เป็นครั้งแรกที่ตั้งกระทู้นะค่ะ อาจจะใช้คำหรือลำดับเหตุการณ์ได้ไม่ดีนัก เนื่องจากทุกข์ใจมากมายจนต้องขอคำปรึกษาจากคนอื่นๆบ้างเพื่อจะได้ทราบแนวทางในการรับมือกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น และเป็นการระบายความอัดอั้นตันใจที่เก็บสะสมมานาน เริ่มกันเลยนะค่ะ
เราอยู่กินกับสามีมาสิบปีโดยไม่ได้แต่งงานและไม่ได้จดทะเบียนสมรส ช่วยกันทำมาหากินสร้างเนื้อสร้างตัวจนมีทรัพย์สมบัติมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มเก็บสะสมทรัพย์สินเป็นบ้าน ที่ดินและรถยนต์ ทุกอย่างมีมากกว่า 1 และใช้เงินสดซื้อทั้งหมด เป็นชื่อสามีทั้งหมดค่ะ โดยเราก้อไม่เคยขอมีชื่อในทรัพย์สินเลย เพราะถือว่าของสามีก้อเหมือนของตัวเอง
ต่อมามีบุตรด้วยกัน 1 คน เราต้องรับหน้าที่ดูแลลูกเลยมิได้ช่วยกิจการสามีเหมือนแต่ก่อน เมื่อเลี้ยงลูกว่างและอยากหารายได้เสริมด้วยการขายของออนไลน์ แต่สามีไม่สนับสนุนเรื่องเงินทุน จึงได้ปลอมแปลงลายเซ็นต์เช็คเบิกเงินบริษัทออกมา นำเช็คไปเบิกจ่ายอยู่หลายครั้งรวมเป็นจำนวนเงินมากถึงเจ็ดหลัก เช็คต้องลงลายมือชื่อ 2 คน คือเราและสามีค่ะ ตลอดเวลาที่เอาเงินออกมาได้ลงทุนซื้อสินค้าและสามีเห็นตลอดว่ามีสินค้ามาจิง แต่ไม่ทราบว่าเรานำเงินจากไหนมาลงทุน เพราะเราปกปิดมาตลอด สุดท้ายสามีทราบเรื่องและไปขอเอกสารจากทางธนาคารมาแต่มิได้ทำการแจ้งความใดๆ หลังจากทราบเรื่องสามีโกรธแค้นเรามากแต่ไม่แสดงออก
หลังจากนั้นเป็นต้นมาเราจะโดนสามีทำร้ายร่างกายอยู่บ่อยๆ ล่าสุดที่โดนคือโดนชกต่อยและฟาดด้วยกีต้าร์หลายครั้งจนเจ็บระบบร่างกายไม่อาจทนไหวต้องเข้าโรงพยาบาล แต่เราต้องโกหกหมอว่าเราเป็นลมตกบันได มีอยู่ครั้งนึงที่เราเอาบัตรเครดิตเค๊ามาใช้ซื้อของจากต่างประเทศและมีเจ้าหน้าที่โทรมาแจ้งเค๊าว่ามีการใช้บัตรไปซื้อของจากเวปไซร์ต่างประเทศเค๊าหันมามองหน้าเราและแจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่าเค๊าไม่ได้เป็นคนใช้บัตรไม่ทราบเรื่อง (เราพยักหน้าตอบว่าเป็นเราเองที่เอาไปใช้) หลังจากวางสายเค๊าทำร้ายร่างการเราจนเกือบปางตาย ทุกครั้งเราโดนทำร้ายลูกเห็นเหตุการณ์อยู่เสมอ จนล่าสุดเค๊ามอบเงินให้เราก้อนนึงเพื่อนำไปชำระหนี้ทางการค้าเพราะขณะนั้นเรามีปัญหาเรืองเงินอยู่ แต่ให้เราเซ็นต์ยินยอมยกลูกให้อยู่ในความดูแลของเค๊าและให้เราออกจากบ้านไป เราจำใจต้องยอมรับเงินก้อนนี้เพื่อยุติปัญหานอกบ้านและออกไปอยู่บ้านแม่ แต่เช้ามาก้อมาดูแลลูกค่ำๆก้อกลับไปนอนบ้าน เนื่องจากเราไม่ไว้ใจให้ญาติเค๊าดูแลลูกเรา เพราะขนาดเราอยู่ที่บ้านด้วยญาติเค๊ายังดูแลไม่ได้เลยหากปล่อยไว้โดยลำพังกลัวว่าลูกจะได้รับอันตรายจากความประมาทของผู้ใหญ่ ไปมาแบบนี้อยู่หลายเดือน จนเราถูกทำร้ายครั้งสุดท้ายที่ต้องเข้าโรงพยาบาล เราออกจากโรงพยบาลก้อกลับมาพักที่บ้านของเรา เราไม่ได้กลับไปอยู่บ้านแม่แล้วแม้เค๊าจะพูดจาดูถูกหรือไล่ให้เรากลับไปอยู่บ้านอย่างไร เราก้อไม่ไป เพราะเราสงสารลูกเวลาถูกเค๊าตีจะเหมือนคนบ้า มีทั้งตีด้วยมือ ตีด้วยไม้ ตบปากบ้างจนบางครั้งเลือดออกปาก บางครั้งก้อบอกว่าเด่วกูเตะเลย แต่ยังไม่เคยแตะนะ ส่วนเราต้องอดทนยืนดูอยู่เฉยๆน้ำตาไหลอาบแก้มแต่ช่วยอะไรลูกไม่ได้ และทุกวันนี้เค๊าก้อยังข่มขู่สารพัด ให้ลองดูว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าพาลูกหนีจากเค๊าไป เรามั่นใจว่าเค๊าจะเอาเรื่องเราจากเรืองเช็คและบัตรเครดิต เพราะเค๊ามั่นใจว่าจะเป็นฝ่ายชนะคดีและได้ลูกมาอยู่ในความปกครองถ้าหากเค๊าฟ้องคดีเรา เค๊ามีหน้าที่การงานที่มั่นคงเป็นเจ้าของบริษัท มีรายได้ที่แน่นอน และมีทรัพย์สมบัติมากพอที่จะเลี้ยงดูลูกให้อยู่อย่างสุขสบาย
ลืมบอกค่ะ ตลอดระยะเวลาสิบปีมานี้ ทางบ้านเราได้รับความช่วยเหลือจากเค๊าเป็นจำนวนเงินห้าหมื่นบาท ในขณะที่เค๊าขนเงินไปต่อเติมบ้านตัวเองที่ต่างจังหวัด ซื้อทุกอย่างที่อำนวยความสะดวกให้พ่อแม่ใช้ เอารถไปทิ้งไว้บ้านต่างจังหวัดอีก 2 คัน ลงทุนให้น้องและดาวน์รถให้น้องเป็นเงินเกือบล้าน ไถ่ถอนที่ดินทางบ้านที่ติดจำนองโดยไม่มีการบอกเราแต่อย่างไร แต่เราไม่ได้สนใจเพราะถือว่าเค๊าเป็นหลักในการหาเงินเข้าบ้าน จะใช้จ่ายอะไรเราไม่เคยต่อว่าหรือห้ามปราม ให้งินใครยืมก้อเป็นหนี้สูญ ทำงานโดนลูกค้าโกงไม่จ่ายเงินสิบปีมานี้รวมได้น่าจะหลายล้านบาทค่ะ เรามั่นใจว่ามากกว่าที่เรานำเงินออกมาจากบัญชีแน่นอน แต่ทุกครั้งที่เค๊าผิดพลาดเราจะไม่เคยต่อว่าต่อขาน แถมยังให้กำลังใจทุกครั้งไป ซื้อทองเพชรนาฬิกาหรือสิ่งมีค่าใดๆ ไม่เคยมีสักครั้งที่ซื้อให้เราด้วย เค๊าจะซื้อของเค๊าคนเดียวและไม่เคยเอ่ยถามสักครั้งว่าเราต้องการไหมเราจะอยู่ด้วยทุกครั้ง แต่เราไม่ต้องการหรอกเพราะเราไม่ได้อยากได้ แต่ปัญหาสะสมตั้งแต่เค๊ารู้เรื่องที่เราทำผิดและเราก้ออดทนมาตลอด แต่ครั้งนี้เราไม่อาจทนต่อได้อีกแล้ว เพราะเค๊าจะทำร้ายเราแต่โดนห้ามปรามด้วยญาติเสียก่อน แต่ก้อยังข่มขู่เราว่าถ้าจะทำร้ายเราแล้วไม่เข้าไปนอนโรงพยาบาลมันไม่สะใจว่ะ เค๊าพูดแบบนี้พูดกับลูกซึ่งเราก้อนั่งฟังอยู่ด้วย จากคำพูดในครั้งนี้ทำให้เรามานั่งทบทวนความอดทนของตัวเองว่าเราควรจะอยู่ทนต่อไปกับคนแบบนี้หรือ หรือจะจบปัญหาทุกอย่างด้วยการพาลูกออกมาจากบ้าน เราจึงมีคำถามต่อไปนี้ค่ะ รบกวนผู้รู้มาให้คำตอบด้วยค่ะ
