นความพยายามในการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่า ขณะเดียวกันเราก็เห็นว่าชาวบ้านก็ยังมีความจำเป็นที่ต้องใช้พื้นที่ป่า อาหาร และสัตว์บางชนิด เพราะพวกเขาเติมโตมาด้วยการพึ่งพาอาศัยป่า ความผิดเกี่ยวกับป่าไม้จึงเกิดขึ้นกับชาวบ้าน .....เรียนรู้ที่จะเข้าใจ บางทีก็อาจจะดีกว่าไปตัดสินโดยไม่รู้ ไม่เข้าใจอะไรเลย ส่วนถูกผิดก็ว่ากันไป
หลังจากนั้นเราก็เดินทางไปจ.สกลนคร เพื่อเป้าหมายต่อไป พระราชวัง(อะไรเอ่ย? ทบทวนความรู้ทั่วไป) แต่เราไม่แวะพระราชวังค่ะ ผ่านโค้งปิ้งงูเราก็เริ่มเวียนหัวหายา หาขนมกินแก้เมา บนภูพานก็จะพบเห็นชมชนอยู่เรื่อยๆ แต่จะถูกกำหนดให้อยู่เฉพาะฝั่งขวาของถนน (ใช้ทิศที่เราเดินทางไปสกล) ถนนที่เราเดินทางจะไม่สามารถขยายได้อีกเพราะเป็นเขตอุทยาน
แล้วก็เข้าสู่เขตเมืองสกลนคร ซึ่งเป็นเมืองเก่าแก่ที่เจริญไม่แพ้เมืองอื่นๆ

ซึ่งในเมืองสกลนี้ก็จะมีพระธาตุคู่บ้านคู่เมือง ก็คือ

พระธาตุเชิงชุมวรวิหาร ตั้งอยู่ที่ริมหนองหาร อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร จะมีงานมนัสการพระธาตุประจำปี เริ่มตั้งแต่วันขึ้น 11 ค่ำ ถึง 15 ค่ำ เดือนยี่ และมีหลาวงพ่อพระองค์แสงเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองสกลนคร

ด้านข้างองค์พระธาตุเมื่อเดินมาเรื่อยๆ ก็จะพบกับการทำบุญถาวยสังฆทานตามแต่จิตศรัทธาของเรา แม้ฐานะจะยากไร้ แต่จิตใจไม่เคยจน นี่แหละคนบ้านเฮา ทำบุญอย่าได้คิดมาก คิดว่าได้ทำแล้วก็ดีแล้ว

รูปทรงแบบนี้ ได้รับอิทธิพลมาจากไหนน๊าาา
สำหรับพระธาตุเชิงชุมนั้น ตั้งอยู่ลานกว้งภายในวัดซึ่งเวลากลางวันพื้นกระเบื้องร้อนมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ถ้าไม่ใส่ถุงเท้านี่ต้องโดดด้องแด๋งแน่นอน เพราะพรม หรือเสื่อที่ปูให้คนนั่งเคารพกราบองค์พระธาตุนั้นสามารถนั่งแต่ไม่ถึง 10 คน แต่คนที่ไปทั้งคณะเรา คณะเขา มากมาย
และการเดินทางต่อไปนั้นก็คือเดินทางไปจังหวัดนครพนม มีอะไรที่นครพนม?
....มีความศรัทธา ที่ใช้ในการสร้างสรรค์สิ่งที่ทรงคุณค่า ของเราชาวลาว-อีสาน หากย้อนอดีตไปถามคนเฒ่าคนแก่ในว่าเหตุใดจึงอยากไปพระธาตุพนม ก็คงจะได้คำตอบว่า "กะอยากไปเบิ่ง อยากไปกราบ" แล้วสมัยก่อนไปยังไง เดินสิคะ รถสาธารณะก็มีเล็กน้อย แต่ศรัทธานั้นก็ทำให้คนไปถึงเป้าหมายได้
...การไปครั้งนี้เป็นครั้งแรก และรู้สึกถึงความงดงามและยิ่งใหญ่ของพระธาตุที่มองเห็นมาแต่ไกล

งมงาย หรือศรัทธา ก็เรื่องของเขา...เราไม่ต้องไปคิดให้ลำบากหรอกเนาะ แต่ก็ไม่ใช่คิดถึงแต่เรื่องของตัวเอง

ตอนบ่าย แดดก็ยังคงร้อน การถอดรองเท้าขึ้นไปไหว้นั้นก็สุดแสนจะทรมาน ....แต่ทุกคนก็ทำได้!!

