
หนังที่เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (ซึ่งเวลาที่หนังออกฉายสงครามจบไปจะยี่สิบปีแล้ว ในขณะที่สงครามโลกครั้งที่สองกำลังจะเริ่ม) หนังของเรนัวร์มักจะเน้นการวิพากย์สังคมชนชั้นสูงของฝรั่งเศส ไม่ว่าจะเป็น A Day in the Country (1936) เหล่าครอบครัวไฮโซมาเที่ยวต่างจังหวัด ใช้การถ่ายที่เหมือนภาพวาดของแวนกอก หรือหนังที่ดังที่สุดของเขา The Rules of the Game (1939) ที่เสียดความไร้สาระของไฮโซ พร้อมๆกันก็ยังถ่ายทอดอารมณ์ของสงครามที่กำลังจะเริ่ม ออกมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ แม้ว่าจะไม่มีฉากรบกันเลยแม้แต่น้อย

La Grande illusion ก็เช่นกัน เรนัวร์ก็ไม่ได้นำเสนออย่างตรงไปตรงมา เน้นสอดแทรกลงไปกับบทสนทนาของตัวละคร อย่างตอนที่ มาเรชาลบอกกับโรเซนทาลว่า “เมื่อสงครามครั้งนี้จบลง ก้จะได้ไม่มีสงครามอีกต่อไปแล้ว” โรเซนทาลตอบกลับไปว่า “นี่มันเรื่องหลอกลวงกันชัดๆ” และก็จริงอย่างที่เขาพูด ไม่กี่ปีหลังหนังเรื่องนี้ออกฉาย สงครามครั้งใหม่ก็ปะทุขึ้น
หนังยังเสียดสีคนในชาติฝรั่งเศสกันเอง พวกเขายังไม่ยอมรับถึงสังคมที่หลากหลาย มีคนผิวสี (ในค่ายมีคนผิวดำซึ่งบทบาทก็น้อย และไม่ได้รับความสนใจจากเพื่อนๆ) คนยิว (อย่างที่เราๆ รู้ ชาติพันธุ์ที่ฮิตเลอร์ประกาศนโยบายกวาดล้าง) ฟาสซิสต์ที่เกิดขึ้นในยุโรปอันเนื่องมาจากฮิตเลอร์ นั่นทำให้ประชาชนในหลายๆ ประเทศในโลกต้องสูญเสียอำนาจอธิปไตย (ถูกสื่อด้วยค่ายกักกัน)

ผู้คนเกิดการแบ่งแยกชนชั้น (คนในค่ายมีหลากลายชนชาติ) การศึกษา ฐานะทางสังคมก็ถูกขีดเส้น ในหนังเราจะเห็นได้ชัดว่าชนชั้นสูงใช้ภาษาที่สามหรือสี่ได้อย่างคล่องแคล่ว ในขณะที่มาเรซาลพูดได้แค่ภาษาบ้านเกิด รวมทั้งประการณ์ชีวิตที่แตกต่างกัน ไฮโซก็มีโอกาสได้ไปรับประทานอาหารที่ภัตตาคารแมกซิมที่ปารีส
นายทหารชั้นสูงโบลด์โดที่ดูมีความสนิทสนมกับนายพลรอฟเฟนสไตน์ของเยอรมัน ก็ดูจะได้รับสิทธิพิเศษเหนือกว่า นายทหารชั้นรองลงมา แต่จนแล้วจนรอดสงครามยังกีดกั้นมิตรภาพ ท้ายที่สุดรอฟเฟนสไตน์ก็ต้องจำใจยิงเพื่อนตนเอง เพียงเพราะว่าเขาเป็นเฉลยสงคราม
หนังยังเย้ยย้ำถึงผลกระทบของสงครามในระดับครอบครัว เอลซ่าเป็นหญิงม้ายผัวตายจากสงคราม ซึ่งก็บังเอิญว่าด้วยความเหงาเธอก็ลงรักมาเรชาล แต่ก็เป็นเพราะสงครามที่ทำให้เขาต้องจากเธอไป
ยิ่งฉากตอนจบก็ยิ่งเสียดสีเขาไปใหญ่ ทหารเยอรมันไม่สามารถยิง มาเรชาลกับโรเซนทาล ขณะที่พวกเขากำลังหลบหนีและอยู่ในพื้นที่ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งขัดแย้งกับโบลด์โดที่ต้องมาตายเพราะถูกรอฟเฟนสไตน์ยิง ดังคำพูดของโรเซนทาล “Frontiers are an invention of men. Nature doesn't give a hoot.”