1.หากเราถูกทำร้ายร่างกายอีกครั้งซึ่งก้อไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดหรือป่าว เพราะเค๊าพูดแล้วว่าถ้าทำแล้วไม่ได้เข้าไปนอนในโรงพยาบาลมันไม่สะใจ หากเรามีหลักฐานและเก็บข้อความเสียงขณะโดนทำร้ายไว้ได้ อันนี้เราสามารถแจ้งความได้ในข้อหาใดบ้างค่ะ
2.หากเราจะฟ้องเลิกและแบ่งสมบัติที่หามาด้วยกันสามารถทำได้หรือไม่คะ เพราะเราไม่ได้จดทะเบียนสมรส และหลักฐานใดๆก้อไม่มี มีแค่บุตรที่เกิดจากเค๊า 1 คน
3.บุตรที่ดูแลร่วมกันอยู่ตอนนี้ยังเป็นสิทธิปกครองของเราอยู่หรือเป็นสิทธิของเค๊าไปแล้วค่ะ เพราะเราเซ็นต์เอกสารยกสิทธิให้เค๊าเป็นข้อความที่ร่างเองและมีพ่อเราเซ็นต์เป็นพยานโดยที่พ่อเราก้อไม่ทราบเรื่องเพราะเราไม่ได้บอกว่าเซ็นต์เรื่องอะไร
4.กรณีที่เราปลอมแปลงลายเซ็นต์เพื่อนำเงินออกมาจาก บช และขโมยใช้บัตรเครดิตของสามีใช้อันนี้เราจะโดนข้อหาใดได้บ้างค่ะ
เราขอคำตอบด้วยค่ะ เพราะทุกวันนี้เราต้องอยู่อย่างหวาดผวาไม่รู้ว่าจะต้องโดนทำร้ายร่างกายวันไหน
ขอบคุณมากคะ
ความผิดที่ทับซ้อนกันอยู่ จะแก้ไขอย่างไรเพื่อปลดปล่อยตัวเอง
เราอยู่กินกับสามีมาสิบปีโดยไม่ได้แต่งงานและไม่ได้จดทะเบียนสมรส ช่วยกันทำมาหากินสร้างเนื้อสร้างตัวจนมีทรัพย์สมบัติมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มเก็บสะสมทรัพย์สินเป็นบ้าน ที่ดินและรถยนต์ ทุกอย่างมีมากกว่า 1 และใช้เงินสดซื้อทั้งหมด เป็นชื่อสามีทั้งหมดค่ะ โดยเราก้อไม่เคยขอมีชื่อในทรัพย์สินเลย เพราะถือว่าของสามีก้อเหมือนของตัวเอง
ต่อมามีบุตรด้วยกัน 1 คน เราต้องรับหน้าที่ดูแลลูกเลยมิได้ช่วยกิจการสามีเหมือนแต่ก่อน เมื่อเลี้ยงลูกว่างและอยากหารายได้เสริมด้วยการขายของออนไลน์ แต่สามีไม่สนับสนุนเรื่องเงินทุน จึงได้ปลอมแปลงลายเซ็นต์เช็คเบิกเงินบริษัทออกมา นำเช็คไปเบิกจ่ายอยู่หลายครั้งรวมเป็นจำนวนเงินมากถึงเจ็ดหลัก เช็คต้องลงลายมือชื่อ 2 คน คือเราและสามีค่ะ ตลอดเวลาที่เอาเงินออกมาได้ลงทุนซื้อสินค้าและสามีเห็นตลอดว่ามีสินค้ามาจิง แต่ไม่ทราบว่าเรานำเงินจากไหนมาลงทุน เพราะเราปกปิดมาตลอด สุดท้ายสามีทราบเรื่องและไปขอเอกสารจากทางธนาคารมาแต่มิได้ทำการแจ้งความใดๆ หลังจากทราบเรื่องสามีโกรธแค้นเรามากแต่ไม่แสดงออก