หากมีเวลา ก็เข้ามาเยี่ยมชมได้ ซึ่งเราก็จะได้เห็นพัฒนาการขององค์พระธาตุพนมที่ "ยิ่งพัง ยิ่งสูงใหญ่" ศูนย์นี้จะอยู่ด้านนอกกำแพงพระธาตุ ใกล้กับร้านค้าต่างๆ ทั้งเสื้อผ้า ของที่ระลึกและอาหารรอให้นักท่องเที่ยวและผู้มีจิตศรัทธาได้เข้าไปเยี่ยมชมและกระตุ้นเศรษฐกิจของชาติ
หลังจากไหว้พระธาตุพนมเสร็จแล้ว ก็เดินทางไปยังเมืองนครพนมเพื่อพักผ่อนค่ะ ระหว่างทางรถก็จะวิ่งริมแต่น้ำโขง ถนนหลวงหมายเลข 212 (หนองคาย-อุบล) บรรยากาศโดยรอบดี มีการทำนาปรัง สินค้าข้างทางมีลิ้นจี่ด้วย แต่ไม่รู้ว่าเขาปลูกที่ไหน อาจารย์บอกว่า การจะดูว่าชุมชนเขามีสินค้าอะไรให้ดูที่สินค้าพื้นเมือง และสินค้าพื้นเมืองบางส่วนก็คือของที่วางขายอย่างเรียบง่ายข้างถนนที่เราได้เห็นกัน
และแล้วประมาณ17.16 น. เราก็เข้าถึงเมืองนครพนม เมืองริมแม่น้ำโขงติดกับเมืองท่าแขก แขวงคำม่วน ของสปป.ลาว โดยมีสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 3 อันสวยงามเป็นตัวเชื่อมโยงพี่น้องสองฝั่งโขง
และที่พักของเราก็คือ

กว่าจะจัดการอะไรให้เรียบร้อยก็มืดแล้ว จึงไม่ได้เห็นสภาพตอนกลางวัน ที่ฝังลาวมีภูเขาหินปูนที่สลับซับซ้อนสวยงาม ทอดยาวจากเทือกเขาอันนัม ซึ่งลักษณะภูเขาของอีสานกับลาวนั้นก็คล้ายกัน เพียงแต่อยู่คนละยุคสมัย นครพนม หมายความว่า นครแห่งภูเขา แต่ปัจจุบันมีภูเขาเพียงลูกเดียวคือ "ภูลังกา" นั่นเพราะว่า นครพนมในอดีตก่อนมีการแบ่งเขตประเทศก็รวมเอาภูเขาทั้งหลายของลาวเข้ามาด้วยนั่นเอง
เนื่องจากวันที่เราไปคือวันศุกร์ โชคดีมากที่มีถนนคนเดินนครพนม บริเวณหอนาฬิกา (ชาวเวียตนามสร้างไว้เป็นอนุสรณ์ คราวย้ายกลับปิตุภูมิ 2503) ริมแม่น้ำโขง เราก็เลยได้ออกหากินกันแล้ววววววว 555

จากโรงแรม เดินไปไม่ถึง 10นาทีก็ถึง แต่ทางโรงแรมก็มีจักรยาน และจักรยานยนต์ให้เช่นด้วยนะคะ ถ้าเดินไม่ไหวหรืออยากไปเที่ยวไกลๆ ราคาไม่แพง

ร้านขนมจีนและแหนมคลุก นั่งกินรับลมเย็นๆริมฝั่งโขง หลังปั่นวิจัยมาสองเดือนกว่าเครียดมาก ชีวิตที่นี่ดีมากค่ะ บรรยากาสยามค่ำคืนแรกๆก็ดีค่ะ เพราะรอบๆมีวัดกลาง มีหลวงพ่อองค์ตื้อที่ชาวนครพนมเคารพ ข้างวัดเป็นศาลเจ้า ตรงข้ามวัดเป็นลานกิจกรรมให้เยาวชนได้แสดงออก เรียกได้ว่า ทุกสิ่งผสมกลมกลืนกันอย่างลงตัว

แต่ใกล้สองทุ่ม มวลมหาแมลงชีปะขาว ปินขึ้นจากแม่น้ำโขงจ้าาาาาาาา เมืองนครพนมเริ่มมืดลงเรื่อยๆ (ปิดไฟไล่มัน)

