24/05/2015
วันอาทิตย์ธรรมดาอีกวันหนึ่งที่เข็มนาฬิกาเดินตามปกติ ไม่มีการหยุดนิ่ง เดินย้อนกลับหลัง หรือแม้แต่จะเดินในจังหวะที่ช้าลง
สำหรับตัวผมเอง วันนี้ก็คงเป็นแค่อีกวันทำงานตามปกติถ้าผมไม่รู้จักผู้ชายที่ชื่อ Steven Gerrard และ Liverpool
ย้อนเวลากลับไปเมื่อตอนที่อยู่ประถมหก แม้ตอนนั้นบาสเกตบอลจะกำลังเป็นที่ฮอตฮิตเพราะว่ากระแสของ Slam Dunk กำลังโบกพัดผ่านเด็กวัยรุ่นไทย ผมเองก็เป็นหนึ่งในเด็กผู้ชายที่คลั่งไคล้กีฬายัดห่วง นักกีฬาที่มีชื่อเสียงช่วงนั้นก็ไม่พ้น Micheal Jordan, Scottie Pippen, David Rodman, Steve Kerr, Magic Johnson, Tim Hardaway, Patrick Ewing...และอีกมากมาย แต่ก็มีเพื่อนในกลุ่มหลายคนที่ชอบเตะบอลกันเป็นชีวิตจิตใจ ผมเองก็ออกไปเตะกับเพื่อนๆเหมือนกันแต่ก็ไม่ได้เก่งมาก เตะแป๊กซะเป็นส่วนใหญ่ โชคดีที่เพื่อนๆมันก็ไม่ได้อะไรมาก ก็ปล่อยให้ผมเล่นห่วยๆเป็นตัวถ่วงแบบนั้นไปเรื่อยๆ ขนาดเพื่อนอธิบายกฏล้ำหน้า (offside) ให้ผมฟังผมยังไม่รู้เรื่องเลย
มีบทสนทนาเกิดขึ้นในกลุ่มของพวกเราหลังจากวิ่งเล่นกันจนหนำใจบนม้านั่งหินออ่อนข้างสนามฟุตบอล
"เด็กผี หรือ เด็กหงส์?" เพื่อนผมคนหนึ่งถามขึ้นมา
ผมคิดในใจ "เด็กผี เด็กหงส์ เชี่ยไร"
เพื่อนแต่ละคนก็ค่อยๆพูดขึ้นมาทีละคน "กูเด็กหงส์" "กูเด็กผี" "กูก็ผี" "แต่กูหงส์เว้ย"...
วนไปเรื่อยๆจนมาถึงตาผม ตายห่าละ กูไม่รู้จัก อะไรผี อะไรหงส์ พวกพูดถึงเรื่องอะไรกัน? แต่จะให้มาโชว์โง่ในกลุ่มเพื่อนมันก็น่าอาย จะยกมือถามก็อาจโดนล้อไปจนลูกบวช ผี? หงส์?
"ผี ดูน่ากลัวหว่ะ มันต้องไม่ดีแน่เลย" "อืมมมม...หงส์ ดูดีนะ สง่างาม น่าจะเท่ห์ดี" เด็กน้อยโสภณคิดได้แค่นั้นจริงๆ
"เฮ้ยยยยย....กูก็หงส์เว้ย" ผมพูดออกไปอย่างภูมิใจ โดยไม่รู้ความหมายอะไรสักนิด
...