หลังจากนั้นเป็นต้นมาเราจะโดนสามีทำร้ายร่างกายอยู่บ่อยๆ ล่าสุดที่โดนคือโดนชกต่อยและฟาดด้วยกีต้าร์หลายครั้งจนเจ็บระบบร่างกายไม่อาจทนไหวต้องเข้าโรงพยาบาล แต่เราต้องโกหกหมอว่าเราเป็นลมตกบันได มีอยู่ครั้งนึงที่เราเอาบัตรเครดิตเค๊ามาใช้ซื้อของจากต่างประเทศและมีเจ้าหน้าที่โทรมาแจ้งเค๊าว่ามีการใช้บัตรไปซื้อของจากเวปไซร์ต่างประเทศเค๊าหันมามองหน้าเราและแจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่าเค๊าไม่ได้เป็นคนใช้บัตรไม่ทราบเรื่อง (เราพยักหน้าตอบว่าเป็นเราเองที่เอาไปใช้) หลังจากวางสายเค๊าทำร้ายร่างการเราจนเกือบปางตาย ทุกครั้งเราโดนทำร้ายลูกเห็นเหตุการณ์อยู่เสมอ จนล่าสุดเค๊ามอบเงินให้เราก้อนนึงเพื่อนำไปชำระหนี้ทางการค้าเพราะขณะนั้นเรามีปัญหาเรืองเงินอยู่ แต่ให้เราเซ็นต์ยินยอมยกลูกให้อยู่ในความดูแลของเค๊าและให้เราออกจากบ้านไป เราจำใจต้องยอมรับเงินก้อนนี้เพื่อยุติปัญหานอกบ้านและออกไปอยู่บ้านแม่ แต่เช้ามาก้อมาดูแลลูกค่ำๆก้อกลับไปนอนบ้าน เนื่องจากเราไม่ไว้ใจให้ญาติเค๊าดูแลลูกเรา เพราะขนาดเราอยู่ที่บ้านด้วยญาติเค๊ายังดูแลไม่ได้เลยหากปล่อยไว้โดยลำพังกลัวว่าลูกจะได้รับอันตรายจากความประมาทของผู้ใหญ่ ไปมาแบบนี้อยู่หลายเดือน จนเราถูกทำร้ายครั้งสุดท้ายที่ต้องเข้าโรงพยาบาล เราออกจากโรงพยบาลก้อกลับมาพักที่บ้านของเรา เราไม่ได้กลับไปอยู่บ้านแม่แล้วแม้เค๊าจะพูดจาดูถูกหรือไล่ให้เรากลับไปอยู่บ้านอย่างไร เราก้อไม่ไป เพราะเราสงสารลูกเวลาถูกเค๊าตีจะเหมือนคนบ้า มีทั้งตีด้วยมือ ตีด้วยไม้ ตบปากบ้างจนบางครั้งเลือดออกปาก บางครั้งก้อบอกว่าเด่วกูเตะเลย แต่ยังไม่เคยแตะนะ ส่วนเราต้องอดทนยืนดูอยู่เฉยๆน้ำตาไหลอาบแก้มแต่ช่วยอะไรลูกไม่ได้ และทุกวันนี้เค๊าก้อยังข่มขู่สารพัด ให้ลองดูว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าพาลูกหนีจากเค๊าไป เรามั่นใจว่าเค๊าจะเอาเรื่องเราจากเรืองเช็คและบัตรเครดิต เพราะเค๊ามั่นใจว่าจะเป็นฝ่ายชนะคดีและได้ลูกมาอยู่ในความปกครองถ้าหากเค๊าฟ้องคดีเรา เค๊ามีหน้าที่การงานที่มั่นคงเป็นเจ้าของบริษัท มีรายได้ที่แน่นอน และมีทรัพย์สมบัติมากพอที่จะเลี้ยงดูลูกให้อยู่อย่างสุขสบาย