เยอะจนเดินไปไหนไม่สะดวก สุดท้ายเลยกลับไม่นอนที่โรงเเรมค่ะ
ส.25.4.58 ออกเดินทางจากเมืองนครพนมสู่ แหล่งผจญภัยในหน้าร้อนของเรา

ออกเดินทางขึ้นไปจากฝั่งจังหวัดนครพนม เป้าหมายแรกคือไปรองค์พระธาตุ

ต้นอะไรเอ่ย ? นักบุญแห่งป่า นักฆ่าเลือดเย็น

กินได้นะ แต่ต้องระวัง เจ้าหน้าที่อุทยานบอก

ไผที่อุทยานแห่งนี้มีมากถึง 4ชนิด บางชนิดจะออกดอกแล้วตาย (ุหลายสิบปีจึงจะออกดอก) ในดอกมีเมล็ดที่จะเติบโตขึ้นใหม่

ถึงแล้ววระยะทาง1ใน5ของเป้าหมาย

ถึงแล้วว จุดนี้ใช้สันบันน้ำแบ่งเขตนครพนมกับบึงกาฬ

เราจะมองเห็แม่น้ำโขงทางฝั่งนครพนมและบึงโขงหลงทางบึงกาฬได้ สวยงามหายเหนื่อย

เดินทางลงมาทางฝั่งบึงกาฬ ทางนี้จะเป็นหน้าผา อุทยานจำจำบันไดให้ ความชันก็ประมาณ 80-89องศาค่ะ ซึ่งทรมานมากร้องก็มากด้วย แตก็คุ้มที่เราได้ขึ้นไปไหว้ แล้วรับประทานอาหารจากนั้นระหว่างทางลงก็เก็บขยะที่เจอลงมาด้วย

ภาพรวมของภูลังกาจะเป็นหินทรายตามแบบฉบับของภาคอีสาน ลักษณะเกลี้ยงเนื้องจากกระแสลมกระแสน้ำฝนหลายล้านปีคอยปรับปสภาพ
แต่บางส่วนก็ยังพบทางน้ำไหลบนหินทราย และพบการแตกหักของหินขนาดใหญ่แต่ละก้อน

ถึงแล้าค้าาา เกือบตาย ระหว่าทางเจอเด็กประมาณป.3วิ่งขึ้นจากฝั่งนี้ เอ้าเด็กมาจากไหน? ซีกพัก เจอคุณยาย มาจากกำแพงเพชร อายุประมาณ 50-60ปี ถือได้ค้ำที่เก็บมาระหว่างทาง เดินขึ้นมาพร้อมครอบครัว โอ๊วววคุณยายยย เก่งมากค่ะ ท่านถามว่าอีกไกลไหม อยากมาไหว้ เลยบอกท่านว่าอีกไม่ไกลค่ะ สู้ๆ ไม่รู้จะช่วยยังไงจริงๆประทับใจในความอยากของท่าน ไม่เท่านั้นยังทำให้ลูกหลานของท่านได้มีโอกาสมากราบไหว้พระธาตุด้วยกันอีกด้วย
ส่วนเรื่องตำนานพระธาตุก็น่าจะมีอยู่ทั่วไปนะคะ สร้างจากศรัทธา
ด้านล่างก็จะมีไร่สวนของชาวบ้าน เดินทางไปอีกประมาณ 1 กม.ก็จะถึงวัด มีแต่ห้องน้ำพระ อ้อ บนภูลังกาไม่มีห้องน้ำที่ใช้ได้นะคะ อดเอา
จากนั้นเราก็มาพักผ่อนหลังจากปีนภูมาทั้งวัน 09.00-15.กว่าๆ ที่นี่ค่ะ

บึงโขงหลง บึงน้ำจืดขนาดใหญ่ที่บางตำราว่าเป็นที่แม่น้ำโขงเคยไหลผ่าน

มีที่ให้นั่งพักรับประทานอาหารนะคะ อาหารก็ดีค่ะ ถึงจะได้ช้า ปลาเผาตัวละ300 แต่ก็ตัวใหญ่ดีอยู่ ส้มตำก็บอกเผ็ดก็เผ็ด บอกหวานก็หวาน อาจเป็นแค่บางร้านหรือบางครก

