บันทึกชีวิต แง้มนิด ปิดหน่อยของคนชื่อต๋อง—11/49 กางเกงดำที่หายไป

กระทู้สนทนา
กว่าจะเรียนจบมัธยมปลาย เพื่อน ๆ หลายคนอาจจะต้องเปลี่ยนสีเครื่องแบบอยู่หลายหนเสียส่วนใหญ่ ที่จริงเราต้องเปลี่ยนจากกางเกงสีกากีไปเป็นสีดำตอนป.4 เทอมหลัง นัยว่าเป็นนโยบายกระทรวงศึกษาหรือไงนี่แหละที่อยากจะแยกสีระหว่างโรงเรียนเอกชนกับรัฐบาลให้ชัดเจน เลยต้องขอบคุณท่านเจ้ากระทรวงในสมัยนั้นไว้ตรงนี้ด้วย เพราะท่านมีส่วนทำให้เราโดดเด่นเป็นแกะสีกากีท่ามกลางแกะดำนับพัน
ที่ขาดเสียมิได้คือความตึ๋งหนืดระดับเนื้อไก่ชนแดดเดียวของพี่สาวที่เป็นผู้ปกครองเรากับพี่ ๆน้อง ๆ ในตอนนั้น เจ๊แกบอกว่าพอจบป.4 ก็ต้องไปเข้ากรุงเทพวิทยา โรงเรียนแถวบ้านอยู่แล้ว และที่นั่นเค้าใส่กางเกงสีน้ำเงิน ฉะนั้นแล้วจะเปลี่ยนเป็นกางเกงสีดำให้เปลืองสตางค์ไปทำไมมี ทน ๆ ทู่ซี้ไปผสมกับทำหน้ามึน ๆ เอ๋อเหรอยอมเด่นเป็นเสร่อในกางเกงสีกากีไปก็แล้วกัน

มิใยที่เราจะโอดครวญเรื่องที่ถูกเพื่อนล้อ บวกรวมกับสายตาเย้ยเหยียดจากเพื่อนห้องอื่นและน้อง ๆ ในโรงเรียน รวมถึงการจ้ำจี้เจ๊าะแจ๊ะอยู่ทุก ๆ วันของครูประจำชั้นและซินแซระดับบริหาร แต่ถึงยังไงเจ๊แกก็ไม่สะทกสะท้าน เพราะแกสวมรองเท้าคนละคู่คนละเบอร์กับเราอยู่แล้วนี่

เราเลยต้องกล้ำกลืนฝืนทนตากหน้าท้าทุกสายตาต่อไปเรื่อย ๆ จนจบนั่นเลย วันถ่ายรูปรวมรุ่นของโรงเรียน ยืน ๆ อยู่ครูคนนึงก็ย้ายเราออกจากแถวของห้องไปยืนแอบอยู่ที่อีกแถว เพื่อเวลาที่ทุกคนดูภาพขาวดำนี้ในภายหลังจะได้ไม่ถูกนำสายตาไปที่จุดซีด ๆ เพียงจุดเดียวในนั้น และต่อให้หน้าเราอาจจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน เพื่อน ๆ ผู้อ่านก็คงจะชี้เป้าเราได้ไม่ยาก แค่มองหาเด็กผู้ชายหน้าตาดีแต่สีหน้าอยากลาโลกให้เจอ ก็ใช่เลย นั่นแหละเรา นี่เป็นหนึ่งในรอยด่างหรือริ้วแผลในใจของเราตลอดมาทีเดียว ใครไม่เคยพบพาน ย่อมมิอาจลึกซึ้งถึงข้างใน ทำได้ก็คงแค่จินตนาการถึงเท่านั้นเอง

