เนื่องด้วยวันที่15 กรกฎาคม 2547 พ่อของดิฉันได้ขับรถน้ำมันและเกิดอุบัติเหตุชนกับรถยนต์เมื่อตำรวจมาประเมินสถานการณ์ตำรวจสรุปความว่าคู่กรณีเป็นฝ่ายผิดและรถน้ำมันที่พ่อขับต้องถูกอายัดไว้ชั่วคราวเฮียซึ่งเป็นเจ้าของรถบอกพ่อของดิฉันว่าให้พ่อเป็นฝ่ายยอมรับผิดเพราะจะได้เอารถมาใช้วิ่งงานต่อจึงตกลงกันตามนั้นและมีการเรียกประกันมาคุยกันตกลงกันว่าประกันฝ่ายพ่อดิฉันจะชดใช้ค่าเสียหายและซ่อมรถให้และหลังจากเหตุการณ์ผ่านไปหลายปีก็มีโทรศัพท์เข้ามาหาพ่อดิฉันเป็นผู้ชายบอกว่าเป็นตัวแทนของบริษัทประกันภัยของคู่กรณีจะให้พ่อชดใช้ค่าเสียหายจากคดีเป็นเงิน150000บาท แต่พ่อดิฉันบอกว่าตอนนั้นประกันทั้งสองฝ่ายตกลงกันไปแล้วพร้อมกับบอกว่าไม่มีเงินจะจ่ายให้หรอกและเรื่องนี้ก็เงียบไป
ประมาณ3ปีมีผู้หญิงโทรมาอีกและบอกเหมือนกันกับผู้ชายคนเดิมแต่ครั้งนี้บอกว่าถ้าโอนมา10000บาท แล้วจะปิดคดีให้ แต่พ่อก็ไม่ได้โอนให้ไป ครั้งที่สองโทรมาอีกบอกว่าให้โอนมา20000 บาท เพราะจะส่งเรื่องไปบังคับคดีแล้วถ้าโอนมาจะไม่ส่งเรื่องฟ้องถ้าไม่โอนมาจะยึดที่ดินซึ่งเป็นที่ดินที่พ่อดิฉันพึ่งจะซื้อมาเมื่อพ่อเอาเรื่องดังกล่าวไปบอกเฮียเฮียก็บอกว่าคดีมันไม่มีอะไรแล้วประกันเขาไปตกลงจ่ายเงินกันเองแล้ว แต่ไปปรึกษาหลายๆคนสรุปกันได้ว่าถ้าเขาจะเอาเงินให้นัดเจอกันแล้วจ่ายเงินพร้อมกับทำสัญญาตามที่ตกลงกันว่าจะจบคดีเพียงเท่านี้พ่อจึงโทรไปบอกผู้หญิงคนที่โทรมาว่าพ่อจะจ่ายเงินให้แต่ต้องนัดรับเงินกันผู้หญิงคนนั้นไม่มาและบอกว่าถ้าอย่างนั้นก็ไปฟ้องศาลเอาเองแล้วกันพ่อจึงบอกว่าพ่อไม่รู้เรื่องคดีเพราะไม่เคยได้รับหมายศาล หลังจากนั้นผู้หญิงคนนี้ก็เงียบไปประมาณ2สัปดาห์และโทรกลับมาอีกครั้งพร้อมบอกว่าถ้าไม่โอนเงินมาก็จะส่งเรื่องไปยังบังคับคดีเพื่อดำเนินการเรื่องยึดทรัพย์(ที่ดิน)แต่พ่อก็ไม่ได้โอนเงินไป
หลังจากนั้นพ่อก็เป็นกังวลจึงได้เดินทางไปศาลเพื่อไปขอดูข้อมูลเกี่ยวกับคดีจึงพบว่าหมายศาลดังกล่าวได้มีการส่งมาจริงแต่เป็นการส่งไปยังบ้านของพ่อที่จังหวัดพะเยาซึ่งปัจจุบันครอบครัวอาศัยอยู่ที่จังหวัดสระบุรีเป็นเวลานานกว่า10ปีแล้ว