ลองมาถอดรองเท้าเดินบนทรายแล้วให้คลื่นนวดให้ดูสิคะ มันดีนะ
จากนั้นก็นั่งพักผ่อน เล่นน้ำก็ได้สบาย มีบานานาโบ๊ท ห่วงยาง ให้ค่ะ จากนั้นก็เดินทางเข้าสู่เมืองน้องใหม่ของประเทศ "บึงกาฬ"
เมืองนี้จะยังไม่ค่อยเจริญมากนัก แต่กำลังพัฒนาตัวเองอย่างสุดขีด มีการสร้างสัญลักษณ์ใหม่ๆเช่น ถนนคนเดินบึงกาฬ แต่วันที่ไม่มีถนนคนเดินก็หากินยากหน่อยถ่าจะกินตามสั่งราคาถูก แต่ถ้าจะกินเนื้อย่าง สบายยยยย มีเยอะมากค่ะ ร้านอาหารก็มีแต่ค่อนข้างราคาแพง เมนูปลาแม่น้ำโขงเช่น ปลาบึก ปลาคัง หาได้ทั่งไป และที่พักของเราคืนนี้ก็คือ...
[CR] มหัศจรรย์อีสานตอนบน "ไผว่าอีสานแล้งสิจูงแขนเพิ่นไปเบิ่ง"
.
.
.สภาพของคนอีสานในแอ่งสกลนคร มีเทือกเขาภูพานกั้นแบ่งเขตกับแอ่งโคราช (อันนี้ใครก็รู้เนาะ 555)
#กล้องที่ใช้คือกล้องจากโทรศัพท์ Dtac TriNet Phone (บางคนคงคิดว่ามันมีด้วยหรอยี่ห้อนี้) ซึ่งความคมชัดก็ไม่ดีงามอะไรมาก เป็นธรรมชาติของธรรมชาตินั่นแหละค่ะ
ศ.26.4.58
....เริ่มเดินทางจากขอนแก่นไปทางจังหวัดสกลนครผ่าน สารคาม (เชียงยืน) กาฬสินธ์ และ
สถานที่แรกของเราคือ อุทยานแห่งชาติภูพาน (พื้นที่ที่เคยเป็นสีแดง มีคำศัพท์ที่เกี่ยวข้อง เช่น เสรีไทย เสรีลาว และอื่นๆ) อุทยานแห่งชาติภูพาน
หมุดอุทยาน บอกพิกัดและเขตของอุทยาน
ผานางเมิน จุดชมวิวห่างจากอุทยานประมาณ 45 นาที แต่จะพบกับเรื่องราวต่างๆมากมายจากที่แห่งนี้
ป่าไม้คือปอด
มะค่าโม่ง ของเล่นของเด็กๆ ที่ชอบเเกล้งเพื่อน แล้วก็จะโตนเพื่อนตบบบบบ 555
ความมหัศจรรย์ของกาลเวลา หินสองส่วนนี้มันเคยเป็นก้อนเดียวกันแต่
หินส่วนที่แยกออกมากำลังจะตกลงไปข้างล่าง ในอีกหลายปีข้างหน้า ...ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน
สิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น จากฝีมือมนุษย์ ...เห็นรอยกระสุนที่หัวมันใช่ไหม?
จากอุทยานแห่งชาติภูพานเราได้พบเห็นความพยายามในการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่า ขณะเดียวกันเราก็เห็นว่าชาวบ้านก็ยังมีความจำเป็นที่ต้องใช้พื้นที่ป่า อาหาร และสัตว์บางชนิด เพราะพวกเขาเติมโตมาด้วยการพึ่งพาอาศัยป่า ความผิดเกี่ยวกับป่าไม้จึงเกิดขึ้นกับชาวบ้าน .....เรียนรู้ที่จะเข้าใจ บางทีก็อาจจะดีกว่าไปตัดสินโดยไม่รู้ ไม่เข้าใจอะไรเลย ส่วนถูกผิดก็ว่ากันไป
