นี่คือปัญหา จากการศึกษาหลายอย่างในการลงทุนแบบ VI ในช่วงที่หุ้นเติบโตมากขึ้นหรือดัชนีปรับสูงขึ้นนั้น นักลงทุนปกติไม่ได้ลงทุนตามมูลค่าของหุ้น แล้วเพราะอะไรล่ะ แล้วพวกเขาไม่ต้องการลงทุนดีขึ้นและสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้นกว่าเดิมเลยหรือ
Christopher Browne จากบริษัท Tweedy Browne ที่เคยเรียนในโรงเรียนธุรกิจโคลัมเบีย ได้พูดถึงผู้จัดการทางการเงินและนักลงทุนที่มีเงื่อนไขทดสอบแนวทางต่างๆ เนื่องจากเป็นความกลัวพื้นฐานของมนุษย์ ความกลัวนี้ก็ยังเข้าสู่กลุ่มสังคมด้วย
Browne ยังพูดถึงพฤติกรรมที่มีความแตกต่างหลากหลายของผู้คนที่กำลังเจอกับชะตากรรมในการมักใหญ่ใฝ่สูงในการเป็นนักลงทุน VI ที่ดี ตัวอย่างเช่นมีแรงจูงใจซื้อขายหุ้นเมื่อยังต้องการอยากทำกำไรมากขึ้นไปอีก เขาได้อ้างถึงการศึกษาการซื้อขายหุ้นมากกว่า 1 แสนกว่าตัวที่พบได้จากนักลงทนส่วนใหญ่ หุ้นส่วนใหญ่พวกเขาต่างก็ขายหุ้นออกไปที่ปรับเพิ่มขึ้นเพียงแค่ 3.4 % หลังจากปีนั้น แล้วจากนั้นหุ้นมันก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง พวกเราก็คงคิดไม่ถึงน่ะสิ
พวกเรากับนักลงทุนส่วนใหญ่ยังใช้หลักการตัดสินใจที่ผิดพลาดในช่วงเวลาที่สำคัญเป็นส่วนใหญ่
แม้จะฝึกฝนยังไงนักลงทุน VI ก็ยังล้มเหลวอยู่
การลงทุน VI ที่ประสบความสำเร็จจะมีอยู่ 2 อย่างก็คือ จะต้องรู้เทคนิควิเคราะห์มูลค่าหุ้นแต่ละตัวและสอง จะต้องมียึดหลักกฎวินัยของตัวเองอย่างเคร่งครัดแม้ว่าตลาดหุ้นจะเป็นยังไงและทำลายจิตใจนักลงทุนยังไงก็ตามที่ทำให้พวกเรารู้สึกผิด
การเรียนรู้เทคนิคนี้ส่วนหนึ่งก็เป็นเรื่องง่าย แต่ทำตามกฎวินัยเป็นเรื่องยาก จึงต้องมีความอดทนและความเชื่อในการปฎิบัติ เมื่อพวกเราวางเงินที่สวนตลาดในฐานะที่เป็นนักลงทุน VI บ่อยครั้งพวกเราก็ต้องยืนอยู่โดดเดี่ยว จึงต้องใช้ความกล้าในการให้กำลังใจตัวเอง
เป็นเวลากว่า 15 ปีที่ผมได้ลงทุนแบบ VI ผมได้เรียนรู้เพียงแค่ไม่กี่อย่าง ผมก็อยากจะแชร์มุมมองบ้าง ก็มีบางข้อที่ผมนำไปใช้เป็นหลักปรัชญา
1.ซื้อเพื่อลงทุนธุรกิจ ไม่ได้ซื้อตามราคาหุ้น การวิเคราะห์ของผมส่วนใหญ่จะมีการเปรียบเทียบมูลค่าตลาดก็คือ มูลค่าเนื้อแท้ มีการคำนวณที่แน่นอน แทนที่จะมองหาแนวทางอื่นๆในการเข้ามาช่วย ตัวอย่างเช่น มันช่วยให้ผมรู้สึกได้สัมผัสขนาดของธุรกิจและการขายที่สามารถเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรมอื่นๆได้ ยังช่วยให้ผมลบอิทธิพลความเชื่อต่างๆอย่างเช่น การกลับเข้าไปซื้อหุ้นหรือข้อมูลข่าวสารที่ออกมาใหม่ๆ ราคาหุ้นจึงเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมจะมาดู
2.เมื่อธุรกิจดำเนินการดี ก็เข้าไปซื้อหุ้นเพิ่มอีก ครั้งหนึ่งหุ้น NEI ปรับตัวลดลงกว่า 40 % หลังจากที่มีการประกาศถึงอนาคตที่จะปฎิเสธทำธุรกิจกับ EMC อย่างไรก็ตามก็มีการวิจัยหุ้น NEI ว่า มีบัญชีงบดุลที่แข็งแกร่งมากและบริษัทก็ยังมีกำไรอยู่ ราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงก็ถือเป็นเรื่องดีที่ผมจะเข้าไปซื้อบริเวณนั้น สิ่งหนึ่งที่จะต้องเข้าใจก็คือตลาดหุ้นมันไม่มีเหตุผลในช่วงระยะสั้นและโดยทั่วไปก็มีปฎิกิริยาแบบนั้น ผมจึงเข้าไปซื้อในราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงกว่า 40-50 % บริษัทที่มีมูลค่าต่ำกว่าความจริงก็เป็นที่น่าสนใจต่อผู้ซื้อและบริษัทก็จะต้องกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกหลังจากนั้น
3.หุ้นอาจจะมีมูลค่าต่ำกว่าเป็นระยะเวลานาน ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเป็นระยะเวลานาน และจากนั้นวันหนึ่งก็พบว่าหุ้นตัวนั้นมีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง และก็สามารถสร้างมูลค่าจากแฟรนช์ไชน์ทำกำไรต่อเนื่อง จึงเป็นเรื่องดีที่จะต้องจับตาดู อาจจะพบกับความสับสนในการรอคอยหุ้นในการแสดงความจริงให้ปรากฎ จึงต้องมีความอดทนและก็สามารถทำในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นให้ได้ ถือเป็นกุญแจสำคัญของนักลงทุนน้อยมากที่มีอยู่
4.ไม่ต้องเร่งรีบอะไร จะพิสูจน์อะไรให้เห็นจะต้องใช้ความอดทนแต่ในแนวทางที่แตกต่างนั้น หากพวกเรายังใช้ความขยันและก็ไม่ได้มีความพร้อมต่อการตัดสินใจ ก็อย่าเพิ่งซื้อหุ้น มันไม่สำคัญหรอกว่าหากหุ้นมันปรับเพิ่มขึ้นและพวกเราคิดว่าโอกาสอาจจะหลุดลอยไป ยังมีแนวคิดอื่นๆที่พวกเราจะต้องคิดอีกมาก การที่พวกเราทำอะไรโดยไม่มีแรงจูงใจเลยจะทำให้ได้รับบทเรียนที่มีราคาแพงมาก
5.พวกเราจะการันตีได้ยังไง? หากพวกเราคิดว่าหุ้นมันมีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริงและก็มีบางอย่างหรือเหตุการณ์อื่นๆเกิดขึ้นกับมูลค่านั้น? แล้วพวกเราจะรู้ได้อย่างไรว่าบางอย่างจะต้องเกิดขึ้น? บางทีก็มีความแตกต่างในเรื่องการเร่งปฎิกิริยาที่ไม่เหมือนกัน ก็มีความเป็นไปได้ใช่ไหมว่าจะมีปฎิกิริยาหนึ่งเข้ามาเล่นงาน? มันเร็วแค่ไหน? และพวกเราจะแน่ใจได้อย่างไร?