หมายศาลดังกล่าวถูกเซ็นรับโดยญาติที่ดูแลบ้านให้ซึ่งไม่ได้รับทราบเกี่ยวข้อมูลหรือทางคดีแต่ด้วยเห็นว่าเป็นเอกสารส่งมาและมีชื่อของพ่อจึงเซ็นรับไว้ให้และไม่ได้บอกพ่อโดยแต่เมื่อที่มีผู้หญิงโทรมาให้พ่อจ่ายเงิน20000บาทพ่อจึงโทรหาญาติคนนั้นแล้วถามว่ามีเอกสารอะไรส่งไปที่บ้านบ้างไหมญาติคนนั้นจึงบอกว่าหลายเดือนก่อนมีเอกสารส่งมาและได้เซ็นรับไว้ให้แล้วแต่ลืมบอกพ่อจึงกลับบ้านไปเพื่อไปเอาเอกสารมาดูหลังจากนั้นจึงได้รู้ว่าตนเองต้องคดีอยู่พ่อจึงเอาเรื่องราวไปปรึกษาทนายความที่รู้จักทนายความคนนั้นบอกว่าคดีมันจบไปแล้วเพราะประกันไปตกลงชดใช้ค่าเสียหายกันเองเราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไร แต่พ่อยังติดใจสงสัยว่าทำไมถึงมีคนโทรมาบอกว่าพ่อต้องจ่ายเงินจึงจะปิดคดีให้พ่อจึงเข้าไปที่ศาลอีกครั้งเพื่อขอดูสำนวนคดีและเมื่อสอบถามเจ้าหน้าที่ของศาลเจ้าหน้าที่ได้บอกว่าเขานัดไกล่เกลี่ยกันหลายครั้งแล้วแต่พ่อไม่มาจึงสรุปคดีไปแล้วพ่อจึงเล่าเหตุการณ์ให้เจ้าหน้าที่ฟัง เจ้าหน้าที่จึงบอกว่าจากสำนวนคือบริษัทประกันที่เป็นประกันของรถน้ำมันที่พ่อขับได้ถูกฟ้องล้มละลายจึงไม่มีการชดใช้ค่าเสียหายตามข้อตกลงประกันของคู่กรณีจึงเลือกที่จะฟ้องพ่อเพราะพ่อเป็นคนขับรถและพ่อเป็นรับผิดโดยพ่อเป็นจำเลยที่1 และมีจำเลยที่2คือบริษัทที่เป็นเจ้าของรถเดิม(ตอนนั้นเฮียพ่อซื้อรถมาแต่ยังไม่ได้โอน)แต่ขณะนั้นทางบริษัทไม่มีความเกี่ยวข้องแล้วเพราะรถได้ทำการโอนเรียบร้อยแล้วทางคู่กรณีจึงจะให้พ่อเป็นฝ่ายชดใช้แทนบริษัทประกัน
หลังจากนั้นพ่อจึงเอาเรื่องไปปรึกษาที่ คปภ. ทางคปภ.ก็ช่วยดำเนินการค้นหาข้อมูลจึงพบว่าบริษัทประกันภัยของพ่อ ได้ถูกฟ้องล้มละลายจริงแต่หลังจากการถูกฟ้องล้มละลายแล้ว เจ้าหนี้ของบริษัทประกันนี้จะได้รับจดหมายเพื่อให้มาแสดงความจำนงค์เพื่อรับเงินตามจำนวนที่บริษัทนี้เป็นหนี้อยู่ และจะมีการทยอยจ่ายหนี้ให้เจ้าหนี้ทุกคนจนครบจำนวน แต่ไม่สามารถทราบข้อมูลได้ว่าบริษัทของคู่กรณีได้แสดงความจำนงหรือไม่ หลังจากทราบข้อมูลเบื้องต้นมาแล้ว
ระหว่างการเกิดเรื่องราวทั้งหมดนั้นก่อนที่จะมีผู้หญิงโทรมาพ่อมีการซื้อที่ดินจากญาติห่างๆและตั้งใจไว้ว่าจะซื้อให้ดิฉันซึ่งขณะนั้นดิฉันไม่สามารถไปเซ็นรับที่ดินได้ พ่อจึงทำเรื่องซื้อขายโดยเป็นชื่อพ่อก่อนและเมื่อภายหลังดิฉันว่างจากการเรียนก็กลับไปเที่ยวบ้านที่พะเยาพ่อเห็นว่ามีเวลาว่างพ่อจึงมาทำเรื่องโอนที่ดินนั้นเป็นชื่อของดิฉันแต่เจ้าหน้าที่บอกว่าดิฉันอายุยังไม่ถึง20ปี