หลังจากนั้นเราก็เดินทางไปจ.สกลนคร เพื่อเป้าหมายต่อไป พระราชวัง(อะไรเอ่ย? ทบทวนความรู้ทั่วไป) แต่เราไม่แวะพระราชวังค่ะ ผ่านโค้งปิ้งงูเราก็เริ่มเวียนหัวหายา หาขนมกินแก้เมา บนภูพานก็จะพบเห็นชมชนอยู่เรื่อยๆ แต่จะถูกกำหนดให้อยู่เฉพาะฝั่งขวาของถนน (ใช้ทิศที่เราเดินทางไปสกล) ถนนที่เราเดินทางจะไม่สามารถขยายได้อีกเพราะเป็นเขตอุทยาน
แล้วก็เข้าสู่เขตเมืองสกลนคร ซึ่งเป็นเมืองเก่าแก่ที่เจริญไม่แพ้เมืองอื่นๆ
ซึ่งในเมืองสกลนี้ก็จะมีพระธาตุคู่บ้านคู่เมือง ก็คือ
พระธาตุเชิงชุมวรวิหาร ตั้งอยู่ที่ริมหนองหาร อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร จะมีงานมนัสการพระธาตุประจำปี เริ่มตั้งแต่วันขึ้น 11 ค่ำ ถึง 15 ค่ำ เดือนยี่ และมีหลาวงพ่อพระองค์แสงเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองสกลนคร
ด้านข้างองค์พระธาตุเมื่อเดินมาเรื่อยๆ ก็จะพบกับการทำบุญถาวยสังฆทานตามแต่จิตศรัทธาของเรา แม้ฐานะจะยากไร้ แต่จิตใจไม่เคยจน นี่แหละคนบ้านเฮา ทำบุญอย่าได้คิดมาก คิดว่าได้ทำแล้วก็ดีแล้ว
รูปทรงแบบนี้ ได้รับอิทธิพลมาจากไหนน๊าาา
สำหรับพระธาตุเชิงชุมนั้น ตั้งอยู่ลานกว้งภายในวัดซึ่งเวลากลางวันพื้นกระเบื้องร้อนมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ถ้าไม่ใส่ถุงเท้านี่ต้องโดดด้องแด๋งแน่นอน เพราะพรม หรือเสื่อที่ปูให้คนนั่งเคารพกราบองค์พระธาตุนั้นสามารถนั่งแต่ไม่ถึง 10 คน แต่คนที่ไปทั้งคณะเรา คณะเขา มากมาย
และการเดินทางต่อไปนั้นก็คือเดินทางไปจังหวัดนครพนม มีอะไรที่นครพนม?
....มีความศรัทธา ที่ใช้ในการสร้างสรรค์สิ่งที่ทรงคุณค่า ของเราชาวลาว-อีสาน หากย้อนอดีตไปถามคนเฒ่าคนแก่ในว่าเหตุใดจึงอยากไปพระธาตุพนม ก็คงจะได้คำตอบว่า "กะอยากไปเบิ่ง อยากไปกราบ" แล้วสมัยก่อนไปยังไง เดินสิคะ รถสาธารณะก็มีเล็กน้อย แต่ศรัทธานั้นก็ทำให้คนไปถึงเป้าหมายได้
...การไปครั้งนี้เป็นครั้งแรก และรู้สึกถึงความงดงามและยิ่งใหญ่ของพระธาตุที่มองเห็นมาแต่ไกล
งมงาย หรือศรัทธา ก็เรื่องของเขา...เราไม่ต้องไปคิดให้ลำบากหรอกเนาะ แต่ก็ไม่ใช่คิดถึงแต่เรื่องของตัวเอง
ตอนบ่าย แดดก็ยังคงร้อน การถอดรองเท้าขึ้นไปไหว้นั้นก็สุดแสนจะทรมาน ....แต่ทุกคนก็ทำได้!!
หากมีเวลา ก็เข้ามาเยี่ยมชมได้ ซึ่งเราก็จะได้เห็นพัฒนาการขององค์พระธาตุพนมที่ "ยิ่งพัง ยิ่งสูงใหญ่" ศูนย์นี้จะอยู่ด้านนอกกำแพงพระธาตุ ใกล้กับร้านค้าต่างๆ ทั้งเสื้อผ้า ของที่ระลึกและอาหารรอให้นักท่องเที่ยวและผู้มีจิตศรัทธาได้เข้าไปเยี่ยมชมและกระตุ้นเศรษฐกิจของชาติ