ใครจะรู้ว่าคำพุดที่ไร้ความหมายสั้นๆนั้นได้ทำให้เด็กผู้ชายคนหนึ่งเป็นสาวกหงส์แดงตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมค่อยๆซึมซับกีฬาที่เรียกว่าฟุตบอลเข้ามาในชีวิต แม้ว่าจะยังเตะบอลไม่ได้เรื่อง แต่รู้สึกชอบดูกีฬาประเภทนี้มากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะวันไหนที่หงส์แดงเตะจะตั้งใจดูเป็นพิเศษ ที่จริงคือพยายามจะจดจำชื่อนักเตะเพื่อไปคุยกับเพื่อนให้รู้เรื่องนั้นแหละ และช่วงนั้นก็จะมีนักเตะดังๆอย่าง Jamie Redknapp, Steve McManaman, (The God) Robbie Fowler, Paul Ince
จนมาถึงวันที่ 29 พฤศจิกายน 1998 หนุ่มน้อยหน้าใสชื่อ Steven Gerrard ได้โอกาสลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรก แม้ว่าจะเป็นแค่จะได้ลงเป็นตัวสำรองในช่วงนาทีสุดท้ายแทน Vegard Heggem ก็ตาม วันนั้นเป็นวันแรกที่โลกของฟุตบอลได้ยินโฆษกกล่าวชื่อของเขาอย่างเป็นทางการครั้งแรก
หลังจากนั้นมาเขาก็ลงเล่นกองกลางคู่กับ Jamie Redknapp (ซึ่ง Gerrard ตอนเป็นเด็กฝึกของสโมสรนั้นเป็นเด็กเช็ดรองเท้าให้ Jamie Redknapp ด้วย) แม้ว่าตอนเริ่มเล่นเทคนิคการผ่านบอลอาจจะไม่ดีมาก แต่นิสัยที่ดุดัน วิ่งไล่บอลอย่างบ้าคลั่ง กล้าได้กล้าเสีย วิ่งเบียดเสียบสะกัดใส่ฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่ยั้ง ทำให้เด็กหนุ่มคนนั้นกลายเป็นขวัญใจของเหล่าเดอะค็อปโดยใช้เวลาเพียงไม่นาน
อาการบาดเจ็บได้เข้ามาข้องแวะตลอด เข้าๆออกๆห้องผ่าตัดเพราะการเล่นที่ทุ่มสุดตัวและหัวใจของตัวเขาเอง แต่ไม่ว่าจะผ่านมีดหมอกลับมากี่ครั้ง เมื่อก้าวขาลงสนาม เท้าแตะหญ้าเมื่อไหร่ ดูเหมือนมีสิ่งเดียวที่ชายคนนี้คิดในหัวคือ "จะทำอะไรเพื่อทีมที่ตัวเองรักได้บ้าง?" เขาเล่นมาแล้วเกือบทุกตำแหน่ง ตั้งแต่กองกลางตัวรุก กลางตัวรับ ปีกสองข้าง แบ็คขวา หน้าต่ำ มีบางครั้งที่กองหลังถูกไล่ออกแล้วตัวเองต้องไปเตะเคลียบอลหน้าประตูก็ทำมาแล้ว เหลืออยู่อย่างเดียวที่ยังไม่ได้เห็นก็น่าจะเป็นผู้รักษาประตู อะไรที่ทำได้ทำหมด เพื่อทีมที่ตัวเองรัก ทุ่มเททุกอย่างไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไง
17 ปี หลังจากวันแรกที่เขาลงสนาม นักเตะคนนี้ทุ่มเททั้งชีวิตให้กับสโมสร แม้ในช่วงเวลาที่กีฬาฟุตบอลได้กลายเป็นธุรกิจมากกว่ากีฬา เขามีโอกาสที่จะได้ไปเล่นให้กับทีมยักษ์ใหญ่ทีมอื่นอย่าง Chelsea หรือ Real Madrid โดยมีถ้วยแชมป์และเงินค่าเหนื่อยที่เพิ่มขึ้นเป็นตัวกระตุ้น แม้จะมีลังเลแต่สุดท้ายเขาก็บอกว่าเขาไม่สามารถทิ้งสโมสรที่เขารักได้ลงขณะเขายังช่วยทีมได้อยู่