ไม่สามารถโอนขาดได้ต้องทำเรื่องโอนเป็นมรดกให้ก่อน พ่อไม่อยากมาเสียเที่ยวจึงทำเรื่องโอนที่ดินเป็นมรดกไว้(ก่อนโอนที่ดินได้มีการปรึกษาทนายความที่รู้จักแล้วว่าจะทำให้มีผลหรือมีปัญหาเกี่ยวกับคดีหรือไม่ทนายความบอกว่าไม่มีผลเพราะยังไม่มีการส่งเอกสารไปยังบังคับคดีสามารถทำการโอนได้) หลังจากนั้นจึงทำให้เกิดเป็นคดีเพิ่มเติมขึ้นมาอีกโดยสืบเนื่องมาจากคดีเดิม โดยมีพ่อเป็นจำเลยที่1และดิฉันเป็นจำเลยที่2 โดยถือว่าเป็นการจงใจที่จะเปลี่ยนผู้ถือครองสิทธิ์ในที่ดินนั้นเพื่อหนีการยึดทรัพย์ ซึ่งคดีล่าสุดนี้พึ่งทราบเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2558 โดยญาติที่ดูแลบ้านของพ่อได้โทรมาบอกว่ารับหมายศาลไว้ พ่อจึงเดินทางไปเอาหมายศาลนั้นเนื่องจากขณะนั้นพ่อไปทำธุระที่จังหวัดเชียงรายพอดี
ปล.หลังมีการซื้อที่ดินมีการทำการโอนเป็นชื่อพ่อผู้หญิงคนนั้นก็ได้โทรมา เนื่องจากตอนแรกพ่อไม่มีสมบัติอะไรที่จะยึดได้
ปล.ขณะนี้ดิฉันอายุ20ปีบริบูรณ์แล้ว เมื่อ 16 เมษายน 2558
1.ในกรณีนี้ดิฉันต้องดำเนินการอย่างไรต่อไปดีคะ
2.การที่ดิฉันมีชื่อในคดีนี้ จะส่งผลกระทบต่อการทำงานในอนาคตหรือไม่คะ (อีก1ปีครึ่งกำลังจะเรียนจบค่ะ)
3.แล้วคดีแรกจะทำไรอย่างไรให้คดีจบเพราะพ่อคงจ่ายค่าเสียหายทั้งหมดไม่ไหว (ดูในสำนวนมาเงินหลักแสนค่ะ)
4.มีทางออกอย่างไรบ้างคะเกี่ยวกับปัญหาทั้งหมดนี้
5.สามารถขอความช่วยเหลือเกี่ยวกับคดีนี้ได้จากหน่วยงานใดบ้างคะ
ขอคำปรึกษาเกี่ยวกับคดีความหน่อยค่ะ T^T (กำลังแย่มากๆ)
ประมาณ3ปีมีผู้หญิงโทรมาอีกและบอกเหมือนกันกับผู้ชายคนเดิมแต่ครั้งนี้บอกว่าถ้าโอนมา10000บาท แล้วจะปิดคดีให้ แต่พ่อก็ไม่ได้โอนให้ไป ครั้งที่สองโทรมาอีกบอกว่าให้โอนมา20000 บาท เพราะจะส่งเรื่องไปบังคับคดีแล้วถ้าโอนมาจะไม่ส่งเรื่องฟ้องถ้าไม่โอนมาจะยึดที่ดินซึ่งเป็นที่ดินที่พ่อดิฉันพึ่งจะซื้อมาเมื่อพ่อเอาเรื่องดังกล่าวไปบอกเฮียเฮียก็บอกว่าคดีมันไม่มีอะไรแล้วประกันเขาไปตกลงจ่ายเงินกันเองแล้ว แต่ไปปรึกษาหลายๆคนสรุปกันได้ว่าถ้าเขาจะเอาเงินให้นัดเจอกันแล้วจ่ายเงินพร้อมกับทำสัญญาตามที่ตกลงกันว่าจะจบคดีเพียงเท่านี้พ่อจึงโทรไปบอกผู้หญิงคนที่โทรมาว่าพ่อจะจ่ายเงินให้แต่ต้องนัดรับเงินกันผู้หญิงคนนั้นไม่มาและบอกว่าถ้าอย่างนั้นก็ไปฟ้องศาลเอาเองแล้วกันพ่อจึงบอกว่าพ่อไม่รู้เรื่องคดีเพราะไม่เคยได้รับหมายศาล หลังจากนั้นผู้หญิงคนนี้ก็เงียบไปประมาณ2สัปดาห์และโทรกลับมาอีกครั้งพร้อมบอกว่าถ้าไม่โอนเงินมาก็จะส่งเรื่องไปยังบังคับคดีเพื่อดำเนินการเรื่องยึดทรัพย์(ที่ดิน)แต่พ่อก็ไม่ได้โอนเงินไป