"มนุษย์เรานั่นแหละที่สร้างความวุ่นวาย"
ร่วมพูดคุยเกี่ยวกับภาพยนตร์ทางเฟสได้เลยน่ะครับ
https://www.facebook.com/survival.king
Tempy Movies Review รีวิวหนัง: La Grande Illusion {Jean Renoir} [France], 1937
หนังที่เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (ซึ่งเวลาที่หนังออกฉายสงครามจบไปจะยี่สิบปีแล้ว ในขณะที่สงครามโลกครั้งที่สองกำลังจะเริ่ม) หนังของเรนัวร์มักจะเน้นการวิพากย์สังคมชนชั้นสูงของฝรั่งเศส ไม่ว่าจะเป็น A Day in the Country (1936) เหล่าครอบครัวไฮโซมาเที่ยวต่างจังหวัด ใช้การถ่ายที่เหมือนภาพวาดของแวนกอก หรือหนังที่ดังที่สุดของเขา The Rules of the Game (1939) ที่เสียดความไร้สาระของไฮโซ พร้อมๆกันก็ยังถ่ายทอดอารมณ์ของสงครามที่กำลังจะเริ่ม ออกมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ แม้ว่าจะไม่มีฉากรบกันเลยแม้แต่น้อย
La Grande illusion ก็เช่นกัน เรนัวร์ก็ไม่ได้นำเสนออย่างตรงไปตรงมา เน้นสอดแทรกลงไปกับบทสนทนาของตัวละคร อย่างตอนที่ มาเรชาลบอกกับโรเซนทาลว่า “เมื่อสงครามครั้งนี้จบลง ก้จะได้ไม่มีสงครามอีกต่อไปแล้ว” โรเซนทาลตอบกลับไปว่า “นี่มันเรื่องหลอกลวงกันชัดๆ” และก็จริงอย่างที่เขาพูด ไม่กี่ปีหลังหนังเรื่องนี้ออกฉาย สงครามครั้งใหม่ก็ปะทุขึ้น
หนังยังเสียดสีคนในชาติฝรั่งเศสกันเอง พวกเขายังไม่ยอมรับถึงสังคมที่หลากหลาย มีคนผิวสี (ในค่ายมีคนผิวดำซึ่งบทบาทก็น้อย และไม่ได้รับความสนใจจากเพื่อนๆ) คนยิว (อย่างที่เราๆ รู้ ชาติพันธุ์ที่ฮิตเลอร์ประกาศนโยบายกวาดล้าง) ฟาสซิสต์ที่เกิดขึ้นในยุโรปอันเนื่องมาจากฮิตเลอร์ นั่นทำให้ประชาชนในหลายๆ ประเทศในโลกต้องสูญเสียอำนาจอธิปไตย (ถูกสื่อด้วยค่ายกักกัน)
ผู้คนเกิดการแบ่งแยกชนชั้น (คนในค่ายมีหลากลายชนชาติ) การศึกษา ฐานะทางสังคมก็ถูกขีดเส้น ในหนังเราจะเห็นได้ชัดว่าชนชั้นสูงใช้ภาษาที่สามหรือสี่ได้อย่างคล่องแคล่ว ในขณะที่มาเรซาลพูดได้แค่ภาษาบ้านเกิด รวมทั้งประการณ์ชีวิตที่แตกต่างกัน ไฮโซก็มีโอกาสได้ไปรับประทานอาหารที่ภัตตาคารแมกซิมที่ปารีส
นายทหารชั้นสูงโบลด์โดที่ดูมีความสนิทสนมกับนายพลรอฟเฟนสไตน์ของเยอรมัน ก็ดูจะได้รับสิทธิพิเศษเหนือกว่า นายทหารชั้นรองลงมา แต่จนแล้วจนรอดสงครามยังกีดกั้นมิตรภาพ ท้ายที่สุดรอฟเฟนสไตน์ก็ต้องจำใจยิงเพื่อนตนเอง เพียงเพราะว่าเขาเป็นเฉลยสงคราม
หนังยังเย้ยย้ำถึงผลกระทบของสงครามในระดับครอบครัว เอลซ่าเป็นหญิงม้ายผัวตายจากสงคราม ซึ่งก็บังเอิญว่าด้วยความเหงาเธอก็ลงรักมาเรชาล แต่ก็เป็นเพราะสงครามที่ทำให้เขาต้องจากเธอไป
ยิ่งฉากตอนจบก็ยิ่งเสียดสีเขาไปใหญ่ ทหารเยอรมันไม่สามารถยิง มาเรชาลกับโรเซนทาล ขณะที่พวกเขากำลังหลบหนีและอยู่ในพื้นที่ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งขัดแย้งกับโบลด์โดที่ต้องมาตายเพราะถูกรอฟเฟนสไตน์ยิง ดังคำพูดของโรเซนทาล “Frontiers are an invention of men. Nature doesn't give a hoot.”
"มนุษย์เรานั่นแหละที่สร้างความวุ่นวาย"
ร่วมพูดคุยเกี่ยวกับภาพยนตร์ทางเฟสได้เลยน่ะครับ https://www.facebook.com/survival.king