จากดินคืนสู่ดิน ๒๔ พ.ค.๕๘

ผู้เฒ่าเล่าอดีต

จากดินคืนสู่ดิน


ตามระเบียบของทางราชการนั้น สำหรับผมซึ่งจะเกษียณอายุ ในเดือนตุลาคม ๒๕๓๕ จะต้องย้ายไปประจำมณฑลทหารบก ตั้งแต่ประมาณเดือนมีนาคม ๒๕๓๔ เพื่อพักรอการปลด เป็นเวลาอย่างมากก็ ๑๙ เดือน พอให้จัดการหาหลักฐานที่จะยื่นเรื่องราวขอรับบำเหน็จบำนาญ และแก้ไขประวัติการรับราชการ ให้ถูกต้องสมบูรณ์ แต่ผู้บังคับบัญชาก็มีสิทธิ์ที่จะไม่ย้าย เพื่อให้ทำงานต่อไปก็ได้เหมือนกัน

ผมจึงได้รับคำสั่งให้ย้าย ไปประจำมณฑลทหารบกที่ ๑๑ กรุงเทพ เมื่อเดือนมกราคม ๒๕๓๕ แต่ทางกรมการทหารสื่อสาร ก็ยังขอตัวไว้ช่วยราชการที่เดิมอีก พร้อมกันนั้นก็ได้กรุณาให้ช่วยราชการ ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ต่อไปอีก ๖ เดือน จนถึงกรกฎาคม จึงได้พ้นจากหน้าที่การงานทั้งสองด้านโดยสิ้นเชิง

ผมวางแผนที่จะใช้เวลาว่างปีกว่านั้น เขียนหนังสือเป็นงานประจำ แทนการทำราชการ โดยไม่คิดที่จะกระยิ้มกระสนหางานที่ไหนทำอีก เพราะได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับงานที่ผ่านมาเกือบ ๔๐ ปี จนอ่อนล้าไปหมดแล้ว และก็ได้ลงมือทำตามที่ตั้งใจไว้ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้พัก จนสามารถขยาย "ชีวิตที่มีกำไร" จาก ๗-๘ หน้า ออกมาเป็น "ชีวิตที่ไม่ได้เลือก" นี้ ถึง ๕๐ กว่าหน้าได้สำเร็จ

และหยิบเอาวรรณคดีไทยที่แปลมาจากพงศาวดารจีน เรื่อง สามก๊ก ของ ท่านเจ้าพระยาพระคลัง (หน) มาย่อยเป็นตอนสั้น ๆ ให้ชื่อว่า "สามก๊กฉบับลิ่วล้อ" ในนามของ "เล่าเซี่ยงชุน" ส่งไปลงพิมพ์ตามนิตยสารของทหารเหล่าอื่น ๆ นอกจากทหารสื่อสาร ตลอดระยะเวลา ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๓๔ จนถึง พ.ศ.๒๕๓๘ ตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย รวม ๕๖ ชุด หรือ ๑๑๙ ตอน

นี่ก็เป็นกำไรชีวิตอีกเรื่องหนึ่งของผมในช่วงท้ายนี้ เพราะคนที่รักการเขียนหนังสือนั้น ไม่มีอะไรจะเป็นความสุขเท่ากับได้เขียนตามใจปรารถนา และสามก๊กฉบับลิ่วล้อ ได้ช่วยให้ผมเข้าถึงวรรณคดีเรื่องนี้ อย่างลึกซึ้งละเอียดละออ ได้รับรสของภาษาอันเป็นอมตะอย่างเต็มอิ่ม จึงต้องขอคารวะพระคุณของ ท่านเจ้าพระยาผู้รจนาเรื่องสามก๊กจากภาษาจีน และท่าน สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ผู้ทรงพระนิพนธ์เรื่องตำนานของสามก๊ก ให้เป็นหลักฐานไว้ ณ โอกาสนี้

จากนั้นก็หันไปหาวรรณคดีไทย พระอภัยมณี ของท่าน สุนทรภู่ เอามาย่อยเป็นตอนสั้น ๆ เป็น พระอภัยมณีฉบับเร่งรัด โดย ฑ.มณฑา แล้วก็เลยไปแกะ รามเกียรติ์ จากภาพจิตรกรรมฝาผนัง ริมระเบียงโบสถ์วัดพระแก้ว เอามาเล่าประกอบกับคำโคลง ที่ประดับเสาระเบียงที่ตรงกับภาพนั้น เป็น รามเกียรติ์ฉบับระเบียงวัด โดย "วชิรพักตร์" ซึ่งตั้งใจจะลอกให้หมดทั้ง ๑๗๘ ห้อง คงจะได้งานทำไปจนตลอดชีวิต นอกจากจะหมดแรงที่จะไปก้ม ๆ เงย ๆ รอบระเบียงนั้นเสียก่อน เพราะการเขียนหนังสือนั้น เป็นงานที่ถนัดอยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

