ก่อนอื่นต้องบอกว่าผมเป็นแค่ผู้ชายอายุ 20 ปีคนหนึ่งที่ไม่เคยสมหวังเรื่องความรักเลยสักครั้งเดียวในชีวิต หลายๆครั้งผมก็ท้อแล้ว จนมีบางช่วงเลิกคิดเรื่องพวกนี้ไปเป็นปีๆ แต่พอถึงจุดหนึ่งก็ตระหนักได้ว่าชีวิตต้องดำเนินต่อไป ทุกครั้งที่เขาพ่ายแพ้เขาจะเอาประสบการณ์ที่ได้รับมาสั่งสอนตัวเองต่อไป โดยหวังว่าซักวันหนึ่งจะเจอ "คนนั้น" ที่อยู่ที่ไหนซักแห่ง...
และต่อไปนี้ก็เป็นบทเรียนส่วนหนึ่งที่ผมผมได้ประสบมากับตัวเองทั้งหมดครับ
1.ข้อแรกสำหรับผู้ชายขี้มโน(แบบผม) ก่อนจะปลื้ม แอบชอบ แล้วให้ใจเค้าไป ได้โปรดอย่าคิดไปเองว่าเค้าโสด ในเฟสเค้าอาจจะขึ้นว่า single แต่มันอาจไม่ได้เป็นเช่นนั้น แน่นอนว่าอาจจะไม่ต้องถึงกับถามตรงๆว่า “มีแฟนรึยัง จีบได้มั๊ยครับ”
โอ้ยยยย มันเจ็บเหลือเกิน
2.หลังจากผิดหวังไม่ว่าจะเป็น เพิ่งรู้ว่าเค้ามีแฟนแล้ว หรือบอกชอบไปแต่เค้าไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกับเรา หรือแม้กระทั่งเลิกกับแฟน หลายๆคนพบว่าไม่มีช่วงไหนอีกแล้วที่จะฟังเพลงเศร้าๆ เหงา คิดถึง ได้อินเท่าช่วงนี้อีกแล้ว แต่บอกเลยว่าไม่ควรอย่างยิ่งที่จะนอนตาค้างมองฝ้าเพดานฟังเพลงอกหัก น้ำตาคลออาบแก้ม เพราะถ้าทำอย่างนั้นก็เหมือนกับเอาน้ำมันไปราดเพื่อดับไฟ
3. ลบ ตัด ทุกอย่างที่เป็นตัวกระตุ้นให้นึกถึงเค้า ไม่ว่าจะเป็น รูปภาพเค้าที่เราเซพเก็บไว้ เพลงที่เคยฟังร่วมกัน อาจจะไม่ต้องถึงกับเอาไปทิ้ง แต่อย่างน้อยก็เอาไปเก็บไว้ในที่ไกลหูไกลตา ให้อาการดีขึ้นก่อน
4.ทุกครั้งที่ flashback ผุดขึ้นมาในสมอง และในทันใดเราก็รับรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ คลื่นของความเจ็บปวดก็วาบเข้ามาในใจ ในวินาทีนั้นอาจทำให้ใครอยากจะร้องไห้ หรือหวิวใจจนตัวงอ แนะนำว่าให้สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพยายามอย่าไปยึดติด ไปคิดแง่ลบต่างๆ ถ้าเราไม่เติมเชื้อให้มัน มันก็จะดับไปเอง แม้ว่าเดี๋ยวมันจะกลับมาใหม่ก็ตาม
5.ระลึกไว้ว่าความเศร้าจากความรู้สึกถูก rejection เป็นแค่ของชั่วคราวที่อยู่เหนือความควบคุมของเรา เพราะไม่ได้เกิดจากสมองส่วนเหตผล แต่เกิดจากสมองส่วนที่ค่อนข้างโบราณ ที่เกี่ยวกับอารมณ์ วงจร reward system ต่างๆ มองในแง่ดีก็คือถึงเราจะห้ามไม่ได้ที่จะเจ็บปวด แต่ไม่นานมันก็จะหายไปเองในซักวันนึงโดยเราแทบไม่รู้ตัวเหมือนกัน
6.การถูกปฏิเสธไม่ว่าจะชนิดไหน สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่ความ รู้สึก hurt แบบที่เราได้รับ ซึ่งเป็นของชั่วคราว แต่ที่น่ากลัว เราไปเชื่อมโยงเองแบบผิดๆว่า ความรักคือความทุกข์ และไม่อาจรักโดยไม่เจ็บปวดได้ ทำให้เราเกิดอาการ fear of rejection แล้วทำให้บางคนถึงกับเข็ดไปเลย ไม่กล้ามีความรักไปเป็นปีๆ ผมอยากให้มองในแง่ดีว่าทุกครั้งที่เราถูก rejection เราจะเริ่มมี EQ ที่ฉลาดขึ้น เพราะคนที่เหมาะสมกับเราไม่ได้มีแค่คนเดียวในโลก คนที่ทำให้เราผิดหวังอาจจะ right person แต่ wrong time เราจึงไม่มีโอกาสได้คู่กัน แต่ถ้าเราไม่ปิดตัวเอง ไม่นานเราอาจจะเจอคนใหม่ที่เหมาะกับเรามากกว่า พบกันถูกที่ ถูกเวลา และนิสัยเข้ากันได้มากกว่า ที่สำคัญอย่าหมดศรัทธาในความรัก “ความรักอาจจะเจ็บปวดแต่ก็เป็นสิ่งที่สวยงามเสมอ”