แต่ความจริงอย่างหนึ่งบนโลกใบนี้ มีวันเริ่มต้นก็ต้องมีวันจบ วันนี้...วันอาทิตย์ธรรมดาวันนี้ เข็มนาฬิกายังคงเดินตามปกติ ไม่ได้เดินช้าลง ไม่ได้เดินเร็วขึ้น แต่เข็มนาฬิกาของชายที่ชื่อ Steven Gerrard ในฐานะนักเตะของ Liverpool กำลังเดินถอยหลัง อีกแค่ไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ประมาณ 3 ทุ่มคืนนี้เขาจะสวมเสื้อเบอร์ 8 ตัวเก่ง อกเสื้อมีสัญลักษณ์รูปหงส์ ปลอกแขนกัปตัน ลงเตะบอลกับเพื่อนร่วมทีม ให้กับสโมสรที่รัก...เป็นครั้งสุดท้าย
90 นาทีของเกมส์ฟุตบอลวันนี้ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง ผมเชื่อว่าเขาก็ยังคงจะทุ่มเททุกอย่างที่ตัวเองทำได้
วันนี้คงเป็นวันธรรมดาอีกวันหนี่งถ้าวันนั้นผมไม่ได้พูดออกไปว่า "เฮ้ยยยยย....กูก็หงส์เว้ย"
วันนี้คงเป็นวันธรรมดาอีกวันหนึ่งถ้าผมไม่ได้รู้จักชายที่ชื่อ Steven Gerrard
แต่วันที่แสนธรรมดาวันนี้ มันดูเศร้าๆอย่างบอกไม่ถูก
วันธรรมดา
24/05/2015
วันอาทิตย์ธรรมดาอีกวันหนึ่งที่เข็มนาฬิกาเดินตามปกติ ไม่มีการหยุดนิ่ง เดินย้อนกลับหลัง หรือแม้แต่จะเดินในจังหวะที่ช้าลง
สำหรับตัวผมเอง วันนี้ก็คงเป็นแค่อีกวันทำงานตามปกติถ้าผมไม่รู้จักผู้ชายที่ชื่อ Steven Gerrard และ Liverpool
ย้อนเวลากลับไปเมื่อตอนที่อยู่ประถมหก แม้ตอนนั้นบาสเกตบอลจะกำลังเป็นที่ฮอตฮิตเพราะว่ากระแสของ Slam Dunk กำลังโบกพัดผ่านเด็กวัยรุ่นไทย ผมเองก็เป็นหนึ่งในเด็กผู้ชายที่คลั่งไคล้กีฬายัดห่วง นักกีฬาที่มีชื่อเสียงช่วงนั้นก็ไม่พ้น Micheal Jordan, Scottie Pippen, David Rodman, Steve Kerr, Magic Johnson, Tim Hardaway, Patrick Ewing...และอีกมากมาย แต่ก็มีเพื่อนในกลุ่มหลายคนที่ชอบเตะบอลกันเป็นชีวิตจิตใจ ผมเองก็ออกไปเตะกับเพื่อนๆเหมือนกันแต่ก็ไม่ได้เก่งมาก เตะแป๊กซะเป็นส่วนใหญ่ โชคดีที่เพื่อนๆมันก็ไม่ได้อะไรมาก ก็ปล่อยให้ผมเล่นห่วยๆเป็นตัวถ่วงแบบนั้นไปเรื่อยๆ ขนาดเพื่อนอธิบายกฏล้ำหน้า (offside) ให้ผมฟังผมยังไม่รู้เรื่องเลย
มีบทสนทนาเกิดขึ้นในกลุ่มของพวกเราหลังจากวิ่งเล่นกันจนหนำใจบนม้านั่งหินออ่อนข้างสนามฟุตบอล
"เด็กผี หรือ เด็กหงส์?" เพื่อนผมคนหนึ่งถามขึ้นมา
ผมคิดในใจ "เด็กผี เด็กหงส์ เชี่ยไร"
เพื่อนแต่ละคนก็ค่อยๆพูดขึ้นมาทีละคน "กูเด็กหงส์" "กูเด็กผี" "กูก็ผี" "แต่กูหงส์เว้ย"...
วนไปเรื่อยๆจนมาถึงตาผม ตายห่าละ กูไม่รู้จัก อะไรผี อะไรหงส์ พวกพูดถึงเรื่องอะไรกัน? แต่จะให้มาโชว์โง่ในกลุ่มเพื่อนมันก็น่าอาย จะยกมือถามก็อาจโดนล้อไปจนลูกบวช ผี? หงส์?
"ผี ดูน่ากลัวหว่ะ มันต้องไม่ดีแน่เลย" "อืมมมม...หงส์ ดูดีนะ สง่างาม น่าจะเท่ห์ดี" เด็กน้อยโสภณคิดได้แค่นั้นจริงๆ
"เฮ้ยยยยย....กูก็หงส์เว้ย" ผมพูดออกไปอย่างภูมิใจ โดยไม่รู้ความหมายอะไรสักนิด
...