หลังจากนั้นพ่อก็เป็นกังวลจึงได้เดินทางไปศาลเพื่อไปขอดูข้อมูลเกี่ยวกับคดีจึงพบว่าหมายศาลดังกล่าวได้มีการส่งมาจริงแต่เป็นการส่งไปยังบ้านของพ่อที่จังหวัดพะเยาซึ่งปัจจุบันครอบครัวอาศัยอยู่ที่จังหวัดสระบุรีเป็นเวลานานกว่า10ปีแล้ว หมายศาลดังกล่าวถูกเซ็นรับโดยญาติที่ดูแลบ้านให้ซึ่งไม่ได้รับทราบเกี่ยวข้อมูลหรือทางคดีแต่ด้วยเห็นว่าเป็นเอกสารส่งมาและมีชื่อของพ่อจึงเซ็นรับไว้ให้และไม่ได้บอกพ่อโดยแต่เมื่อที่มีผู้หญิงโทรมาให้พ่อจ่ายเงิน20000บาทพ่อจึงโทรหาญาติคนนั้นแล้วถามว่ามีเอกสารอะไรส่งไปที่บ้านบ้างไหมญาติคนนั้นจึงบอกว่าหลายเดือนก่อนมีเอกสารส่งมาและได้เซ็นรับไว้ให้แล้วแต่ลืมบอกพ่อจึงกลับบ้านไปเพื่อไปเอาเอกสารมาดูหลังจากนั้นจึงได้รู้ว่าตนเองต้องคดีอยู่พ่อจึงเอาเรื่องราวไปปรึกษาทนายความที่รู้จักทนายความคนนั้นบอกว่าคดีมันจบไปแล้วเพราะประกันไปตกลงชดใช้ค่าเสียหายกันเองเราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไร แต่พ่อยังติดใจสงสัยว่าทำไมถึงมีคนโทรมาบอกว่าพ่อต้องจ่ายเงินจึงจะปิดคดีให้พ่อจึงเข้าไปที่ศาลอีกครั้งเพื่อขอดูสำนวนคดีและเมื่อสอบถามเจ้าหน้าที่ของศาลเจ้าหน้าที่ได้บอกว่าเขานัดไกล่เกลี่ยกันหลายครั้งแล้วแต่พ่อไม่มาจึงสรุปคดีไปแล้วพ่อจึงเล่าเหตุการณ์ให้เจ้าหน้าที่ฟัง เจ้าหน้าที่จึงบอกว่าจากสำนวนคือบริษัทประกันที่เป็นประกันของรถน้ำมันที่พ่อขับได้ถูกฟ้องล้มละลายจึงไม่มีการชดใช้ค่าเสียหายตามข้อตกลงประกันของคู่กรณีจึงเลือกที่จะฟ้องพ่อเพราะพ่อเป็นคนขับรถและพ่อเป็นรับผิดโดยพ่อเป็นจำเลยที่1 และมีจำเลยที่2คือบริษัทที่เป็นเจ้าของรถเดิม(ตอนนั้นเฮียพ่อซื้อรถมาแต่ยังไม่ได้โอน)แต่ขณะนั้นทางบริษัทไม่มีความเกี่ยวข้องแล้วเพราะรถได้ทำการโอนเรียบร้อยแล้วทางคู่กรณีจึงจะให้พ่อเป็นฝ่ายชดใช้แทนบริษัทประกัน