7. อย่านั่งๆ นอนๆ อย่าทำให้ตัวเองว่างมากไปเวลา hurt ให้พยายามออกไปข้างนอก ไปทำอะไรหนุกๆ ให้วงจร endorphin มันทำงานบ้าง สารสื่อประสาทที่มัน unbalance จะได้กลับมาปกติได้เร็วๆ
8.อย่ารอ อย่าตั้งความหวังลมๆ แล้งๆ ว่าเค้าจะกลับมา ถ้าเราไม่มั่นใจว่ามันจะเป็นไปได้จริง มันไม่ใช่แค่จะทำให้เราทุกข์ทนรอสิ่งที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง เสียเวลาชีวิตไปเปล่า แต่มันยังทำให้เขาคนนั้นรู้สึกอึดอัดและรู้สึกผิดต่อเรา (ทั้งๆที่ไม่ใช่ความผิดของเขา)
9.ก่อนจากข้อสุดท้าย สำหรับคนชอบคิดไปเองอย่างผม เพียงแรกเจอก็จินตนาการไปไกลโข ถึงขั้นแต่งงาน 555 คืออย่าพยายามให้ความสัมพันธ์มีลักษณะเป็น unequal love เช่น แอบชอบคนหนึ่งได้ แต่อย่าเก็บไว้นานเกินไปโดยไม่แสดงออก เพราะถึงจุดหนึ่ง ความรักของเรามันลึกซึ้งขึ้นมาก ทำให้ความรักของเรา “รักเราไม่เท่ากัน"
“หากว่าใครถาม ว่าเราจบลงด้วยเรื่องอะไร
ฉันคงทำได้เพียงแค่ตอบเขาไป
ว่าที่สุดแล้วจะทำอย่างไร
รักเราที่มีให้ไปมันไม่เท่ากัน”
ปล.1 แล้วทุกท่านเคยเจออะไรผ่านอะไรมาบ้าง มา"เล่าสู่กันฟัง" กันครับ
ปล.2 ขอบคุณคนที่เคยผ่านเข้ามา สอนให้ฉันได้รู้จักความรัก
ถ้าไม่อยาก hurt อย่าทำแบบนี้ T^T ----เรื่องราวปวดหัวใจของผู้ชายผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก
และต่อไปนี้ก็เป็นบทเรียนส่วนหนึ่งที่ผมผมได้ประสบมากับตัวเองทั้งหมดครับ
1.ข้อแรกสำหรับผู้ชายขี้มโน(แบบผม) ก่อนจะปลื้ม แอบชอบ แล้วให้ใจเค้าไป ได้โปรดอย่าคิดไปเองว่าเค้าโสด ในเฟสเค้าอาจจะขึ้นว่า single แต่มันอาจไม่ได้เป็นเช่นนั้น แน่นอนว่าอาจจะไม่ต้องถึงกับถามตรงๆว่า “มีแฟนรึยัง จีบได้มั๊ยครับ”
โอ้ยยยย มันเจ็บเหลือเกิน
2.หลังจากผิดหวังไม่ว่าจะเป็น เพิ่งรู้ว่าเค้ามีแฟนแล้ว หรือบอกชอบไปแต่เค้าไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกับเรา หรือแม้กระทั่งเลิกกับแฟน หลายๆคนพบว่าไม่มีช่วงไหนอีกแล้วที่จะฟังเพลงเศร้าๆ เหงา คิดถึง ได้อินเท่าช่วงนี้อีกแล้ว แต่บอกเลยว่าไม่ควรอย่างยิ่งที่จะนอนตาค้างมองฝ้าเพดานฟังเพลงอกหัก น้ำตาคลออาบแก้ม เพราะถ้าทำอย่างนั้นก็เหมือนกับเอาน้ำมันไปราดเพื่อดับไฟ
3. ลบ ตัด ทุกอย่างที่เป็นตัวกระตุ้นให้นึกถึงเค้า ไม่ว่าจะเป็น รูปภาพเค้าที่เราเซพเก็บไว้ เพลงที่เคยฟังร่วมกัน อาจจะไม่ต้องถึงกับเอาไปทิ้ง แต่อย่างน้อยก็เอาไปเก็บไว้ในที่ไกลหูไกลตา ให้อาการดีขึ้นก่อน