บางกรณีพวกเราอาจจะมีแนวคิดดีๆต่อปฎิกิริยาที่เกิดขึ้น กรณีตัวอย่างส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามก็มีความเป็นไปได้ที่มีความแตกต่างทางความคิดจิตใจที่พวกเราเล่นอยู่ การสร้างรูปแบบความคิดจิตใจก่อนที่จะเข้าไปซื้อหุ้น และการเติมเชื้อเพลิงในแต่ละช่วงไม่ได้ช่วยเรื่องความคิดในเรื่องความปรารถนาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยังช่วยสร้างข้อมูลใหม่ๆหรือมองเห็นการพัฒาและก็เข้าใจรูปแบบความคิดจิตใจที่เหมาะสมและเมื่อพวกเราพบว่า 99 % ของนักลงทุนทำผิดพลาด พวกเราก็การันตีความจริงได้ดังนี้คือ 1.พวกเราจะต้องถูกโน้มเอียงมองหาหุ้นที่มีอะไรดีๆเกิดขึ้นและ 2.พวกเราก็จะต้องมาดูส่วนข้อมูลปฎิกิริยาเมื่อเวลานั้นมาถึง
นักลงทุน VI ส่วนใหญ่ล้มเหลวการทดสอบอย่างใดอย่างหนึ่ง กฎวินัยถือเป็นเรื่องยากที่จะทำ มูลค่าที่ต่ำกว่าก็ไม่ได้เป็นตัวการันตีเรื่องการทำกำไร และพวกเราก็จะรู้ได้เลยว่า พวกเรากำลังหน้ามืดตามัวอยู่ ผู้จัดการทางการเงินส่วนใหญ่ก็มีความรู้สึกอยากลงทุนในเงินเต็มจำนวนเมื่อยังไม่มีแนวคิดดีๆ ความสำเร็จส่วนใหญ่ก็จะปรากฏให้เห็นจากการลงทุนและความเป็นอิสระจากสถาบันซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก
เมื่อผมใช้ความอดทน จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องเข้าใจว่า ช่วงเวลาต่างๆมันเป็นสิ่งสำคัญมาก แล้วพวกเราจะมาดูในส่วนของเรื่องเวลาที่จะต้องมารอยคอยกับช่วงเวลาที่จะต้องปฎิบัติกันอย่างไรล่ะ? ประสบการณ์ช่วยได้ แต่สำคัญกว่านั้นก็คือจะต้องมีการดำเนินการที่ดีและมียุทธศาสตร์เดินหน้าได้ ในแต่ละช่วงพวกเราก็ตัดสินใจผิดพลาดหลายครั้ง แต่ก็เป็นเรื่องดีที่พวกเราเก็บประสบการณ์พวกนี้เอาไว้ การที่จะขจัดความผิดพลาดของนักลงทุนส่วนใหญ่ง่ายๆก็คือ ไม่ต้องไปทำแบบนั้น ทำเพียงแค่นี้ก็เป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกเราที่ช่วยก้าวข้ามนักลงทุนส่วนใหญ่ได้แล้ว
ผู้แปล Mr.lawrence10
(เรื่องน่ารู้ภาคพิเศษ) เพราะอะไรการลงทุนของพวกเราแบบ VI ถึงล้มเหลว
Christopher Browne จากบริษัท Tweedy Browne ที่เคยเรียนในโรงเรียนธุรกิจโคลัมเบีย ได้พูดถึงผู้จัดการทางการเงินและนักลงทุนที่มีเงื่อนไขทดสอบแนวทางต่างๆ เนื่องจากเป็นความกลัวพื้นฐานของมนุษย์ ความกลัวนี้ก็ยังเข้าสู่กลุ่มสังคมด้วย
Browne ยังพูดถึงพฤติกรรมที่มีความแตกต่างหลากหลายของผู้คนที่กำลังเจอกับชะตากรรมในการมักใหญ่ใฝ่สูงในการเป็นนักลงทุน VI ที่ดี ตัวอย่างเช่นมีแรงจูงใจซื้อขายหุ้นเมื่อยังต้องการอยากทำกำไรมากขึ้นไปอีก เขาได้อ้างถึงการศึกษาการซื้อขายหุ้นมากกว่า 1 แสนกว่าตัวที่พบได้จากนักลงทนส่วนใหญ่ หุ้นส่วนใหญ่พวกเขาต่างก็ขายหุ้นออกไปที่ปรับเพิ่มขึ้นเพียงแค่ 3.4 % หลังจากปีนั้น แล้วจากนั้นหุ้นมันก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง พวกเราก็คงคิดไม่ถึงน่ะสิ
พวกเรากับนักลงทุนส่วนใหญ่ยังใช้หลักการตัดสินใจที่ผิดพลาดในช่วงเวลาที่สำคัญเป็นส่วนใหญ่
แม้จะฝึกฝนยังไงนักลงทุน VI ก็ยังล้มเหลวอยู่
การลงทุน VI ที่ประสบความสำเร็จจะมีอยู่ 2 อย่างก็คือ จะต้องรู้เทคนิควิเคราะห์มูลค่าหุ้นแต่ละตัวและสอง จะต้องมียึดหลักกฎวินัยของตัวเองอย่างเคร่งครัดแม้ว่าตลาดหุ้นจะเป็นยังไงและทำลายจิตใจนักลงทุนยังไงก็ตามที่ทำให้พวกเรารู้สึกผิด