หลังจากนั้นพ่อจึงเอาเรื่องไปปรึกษาที่ คปภ. ทางคปภ.ก็ช่วยดำเนินการค้นหาข้อมูลจึงพบว่าบริษัทประกันภัยของพ่อ ได้ถูกฟ้องล้มละลายจริงแต่หลังจากการถูกฟ้องล้มละลายแล้ว เจ้าหนี้ของบริษัทประกันนี้จะได้รับจดหมายเพื่อให้มาแสดงความจำนงค์เพื่อรับเงินตามจำนวนที่บริษัทนี้เป็นหนี้อยู่ และจะมีการทยอยจ่ายหนี้ให้เจ้าหนี้ทุกคนจนครบจำนวน แต่ไม่สามารถทราบข้อมูลได้ว่าบริษัทของคู่กรณีได้แสดงความจำนงหรือไม่ หลังจากทราบข้อมูลเบื้องต้นมาแล้ว
ระหว่างการเกิดเรื่องราวทั้งหมดนั้นก่อนที่จะมีผู้หญิงโทรมาพ่อมีการซื้อที่ดินจากญาติห่างๆและตั้งใจไว้ว่าจะซื้อให้ดิฉันซึ่งขณะนั้นดิฉันไม่สามารถไปเซ็นรับที่ดินได้ พ่อจึงทำเรื่องซื้อขายโดยเป็นชื่อพ่อก่อนและเมื่อภายหลังดิฉันว่างจากการเรียนก็กลับไปเที่ยวบ้านที่พะเยาพ่อเห็นว่ามีเวลาว่างพ่อจึงมาทำเรื่องโอนที่ดินนั้นเป็นชื่อของดิฉันแต่เจ้าหน้าที่บอกว่าดิฉันอายุยังไม่ถึง20ปี ไม่สามารถโอนขาดได้ต้องทำเรื่องโอนเป็นมรดกให้ก่อน พ่อไม่อยากมาเสียเที่ยวจึงทำเรื่องโอนที่ดินเป็นมรดกไว้(ก่อนโอนที่ดินได้มีการปรึกษาทนายความที่รู้จักแล้วว่าจะทำให้มีผลหรือมีปัญหาเกี่ยวกับคดีหรือไม่ทนายความบอกว่าไม่มีผลเพราะยังไม่มีการส่งเอกสารไปยังบังคับคดีสามารถทำการโอนได้) หลังจากนั้นจึงทำให้เกิดเป็นคดีเพิ่มเติมขึ้นมาอีกโดยสืบเนื่องมาจากคดีเดิม โดยมีพ่อเป็นจำเลยที่1และดิฉันเป็นจำเลยที่2 โดยถือว่าเป็นการจงใจที่จะเปลี่ยนผู้ถือครองสิทธิ์ในที่ดินนั้นเพื่อหนีการยึดทรัพย์ ซึ่งคดีล่าสุดนี้พึ่งทราบเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2558 โดยญาติที่ดูแลบ้านของพ่อได้โทรมาบอกว่ารับหมายศาลไว้ พ่อจึงเดินทางไปเอาหมายศาลนั้นเนื่องจากขณะนั้นพ่อไปทำธุระที่จังหวัดเชียงรายพอดี
ปล.หลังมีการซื้อที่ดินมีการทำการโอนเป็นชื่อพ่อผู้หญิงคนนั้นก็ได้โทรมา เนื่องจากตอนแรกพ่อไม่มีสมบัติอะไรที่จะยึดได้
ปล.ขณะนี้ดิฉันอายุ20ปีบริบูรณ์แล้ว เมื่อ 16 เมษายน 2558
1.ในกรณีนี้ดิฉันต้องดำเนินการอย่างไรต่อไปดีคะ
2.การที่ดิฉันมีชื่อในคดีนี้ จะส่งผลกระทบต่อการทำงานในอนาคตหรือไม่คะ (อีก1ปีครึ่งกำลังจะเรียนจบค่ะ)
3.แล้วคดีแรกจะทำไรอย่างไรให้คดีจบเพราะพ่อคงจ่ายค่าเสียหายทั้งหมดไม่ไหว (ดูในสำนวนมาเงินหลักแสนค่ะ)
4.มีทางออกอย่างไรบ้างคะเกี่ยวกับปัญหาทั้งหมดนี้
5.สามารถขอความช่วยเหลือเกี่ยวกับคดีนี้ได้จากหน่วยงานใดบ้างคะ