4.ทุกครั้งที่ flashback ผุดขึ้นมาในสมอง และในทันใดเราก็รับรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ คลื่นของความเจ็บปวดก็วาบเข้ามาในใจ ในวินาทีนั้นอาจทำให้ใครอยากจะร้องไห้ หรือหวิวใจจนตัวงอ แนะนำว่าให้สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพยายามอย่าไปยึดติด ไปคิดแง่ลบต่างๆ ถ้าเราไม่เติมเชื้อให้มัน มันก็จะดับไปเอง แม้ว่าเดี๋ยวมันจะกลับมาใหม่ก็ตาม
5.ระลึกไว้ว่าความเศร้าจากความรู้สึกถูก rejection เป็นแค่ของชั่วคราวที่อยู่เหนือความควบคุมของเรา เพราะไม่ได้เกิดจากสมองส่วนเหตผล แต่เกิดจากสมองส่วนที่ค่อนข้างโบราณ ที่เกี่ยวกับอารมณ์ วงจร reward system ต่างๆ มองในแง่ดีก็คือถึงเราจะห้ามไม่ได้ที่จะเจ็บปวด แต่ไม่นานมันก็จะหายไปเองในซักวันนึงโดยเราแทบไม่รู้ตัวเหมือนกัน
6.การถูกปฏิเสธไม่ว่าจะชนิดไหน สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่ความ รู้สึก hurt แบบที่เราได้รับ ซึ่งเป็นของชั่วคราว แต่ที่น่ากลัว เราไปเชื่อมโยงเองแบบผิดๆว่า ความรักคือความทุกข์ และไม่อาจรักโดยไม่เจ็บปวดได้ ทำให้เราเกิดอาการ fear of rejection แล้วทำให้บางคนถึงกับเข็ดไปเลย ไม่กล้ามีความรักไปเป็นปีๆ ผมอยากให้มองในแง่ดีว่าทุกครั้งที่เราถูก rejection เราจะเริ่มมี EQ ที่ฉลาดขึ้น เพราะคนที่เหมาะสมกับเราไม่ได้มีแค่คนเดียวในโลก คนที่ทำให้เราผิดหวังอาจจะ right person แต่ wrong time เราจึงไม่มีโอกาสได้คู่กัน แต่ถ้าเราไม่ปิดตัวเอง ไม่นานเราอาจจะเจอคนใหม่ที่เหมาะกับเรามากกว่า พบกันถูกที่ ถูกเวลา และนิสัยเข้ากันได้มากกว่า ที่สำคัญอย่าหมดศรัทธาในความรัก “ความรักอาจจะเจ็บปวดแต่ก็เป็นสิ่งที่สวยงามเสมอ”
7. อย่านั่งๆ นอนๆ อย่าทำให้ตัวเองว่างมากไปเวลา hurt ให้พยายามออกไปข้างนอก ไปทำอะไรหนุกๆ ให้วงจร endorphin มันทำงานบ้าง สารสื่อประสาทที่มัน unbalance จะได้กลับมาปกติได้เร็วๆ
8.อย่ารอ อย่าตั้งความหวังลมๆ แล้งๆ ว่าเค้าจะกลับมา ถ้าเราไม่มั่นใจว่ามันจะเป็นไปได้จริง มันไม่ใช่แค่จะทำให้เราทุกข์ทนรอสิ่งที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง เสียเวลาชีวิตไปเปล่า แต่มันยังทำให้เขาคนนั้นรู้สึกอึดอัดและรู้สึกผิดต่อเรา (ทั้งๆที่ไม่ใช่ความผิดของเขา)
9.ก่อนจากข้อสุดท้าย สำหรับคนชอบคิดไปเองอย่างผม เพียงแรกเจอก็จินตนาการไปไกลโข ถึงขั้นแต่งงาน 555 คืออย่าพยายามให้ความสัมพันธ์มีลักษณะเป็น unequal love เช่น แอบชอบคนหนึ่งได้ แต่อย่าเก็บไว้นานเกินไปโดยไม่แสดงออก เพราะถึงจุดหนึ่ง ความรักของเรามันลึกซึ้งขึ้นมาก ทำให้ความรักของเรา “รักเราไม่เท่ากัน"
“หากว่าใครถาม ว่าเราจบลงด้วยเรื่องอะไร
ฉันคงทำได้เพียงแค่ตอบเขาไป
ว่าที่สุดแล้วจะทำอย่างไร
รักเราที่มีให้ไปมันไม่เท่ากัน”
ปล.1 แล้วทุกท่านเคยเจออะไรผ่านอะไรมาบ้าง มา"เล่าสู่กันฟัง" กันครับ
ปล.2 ขอบคุณคนที่เคยผ่านเข้ามา สอนให้ฉันได้รู้จักความรัก