การเรียนรู้เทคนิคนี้ส่วนหนึ่งก็เป็นเรื่องง่าย แต่ทำตามกฎวินัยเป็นเรื่องยาก จึงต้องมีความอดทนและความเชื่อในการปฎิบัติ เมื่อพวกเราวางเงินที่สวนตลาดในฐานะที่เป็นนักลงทุน VI บ่อยครั้งพวกเราก็ต้องยืนอยู่โดดเดี่ยว จึงต้องใช้ความกล้าในการให้กำลังใจตัวเอง
เป็นเวลากว่า 15 ปีที่ผมได้ลงทุนแบบ VI ผมได้เรียนรู้เพียงแค่ไม่กี่อย่าง ผมก็อยากจะแชร์มุมมองบ้าง ก็มีบางข้อที่ผมนำไปใช้เป็นหลักปรัชญา
1.ซื้อเพื่อลงทุนธุรกิจ ไม่ได้ซื้อตามราคาหุ้น การวิเคราะห์ของผมส่วนใหญ่จะมีการเปรียบเทียบมูลค่าตลาดก็คือ มูลค่าเนื้อแท้ มีการคำนวณที่แน่นอน แทนที่จะมองหาแนวทางอื่นๆในการเข้ามาช่วย ตัวอย่างเช่น มันช่วยให้ผมรู้สึกได้สัมผัสขนาดของธุรกิจและการขายที่สามารถเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรมอื่นๆได้ ยังช่วยให้ผมลบอิทธิพลความเชื่อต่างๆอย่างเช่น การกลับเข้าไปซื้อหุ้นหรือข้อมูลข่าวสารที่ออกมาใหม่ๆ ราคาหุ้นจึงเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมจะมาดู
2.เมื่อธุรกิจดำเนินการดี ก็เข้าไปซื้อหุ้นเพิ่มอีก ครั้งหนึ่งหุ้น NEI ปรับตัวลดลงกว่า 40 % หลังจากที่มีการประกาศถึงอนาคตที่จะปฎิเสธทำธุรกิจกับ EMC อย่างไรก็ตามก็มีการวิจัยหุ้น NEI ว่า มีบัญชีงบดุลที่แข็งแกร่งมากและบริษัทก็ยังมีกำไรอยู่ ราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงก็ถือเป็นเรื่องดีที่ผมจะเข้าไปซื้อบริเวณนั้น สิ่งหนึ่งที่จะต้องเข้าใจก็คือตลาดหุ้นมันไม่มีเหตุผลในช่วงระยะสั้นและโดยทั่วไปก็มีปฎิกิริยาแบบนั้น ผมจึงเข้าไปซื้อในราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงกว่า 40-50 % บริษัทที่มีมูลค่าต่ำกว่าความจริงก็เป็นที่น่าสนใจต่อผู้ซื้อและบริษัทก็จะต้องกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกหลังจากนั้น
3.หุ้นอาจจะมีมูลค่าต่ำกว่าเป็นระยะเวลานาน ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเป็นระยะเวลานาน และจากนั้นวันหนึ่งก็พบว่าหุ้นตัวนั้นมีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง และก็สามารถสร้างมูลค่าจากแฟรนช์ไชน์ทำกำไรต่อเนื่อง จึงเป็นเรื่องดีที่จะต้องจับตาดู อาจจะพบกับความสับสนในการรอคอยหุ้นในการแสดงความจริงให้ปรากฎ จึงต้องมีความอดทนและก็สามารถทำในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นให้ได้ ถือเป็นกุญแจสำคัญของนักลงทุนน้อยมากที่มีอยู่
4.ไม่ต้องเร่งรีบอะไร จะพิสูจน์อะไรให้เห็นจะต้องใช้ความอดทนแต่ในแนวทางที่แตกต่างนั้น หากพวกเรายังใช้ความขยันและก็ไม่ได้มีความพร้อมต่อการตัดสินใจ ก็อย่าเพิ่งซื้อหุ้น มันไม่สำคัญหรอกว่าหากหุ้นมันปรับเพิ่มขึ้นและพวกเราคิดว่าโอกาสอาจจะหลุดลอยไป ยังมีแนวคิดอื่นๆที่พวกเราจะต้องคิดอีกมาก การที่พวกเราทำอะไรโดยไม่มีแรงจูงใจเลยจะทำให้ได้รับบทเรียนที่มีราคาแพงมาก
5.พวกเราจะการันตีได้ยังไง? หากพวกเราคิดว่าหุ้นมันมีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริงและก็มีบางอย่างหรือเหตุการณ์อื่นๆเกิดขึ้นกับมูลค่านั้น? แล้วพวกเราจะรู้ได้อย่างไรว่าบางอย่างจะต้องเกิดขึ้น? บางทีก็มีความแตกต่างในเรื่องการเร่งปฎิกิริยาที่ไม่เหมือนกัน ก็มีความเป็นไปได้ใช่ไหมว่าจะมีปฎิกิริยาหนึ่งเข้ามาเล่นงาน? มันเร็วแค่ไหน? และพวกเราจะแน่ใจได้อย่างไร?