หลังจากไหว้พระธาตุพนมเสร็จแล้ว ก็เดินทางไปยังเมืองนครพนมเพื่อพักผ่อนค่ะ ระหว่างทางรถก็จะวิ่งริมแต่น้ำโขง ถนนหลวงหมายเลข 212 (หนองคาย-อุบล) บรรยากาศโดยรอบดี มีการทำนาปรัง สินค้าข้างทางมีลิ้นจี่ด้วย แต่ไม่รู้ว่าเขาปลูกที่ไหน อาจารย์บอกว่า การจะดูว่าชุมชนเขามีสินค้าอะไรให้ดูที่สินค้าพื้นเมือง และสินค้าพื้นเมืองบางส่วนก็คือของที่วางขายอย่างเรียบง่ายข้างถนนที่เราได้เห็นกัน
และแล้วประมาณ17.16 น. เราก็เข้าถึงเมืองนครพนม เมืองริมแม่น้ำโขงติดกับเมืองท่าแขก แขวงคำม่วน ของสปป.ลาว โดยมีสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 3 อันสวยงามเป็นตัวเชื่อมโยงพี่น้องสองฝั่งโขง
และที่พักของเราก็คือ
กว่าจะจัดการอะไรให้เรียบร้อยก็มืดแล้ว จึงไม่ได้เห็นสภาพตอนกลางวัน ที่ฝังลาวมีภูเขาหินปูนที่สลับซับซ้อนสวยงาม ทอดยาวจากเทือกเขาอันนัม ซึ่งลักษณะภูเขาของอีสานกับลาวนั้นก็คล้ายกัน เพียงแต่อยู่คนละยุคสมัย นครพนม หมายความว่า นครแห่งภูเขา แต่ปัจจุบันมีภูเขาเพียงลูกเดียวคือ "ภูลังกา" นั่นเพราะว่า นครพนมในอดีตก่อนมีการแบ่งเขตประเทศก็รวมเอาภูเขาทั้งหลายของลาวเข้ามาด้วยนั่นเอง
เนื่องจากวันที่เราไปคือวันศุกร์ โชคดีมากที่มีถนนคนเดินนครพนม บริเวณหอนาฬิกา (ชาวเวียตนามสร้างไว้เป็นอนุสรณ์ คราวย้ายกลับปิตุภูมิ 2503) ริมแม่น้ำโขง เราก็เลยได้ออกหากินกันแล้ววววววว 555
จากโรงแรม เดินไปไม่ถึง 10นาทีก็ถึง แต่ทางโรงแรมก็มีจักรยาน และจักรยานยนต์ให้เช่นด้วยนะคะ ถ้าเดินไม่ไหวหรืออยากไปเที่ยวไกลๆ ราคาไม่แพง
ร้านขนมจีนและแหนมคลุก นั่งกินรับลมเย็นๆริมฝั่งโขง หลังปั่นวิจัยมาสองเดือนกว่าเครียดมาก ชีวิตที่นี่ดีมากค่ะ บรรยากาสยามค่ำคืนแรกๆก็ดีค่ะ เพราะรอบๆมีวัดกลาง มีหลวงพ่อองค์ตื้อที่ชาวนครพนมเคารพ ข้างวัดเป็นศาลเจ้า ตรงข้ามวัดเป็นลานกิจกรรมให้เยาวชนได้แสดงออก เรียกได้ว่า ทุกสิ่งผสมกลมกลืนกันอย่างลงตัว
แต่ใกล้สองทุ่ม มวลมหาแมลงชีปะขาว ปินขึ้นจากแม่น้ำโขงจ้าาาาาาาา เมืองนครพนมเริ่มมืดลงเรื่อยๆ (ปิดไฟไล่มัน)
เยอะจนเดินไปไหนไม่สะดวก สุดท้ายเลยกลับไม่นอนที่โรงเเรมค่ะ
ส.25.4.58 ออกเดินทางจากเมืองนครพนมสู่ แหล่งผจญภัยในหน้าร้อนของเรา
ออกเดินทางขึ้นไปจากฝั่งจังหวัดนครพนม เป้าหมายแรกคือไปรองค์พระธาตุ
ต้นอะไรเอ่ย ? นักบุญแห่งป่า นักฆ่าเลือดเย็น
กินได้นะ แต่ต้องระวัง เจ้าหน้าที่อุทยานบอก