อ้อ เกือบลืม เรื่องน่าอายอีกอย่างที่มีสาเหตุจากความตึ๋งหนืด แต่คราวนี้เป็นของเตี่ย คือ งานเลี้ยงปีใหม่ของห้อง เค้ามีการจับสลากของขวัญมูลค่าอย่างต่ำสองบาทกัน พอไปขอเงินเตี่ย เตี่ยบอก เดี๋ยวจัดให้เอง ( เหลียวอั๊วจักให้ลื้อเองน่อ ) ว่าแล้วเตี่ยก็เอาไม้จิ้มฟันแบบกล่องกระดาษสี่กล่องมาห่อเป็นของขวัญให้ไปจับ นัยว่ากล่องละห้าสิบสตางค์ สี่กล่องก็สองบาทพอดิบพอดี


แล้วคิดดูสิว่า ไอ้เพื่อนคนที่มันจับได้ของเราจะทำหน้ายังไงตอนเห็นของในห่อ ที่แน่ ๆ ครูให้ทุกคนเขียนชื่อกำกับไว้ซะด้วยสิ เฮ้อออ ชีวิตเด็กชายอองฟอง เอ๊ยเอ็งฟาย ทำมั้ย ทำไมถึงได้น่าบะหรึยฮึ่ยขนาดนี้ด้วยนะ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ก็ไหน ๆ ไหล ๆ ต่อไปอีกนิดละกัน เวลาที่ทางการเค้ามาเรี่ยไรงานการกุศลที่ร้าน เตี่ยก็จะควักให้แบบเสียมิได้ทุกครั้งไป แต่ที่มันแย่ก็ตรงที่เค้าดันมีนโยบายประกาศกระจายเสียงซะด้วยสิว่า ร้านไหนให้กันเท่าไหร่ พอมาถึงร้านเรา เสียงจากลำโพงก็ดังไปทั่วแว่นแคว้นแดนตลาดทันที " ร้านเม่งกี่บริจาค ............ 50 ..................................................................................... สตางค์ ขอขอบคุณในความเอื้อเฟื้อเป็นอย่างสูง ( เตี้ย )ด้วยนะครับ" น้ำเสียงออกแนวเย้ยเหยียดยังไงก็ไม่รู้ ฟังแล้ว อยากจะเอาหน้าไปซุกตูดไก่งวงข้างบ้านซะให้รู้แล้วรู้แรดไปเลยเชียว

เคยพูดถึงมาแล้วว่า เราไต่ขึ้นบัลลังก์ที่หนึ่งได้ตอนเรียนป.4 นี่แหละ และบังเอิญคะแนนสอบเทอมปลายของเราทะลุเป้าแปดสิบห้าเปอร์เซ็นต์ที่โรงเรียนตั้งไว้ เราจึงได้ทุนเรียนฟรีหนึ่งปีพร้อมรถรับส่งจากโรงเรียนเก่า ( คริสตธรรมวิทยา ) ไปโรงเรียนคริสตธรรมศึกษาที่ตรงคลองตัน ที่จริงเราอยากไปเรียนที่นี่นะ แต่สุดท้ายเตี่ยก็ให้ไปเข้าที่กรุงเทพวิทยา ตรงถนนนเรศ ที่พี่ชาย ( เอ็งเลี้ยง ) เรียนอยู่ก่อนแล้ว นัยว่าเพราะเตี่ยเป็นเพื่อนกับเจ้าของโรงเรียนตั้งแต่สมัยอยู่ที่หมู่บ้านเอ็งที่เมืองจีนโน่น

เปิดเทอมวันแรกก็เจอเพื่อนเก่าสมัยป.เตรียม และได้อยู่ห้องเดียวกันอีกครั้ง คนนี้ชื่อวิเชียร บ้านผลิตชุดนอนผ้าแพรขายอยู่ตรงสะพานเหลืองนั่นแหละ ตอนหลังเค้าจบเอแบค แล้วก็รับช่วงสืบสานกิจการที่บ้านต่อไป มีตำนานเล่ากันว่า ตอนมันอยู่อนุบาล มันชอบไปแอบเปิดกระโปรงเด็กผู้หญิงในช่วงพักนอนกลางวันด้วย จริงเท็จยังไง ข้าพเจ้าไม่ขอรับผิดชอบแม้แต่นิดเดียว 555