ใครจะรู้ว่าคำพุดที่ไร้ความหมายสั้นๆนั้นได้ทำให้เด็กผู้ชายคนหนึ่งเป็นสาวกหงส์แดงตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมค่อยๆซึมซับกีฬาที่เรียกว่าฟุตบอลเข้ามาในชีวิต แม้ว่าจะยังเตะบอลไม่ได้เรื่อง แต่รู้สึกชอบดูกีฬาประเภทนี้มากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะวันไหนที่หงส์แดงเตะจะตั้งใจดูเป็นพิเศษ ที่จริงคือพยายามจะจดจำชื่อนักเตะเพื่อไปคุยกับเพื่อนให้รู้เรื่องนั้นแหละ และช่วงนั้นก็จะมีนักเตะดังๆอย่าง Jamie Redknapp, Steve McManaman, (The God) Robbie Fowler, Paul Ince
จนมาถึงวันที่ 29 พฤศจิกายน 1998 หนุ่มน้อยหน้าใสชื่อ Steven Gerrard ได้โอกาสลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรก แม้ว่าจะเป็นแค่จะได้ลงเป็นตัวสำรองในช่วงนาทีสุดท้ายแทน Vegard Heggem ก็ตาม วันนั้นเป็นวันแรกที่โลกของฟุตบอลได้ยินโฆษกกล่าวชื่อของเขาอย่างเป็นทางการครั้งแรก
หลังจากนั้นมาเขาก็ลงเล่นกองกลางคู่กับ Jamie Redknapp (ซึ่ง Gerrard ตอนเป็นเด็กฝึกของสโมสรนั้นเป็นเด็กเช็ดรองเท้าให้ Jamie Redknapp ด้วย) แม้ว่าตอนเริ่มเล่นเทคนิคการผ่านบอลอาจจะไม่ดีมาก แต่นิสัยที่ดุดัน วิ่งไล่บอลอย่างบ้าคลั่ง กล้าได้กล้าเสีย วิ่งเบียดเสียบสะกัดใส่ฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่ยั้ง ทำให้เด็กหนุ่มคนนั้นกลายเป็นขวัญใจของเหล่าเดอะค็อปโดยใช้เวลาเพียงไม่นาน
อาการบาดเจ็บได้เข้ามาข้องแวะตลอด เข้าๆออกๆห้องผ่าตัดเพราะการเล่นที่ทุ่มสุดตัวและหัวใจของตัวเขาเอง แต่ไม่ว่าจะผ่านมีดหมอกลับมากี่ครั้ง เมื่อก้าวขาลงสนาม เท้าแตะหญ้าเมื่อไหร่ ดูเหมือนมีสิ่งเดียวที่ชายคนนี้คิดในหัวคือ "จะทำอะไรเพื่อทีมที่ตัวเองรักได้บ้าง?" เขาเล่นมาแล้วเกือบทุกตำแหน่ง ตั้งแต่กองกลางตัวรุก กลางตัวรับ ปีกสองข้าง แบ็คขวา หน้าต่ำ มีบางครั้งที่กองหลังถูกไล่ออกแล้วตัวเองต้องไปเตะเคลียบอลหน้าประตูก็ทำมาแล้ว เหลืออยู่อย่างเดียวที่ยังไม่ได้เห็นก็น่าจะเป็นผู้รักษาประตู อะไรที่ทำได้ทำหมด เพื่อทีมที่ตัวเองรัก ทุ่มเททุกอย่างไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไง
17 ปี หลังจากวันแรกที่เขาลงสนาม นักเตะคนนี้ทุ่มเททั้งชีวิตให้กับสโมสร แม้ในช่วงเวลาที่กีฬาฟุตบอลได้กลายเป็นธุรกิจมากกว่ากีฬา เขามีโอกาสที่จะได้ไปเล่นให้กับทีมยักษ์ใหญ่ทีมอื่นอย่าง Chelsea หรือ Real Madrid โดยมีถ้วยแชมป์และเงินค่าเหนื่อยที่เพิ่มขึ้นเป็นตัวกระตุ้น แม้จะมีลังเลแต่สุดท้ายเขาก็บอกว่าเขาไม่สามารถทิ้งสโมสรที่เขารักได้ลงขณะเขายังช่วยทีมได้อยู่
แต่ความจริงอย่างหนึ่งบนโลกใบนี้ มีวันเริ่มต้นก็ต้องมีวันจบ วันนี้...วันอาทิตย์ธรรมดาวันนี้ เข็มนาฬิกายังคงเดินตามปกติ ไม่ได้เดินช้าลง ไม่ได้เดินเร็วขึ้น แต่เข็มนาฬิกาของชายที่ชื่อ Steven Gerrard ในฐานะนักเตะของ Liverpool กำลังเดินถอยหลัง อีกแค่ไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ประมาณ 3 ทุ่มคืนนี้เขาจะสวมเสื้อเบอร์ 8 ตัวเก่ง อกเสื้อมีสัญลักษณ์รูปหงส์ ปลอกแขนกัปตัน ลงเตะบอลกับเพื่อนร่วมทีม ให้กับสโมสรที่รัก...เป็นครั้งสุดท้าย
90 นาทีของเกมส์ฟุตบอลวันนี้ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง ผมเชื่อว่าเขาก็ยังคงจะทุ่มเททุกอย่างที่ตัวเองทำได้
วันนี้คงเป็นวันธรรมดาอีกวันหนี่งถ้าวันนั้นผมไม่ได้พูดออกไปว่า "เฮ้ยยยยย....กูก็หงส์เว้ย"
วันนี้คงเป็นวันธรรมดาอีกวันหนึ่งถ้าผมไม่ได้รู้จักชายที่ชื่อ Steven Gerrard
แต่วันที่แสนธรรมดาวันนี้ มันดูเศร้าๆอย่างบอกไม่ถูก