บางกรณีพวกเราอาจจะมีแนวคิดดีๆต่อปฎิกิริยาที่เกิดขึ้น กรณีตัวอย่างส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามก็มีความเป็นไปได้ที่มีความแตกต่างทางความคิดจิตใจที่พวกเราเล่นอยู่ การสร้างรูปแบบความคิดจิตใจก่อนที่จะเข้าไปซื้อหุ้น และการเติมเชื้อเพลิงในแต่ละช่วงไม่ได้ช่วยเรื่องความคิดในเรื่องความปรารถนาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยังช่วยสร้างข้อมูลใหม่ๆหรือมองเห็นการพัฒาและก็เข้าใจรูปแบบความคิดจิตใจที่เหมาะสมและเมื่อพวกเราพบว่า 99 % ของนักลงทุนทำผิดพลาด พวกเราก็การันตีความจริงได้ดังนี้คือ 1.พวกเราจะต้องถูกโน้มเอียงมองหาหุ้นที่มีอะไรดีๆเกิดขึ้นและ 2.พวกเราก็จะต้องมาดูส่วนข้อมูลปฎิกิริยาเมื่อเวลานั้นมาถึง
นักลงทุน VI ส่วนใหญ่ล้มเหลวการทดสอบอย่างใดอย่างหนึ่ง กฎวินัยถือเป็นเรื่องยากที่จะทำ มูลค่าที่ต่ำกว่าก็ไม่ได้เป็นตัวการันตีเรื่องการทำกำไร และพวกเราก็จะรู้ได้เลยว่า พวกเรากำลังหน้ามืดตามัวอยู่ ผู้จัดการทางการเงินส่วนใหญ่ก็มีความรู้สึกอยากลงทุนในเงินเต็มจำนวนเมื่อยังไม่มีแนวคิดดีๆ ความสำเร็จส่วนใหญ่ก็จะปรากฏให้เห็นจากการลงทุนและความเป็นอิสระจากสถาบันซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก
เมื่อผมใช้ความอดทน จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องเข้าใจว่า ช่วงเวลาต่างๆมันเป็นสิ่งสำคัญมาก แล้วพวกเราจะมาดูในส่วนของเรื่องเวลาที่จะต้องมารอยคอยกับช่วงเวลาที่จะต้องปฎิบัติกันอย่างไรล่ะ? ประสบการณ์ช่วยได้ แต่สำคัญกว่านั้นก็คือจะต้องมีการดำเนินการที่ดีและมียุทธศาสตร์เดินหน้าได้ ในแต่ละช่วงพวกเราก็ตัดสินใจผิดพลาดหลายครั้ง แต่ก็เป็นเรื่องดีที่พวกเราเก็บประสบการณ์พวกนี้เอาไว้ การที่จะขจัดความผิดพลาดของนักลงทุนส่วนใหญ่ง่ายๆก็คือ ไม่ต้องไปทำแบบนั้น ทำเพียงแค่นี้ก็เป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกเราที่ช่วยก้าวข้ามนักลงทุนส่วนใหญ่ได้แล้ว
ผู้แปล Mr.lawrence10