แต่ที่แน่ ๆพี่สาวมันสวยใช้ได้เลยแหละ ( ถือว่าเจ๊ากันไปนะวิเชียร ก็อุตส่าห์ชมพี่สาวอะ ) เปิดเรียนวันแรก เราก็เปรี้ยวซะเลย ช่วงพัก เราจะเดินถือสมุด แล้วไปถามชื่อเพื่อน ๆ ที่นั่งจับกลุ่มคุยกันอยู่ แล้วก็จดชื่อพวกมันลงไป บอกว่าอาจารย์สั่งให้จดชื่อนักเรียนทุกคนที่คุยกันตอนพัก โหย พวกมันทั้งมึนทั้งงงกันยกใหญ่ อะไรฟะ มีห้ามคุยกันตอนพักด้วยเหรอ อำพวกมันได้สักพักก็เฉลย พวกมันเลยรู้เลยว่าเราเนี่ยขี้เล่นและกวนโอ๊ยไม่เบาเหมือนกัน

ด้วยวัยที่กำลังเริ่ม ๆ จะมันล่ะมั้ง เราจึงรู้สึกว่าที่นี่มีอะไรน่าจดจำกว่าโรงเรียนเดิมเยอะ อย่างน้อยก็สาว ๆ ในห้องนั่นแหละ ห้องเรามีนางฟ้าอยู่คน เธอชื่อลาวัณย์ ประมาณน้อง ๆ มาช่าสมัยกายังไม่ทันได้เหยียบหน้านั่นเลย เรียกว่า เด่นสุดในโรงเรียน และเป็นที่หมายปองของหนุ่ม ๆ ทุกคนนั่นล่ะ เราเองก็เป็นแควนคลับของเธอด้วยเหมือนกัน แต่ถึงจะนั่งใกล้กันแค่มือเอื้อม แต่ก็มิอาจเอื้อนเอ่ยวาจาสื่อความในใด ๆ ไม่รู้เป็นโรคอะไรอะ เวลาเจอผู้หญิงที่ใช่ ใช่ ใช่เลย จะเกิดอาการใบ้กิน ไม่กล้าแม้กระทั่งจะทักทายพุดคุย ได้แต่เก็บไปฝันถึงอยู่เนือง ๆ

ที่ตลกเชิงชวนสมเพชคือ พอปิดเทอมกลับบ้านนอกล่ะก็ จะต้องเขียนจดหมายมาถึงเธอ แล้วเล่าโน่นนี่นั่น รวมทั้งหยอดมุกแป้ก ๆเห่ย ๆ มาด้วย แต่พอเจอหน้าตอนเปิดเทอม อาการเก่าก็ยังอยู่ คือมีแต่แอบมอง ไม่กล้าทักทายพูดคุยซะงั้น สาวเจ้าก็คงจะงงอยู่เหมือนกัน และคงคิดในใจว่า " ไอ้หมอนี่ ถ้าจะเพี้ยน " ทุกวันนี้ยังนึกถึงอยู่เนือง ๆ อยากรู้ว่าตอนนี้เธอทำไรอยู่ที่ไหน มีสา เอ๊ยมีลูกกี่หน่อหน่วยแล้ว ยังคิดถึงเด็กชายอองฟองคนนี้อยู้รึเปล่า โธ่ ละเมอเพ้อพกอีกแล้วเรา

อิจฉาก็แต่ไอ้เจ้าวิเชียรนี่สิ มันทั้งกล้าพูดกล้าคุยกับเค้า แถมมันยังกล้าเอาไม้บรรทัดของมันไปสีกับไม้บรรทัดของเค้าด้วยดิ เราก็งง ๆ ว่ามันจะเอาไปสีทำไมฟะ หรือว่านี่คือเคล็ดวิชาสีหญิงขั้นสุดยอด คือสีแบบไม่ต้องสี แค่สีผ่านไม้บรรทัดก็พอ อะเฮ้อ ข้าน้อยขอคารวะสักหนึ่งไม้บรรทัดก็แล้วกันนะ ( ขอเรียกเคล็ดวิชานี้ว่า " ไม้บรรทัดระบัดใจนาง" ละกัน )