ลืมบอกค่ะ ตลอดระยะเวลาสิบปีมานี้ ทางบ้านเราได้รับความช่วยเหลือจากเค๊าเป็นจำนวนเงินห้าหมื่นบาท ในขณะที่เค๊าขนเงินไปต่อเติมบ้านตัวเองที่ต่างจังหวัด ซื้อทุกอย่างที่อำนวยความสะดวกให้พ่อแม่ใช้ เอารถไปทิ้งไว้บ้านต่างจังหวัดอีก 2 คัน ลงทุนให้น้องและดาวน์รถให้น้องเป็นเงินเกือบล้าน ไถ่ถอนที่ดินทางบ้านที่ติดจำนองโดยไม่มีการบอกเราแต่อย่างไร แต่เราไม่ได้สนใจเพราะถือว่าเค๊าเป็นหลักในการหาเงินเข้าบ้าน จะใช้จ่ายอะไรเราไม่เคยต่อว่าหรือห้ามปราม ให้งินใครยืมก้อเป็นหนี้สูญ ทำงานโดนลูกค้าโกงไม่จ่ายเงินสิบปีมานี้รวมได้น่าจะหลายล้านบาทค่ะ เรามั่นใจว่ามากกว่าที่เรานำเงินออกมาจากบัญชีแน่นอน แต่ทุกครั้งที่เค๊าผิดพลาดเราจะไม่เคยต่อว่าต่อขาน แถมยังให้กำลังใจทุกครั้งไป ซื้อทองเพชรนาฬิกาหรือสิ่งมีค่าใดๆ ไม่เคยมีสักครั้งที่ซื้อให้เราด้วย เค๊าจะซื้อของเค๊าคนเดียวและไม่เคยเอ่ยถามสักครั้งว่าเราต้องการไหมเราจะอยู่ด้วยทุกครั้ง แต่เราไม่ต้องการหรอกเพราะเราไม่ได้อยากได้ แต่ปัญหาสะสมตั้งแต่เค๊ารู้เรื่องที่เราทำผิดและเราก้ออดทนมาตลอด แต่ครั้งนี้เราไม่อาจทนต่อได้อีกแล้ว เพราะเค๊าจะทำร้ายเราแต่โดนห้ามปรามด้วยญาติเสียก่อน แต่ก้อยังข่มขู่เราว่าถ้าจะทำร้ายเราแล้วไม่เข้าไปนอนโรงพยาบาลมันไม่สะใจว่ะ เค๊าพูดแบบนี้พูดกับลูกซึ่งเราก้อนั่งฟังอยู่ด้วย จากคำพูดในครั้งนี้ทำให้เรามานั่งทบทวนความอดทนของตัวเองว่าเราควรจะอยู่ทนต่อไปกับคนแบบนี้หรือ หรือจะจบปัญหาทุกอย่างด้วยการพาลูกออกมาจากบ้าน เราจึงมีคำถามต่อไปนี้ค่ะ รบกวนผู้รู้มาให้คำตอบด้วยค่ะ
1.หากเราถูกทำร้ายร่างกายอีกครั้งซึ่งก้อไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดหรือป่าว เพราะเค๊าพูดแล้วว่าถ้าทำแล้วไม่ได้เข้าไปนอนในโรงพยาบาลมันไม่สะใจ หากเรามีหลักฐานและเก็บข้อความเสียงขณะโดนทำร้ายไว้ได้ อันนี้เราสามารถแจ้งความได้ในข้อหาใดบ้างค่ะ
2.หากเราจะฟ้องเลิกและแบ่งสมบัติที่หามาด้วยกันสามารถทำได้หรือไม่คะ เพราะเราไม่ได้จดทะเบียนสมรส และหลักฐานใดๆก้อไม่มี มีแค่บุตรที่เกิดจากเค๊า 1 คน
3.บุตรที่ดูแลร่วมกันอยู่ตอนนี้ยังเป็นสิทธิปกครองของเราอยู่หรือเป็นสิทธิของเค๊าไปแล้วค่ะ เพราะเราเซ็นต์เอกสารยกสิทธิให้เค๊าเป็นข้อความที่ร่างเองและมีพ่อเราเซ็นต์เป็นพยานโดยที่พ่อเราก้อไม่ทราบเรื่องเพราะเราไม่ได้บอกว่าเซ็นต์เรื่องอะไร
4.กรณีที่เราปลอมแปลงลายเซ็นต์เพื่อนำเงินออกมาจาก บช และขโมยใช้บัตรเครดิตของสามีใช้อันนี้เราจะโดนข้อหาใดได้บ้างค่ะ
เราขอคำตอบด้วยค่ะ เพราะทุกวันนี้เราต้องอยู่อย่างหวาดผวาไม่รู้ว่าจะต้องโดนทำร้ายร่างกายวันไหน
ขอบคุณมากคะ