ไผที่อุทยานแห่งนี้มีมากถึง 4ชนิด บางชนิดจะออกดอกแล้วตาย (ุหลายสิบปีจึงจะออกดอก) ในดอกมีเมล็ดที่จะเติบโตขึ้นใหม่
ถึงแล้ววระยะทาง1ใน5ของเป้าหมาย
ถึงแล้วว จุดนี้ใช้สันบันน้ำแบ่งเขตนครพนมกับบึงกาฬ
เราจะมองเห็แม่น้ำโขงทางฝั่งนครพนมและบึงโขงหลงทางบึงกาฬได้ สวยงามหายเหนื่อย
เดินทางลงมาทางฝั่งบึงกาฬ ทางนี้จะเป็นหน้าผา อุทยานจำจำบันไดให้ ความชันก็ประมาณ 80-89องศาค่ะ ซึ่งทรมานมากร้องก็มากด้วย แตก็คุ้มที่เราได้ขึ้นไปไหว้ แล้วรับประทานอาหารจากนั้นระหว่างทางลงก็เก็บขยะที่เจอลงมาด้วย
ภาพรวมของภูลังกาจะเป็นหินทรายตามแบบฉบับของภาคอีสาน ลักษณะเกลี้ยงเนื้องจากกระแสลมกระแสน้ำฝนหลายล้านปีคอยปรับปสภาพ
แต่บางส่วนก็ยังพบทางน้ำไหลบนหินทราย และพบการแตกหักของหินขนาดใหญ่แต่ละก้อน
ถึงแล้าค้าาา เกือบตาย ระหว่าทางเจอเด็กประมาณป.3วิ่งขึ้นจากฝั่งนี้ เอ้าเด็กมาจากไหน? ซีกพัก เจอคุณยาย มาจากกำแพงเพชร อายุประมาณ 50-60ปี ถือได้ค้ำที่เก็บมาระหว่างทาง เดินขึ้นมาพร้อมครอบครัว โอ๊วววคุณยายยย เก่งมากค่ะ ท่านถามว่าอีกไกลไหม อยากมาไหว้ เลยบอกท่านว่าอีกไม่ไกลค่ะ สู้ๆ ไม่รู้จะช่วยยังไงจริงๆประทับใจในความอยากของท่าน ไม่เท่านั้นยังทำให้ลูกหลานของท่านได้มีโอกาสมากราบไหว้พระธาตุด้วยกันอีกด้วย
ส่วนเรื่องตำนานพระธาตุก็น่าจะมีอยู่ทั่วไปนะคะ สร้างจากศรัทธา
ด้านล่างก็จะมีไร่สวนของชาวบ้าน เดินทางไปอีกประมาณ 1 กม.ก็จะถึงวัด มีแต่ห้องน้ำพระ อ้อ บนภูลังกาไม่มีห้องน้ำที่ใช้ได้นะคะ อดเอา
จากนั้นเราก็มาพักผ่อนหลังจากปีนภูมาทั้งวัน 09.00-15.กว่าๆ ที่นี่ค่ะ
บึงโขงหลง บึงน้ำจืดขนาดใหญ่ที่บางตำราว่าเป็นที่แม่น้ำโขงเคยไหลผ่าน
มีที่ให้นั่งพักรับประทานอาหารนะคะ อาหารก็ดีค่ะ ถึงจะได้ช้า ปลาเผาตัวละ300 แต่ก็ตัวใหญ่ดีอยู่ ส้มตำก็บอกเผ็ดก็เผ็ด บอกหวานก็หวาน อาจเป็นแค่บางร้านหรือบางครก
ลองมาถอดรองเท้าเดินบนทรายแล้วให้คลื่นนวดให้ดูสิคะ มันดีนะ
จากนั้นก็นั่งพักผ่อน เล่นน้ำก็ได้สบาย มีบานานาโบ๊ท ห่วงยาง ให้ค่ะ จากนั้นก็เดินทางเข้าสู่เมืองน้องใหม่ของประเทศ "บึงกาฬ"
เมืองนี้จะยังไม่ค่อยเจริญมากนัก แต่กำลังพัฒนาตัวเองอย่างสุดขีด มีการสร้างสัญลักษณ์ใหม่ๆเช่น ถนนคนเดินบึงกาฬ แต่วันที่ไม่มีถนนคนเดินก็หากินยากหน่อยถ่าจะกินตามสั่งราคาถูก แต่ถ้าจะกินเนื้อย่าง สบายยยยย มีเยอะมากค่ะ ร้านอาหารก็มีแต่ค่อนข้างราคาแพง เมนูปลาแม่น้ำโขงเช่น ปลาบึก ปลาคัง หาได้ทั่งไป และที่พักของเราคืนนี้ก็คือ...