ดูเหมือนคนที่เธอมีใจให้ ก็เป็นสองพี่น้องคนละแม่ในห้องเดียวกันนี่เอง สองคนนี้ ดูมันเป็นคนมาดมั่นไม่มีเม้มยังไงไม่รู้ ดูมันชิล ๆ สบาย ๆ กับทุกเรื่องไปซะหมดทีเดียวเชียว รวมทั้งเรื่องเรียนด้วย มันเลยสอบได้คะแนนไม่ดีทั้งคู่ ฮึ สม อยากมาแย่งแฟนตรูทำไมล่ะ

มันสบาย ๆ ขนาดที่ว่า เราดูไม่ออกด้วยซ้ำว่า ที่จริง สองคนนี่ ใครเป็นแฟนสาวเจ้ากันแน่ และตกลงแล้วหล่อนให้ใจกับคนพี่หรือคนน้องกันหว่า แล้วมันสองคนคุยกันยังไง ถึงไม่มีปัญหาขัดแย้งแย่งชิงนาง หรือแท้ที่จริงแล้ว มันทั้งคู่บรรลุเคล็ดวิชา " แลหญิงแค่ปิ๊งผ่าน" อันลือลั่นของสำนักคาสซาโนว็อสต๊อกกันแน่ ปริศนานี้ยังค้างคาใจข้าน้อยนัก

จุดเด่นอย่างหนึ่งของที่นี่คือวิชาภาษาอังกฤษ เพราะเค้าจะอิมพอร์ตปรมาจารย์มาจากอัสสัมชัญที่ขึ้นชื่อทางด้านนี้อยู่แล้ว หลักสูตรที่ใช้คือ Class Work ของมหาวิทยาลัย อ๊อกซ์ฟอร์ดมั้ง แล้วอะไรอีกเล่มก็จำไม่ได้แล้ว บทแรกประมาณว่า " my name is preecha,i live in chiangmai...." เราเรียนกันเข้มข้นจริงจังมาก ถูกจับท่องศัพท์ทุกวัน ท่องไม่ได้มีก้านมะยมเป็นรางวัลด้วยนะเออ

จำได้ว่าพอปลายเทอมป.5 อาจารย์ก็เอาหนังสือชั้นป. 6 มาสอนแล้ว แล้วก็ลัดวงจรแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนเราจบป.7 โน่นเลย ที่แน่ ๆ บางวันอาจารย์เข้ามาในห้องปุ๊บก็ให้การบ้านทำในชั้นนั่นเลย ทำทีเป็นร้อย ๆ ข้อ ท้ายชั่วโมงก็เอาไปส่งหน้าชั้น แล้วอาจารย์ก็จะเอากลับไปตรวจแก้มาให้อีกที เพราะเคี่ยวกรำแบบนี้นี่เอง เราจึงได้อาศัยภาษาอังกฤษหากินมาได้จนถึงทุกวันนี้ ขอบคุณโรงเรียน ขอบคุณอาจารย์ และขอบคุณนางฟ้าลาวัณย์ด้วยที่เป็นกำลังใจให้เค้ามาตลอด ขอบคุณนะตัวเอง รักนะจุ๊บุจุ๊บุ ( อ้อ เค้าเล่นเทนนิสตั้งแต่สมัยนั้นเลยนะ ลองคิดดู เดิ้นซะ ข้อมือแขนข้างขวาของเค้าจะใหญ่กว่าข้างซ้ายอยู่ 37 กะลู้ปเห็นจะได้ ไม่เคยจับหรอก แค่เหล่ ๆ ดูอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ น่ะ )
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่