บัดนี้ชีวิตที่เหมือนกับการเดินทางของผม ก็ได้มาถึงโค้งสุดท้าย กำลังจะเลี้ยวลงจากที่สูง เมื่อเหลียวมองกลับหลังไปดูอดีตอันคดเคี้ยวที่ผ่านมา ก็จะเห็นได้ว่า ความสำเร็จที่ได้รับเป็นส่วนใหญ่นั้น ล้วนแต่ได้การประคับประคองเหนี่ยวรั้ง และผลักดัน จากท่านผู้มีพระคุณจำนวนมากมาย ตลอดระยะทางอันยาวไกล ตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาดูโลก นอกจากพ่อซึ่งเป็นต้นกำเนิดของชีวิต และแม่ผู้อุ้มชูเลี้ยงดูมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์ จนเกิดมาเป็นคนแล้ว ก็ยังมีอีกเป็นลำดับ

ชีวิตของคนเรานี้ ไม่มีใครรู้ว่ามาจากไหน จะอยู่ยืนยาวไปได้นานสักเพียงใด จะสิ้นสุดลงเมื่อไร ที่ไหน อย่างไร และจากนั้นจะเป็นอะไรต่อไป ไม่มีใครที่จะให้คำตอบอย่างชัดเจนกระจ่างแจ้งได้ ไม่ว่าในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตก็ตาม

เมื่อครั้งเป็นหนุ่ม ผมเคยชอบใจบทกลอนของ "ดอกไม้สด" ที่ว่า

ครองใจอยู่ในอุเบกขา
อุตส่าห์ในศุภกิจให้ผลิตผล
ค้ำจุนผู้อ่อนแอแลอับจน
ส่วนตนนั้นอย่าได้ของ้อผู้ใด...

ซึ่งผมได้ยึดถือเป็นคติประจำใจเรื่อยมา จนถึงปัจจุบันได้มองย้อนกลับไปดูการกระทำของตนเองแล้ว ก็พบว่าวิถีชีวิตที่ผ่านมา ก็อยู่ในหลักเกณฑ์ของบทกลอนเพียงสี่บรรทัดนั้น เป็นส่วนใหญ่


เป็นอันว่าชีวิตของผม ได้หลุดพ้นจากความเหนื่อยยาก ความลำบากกายใจ ผ่านความผิดหวังและสมหวัง ความเพียรพยายาม และความมานะอดทน จนได้ประสบความสำเร็จในชีวิตสูง อย่างที่ไม่เคยได้คาดคิดมาก่อน แต่ก็ยังเป็นคนที่ไม่มีทรัพย์สมบัติหรือสิ่งฟุ่มเฟือยอื่นใด นอกจากความสุขแบบคนธรรมดาสามัญ ที่ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าปัจจัยสี่ เพียงแต่พอเลี้ยงท้องให้รอดตลอดไปตามเดิม

เพราะผลของการประพฤติปฏิบัติตน มาตลอดระยะเวลาอันยาวนานนั้น เกิดไปตรงกับธรรมะของท่าน พุทธทาสภิกขุ ที่ได้เขียนไว้เมื่อไรก็ไม่ทราบ ว่า

เพ่งหน้าที่เรามีอยู่อย่าดูหมิ่น
มอบชีวินสู้อุทิศไม่คิดหวั่น
โลกอลวนเพราะคนหนีหน้าที่กัน
โลกสุขสันต์เพราะคนชี้หน้าที่ตน
ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ยิ่งชีวิต
อย่าพะวงหลงติดเรื่องสิทธิผล
นั่นเพียงสิ่งหน้าที่มันพลอยบันดล
ข้าวช่วยคนได้ลิ้มให้อิ่มเอง.

เวลาของผมที่เหลืออยู่ภายหลังเกษียณอายุ จึงไม่ต้องมีห่วงกังวลอะไร มองเห็นทุกสิ่งเป็นของธรรมดา ทำอะไรก็ทำไปได้โดยไม่ต้องหวังผล ไม่ต้องดีใจเมื่อได้ ไม่ต้องเศร้าใจเมื่อเสีย ชีวิตอย่างนี้แหละจึงเป็น ชีวิตที่มีกำไร แม้ว่าจะเป็น ชีวิตที่ไม่ได้เลือก ก็ตาม และกำไรของชีวิตเหล่านั้น ก็ไม่ได้หอบเอาไปไหนด้วย คงทิ้งไว้ให้เป็นบทเรียนสำหรับลูกชายทั้งสองคน ได้ศึกษาในโอกาสต่อไป

หน้าที่ของผมที่เหลืออยู่อีกเพียงอย่างเดียวก็คือ การค้นหาคำตอบที่ไม่มีใครสามารถบอกเราได้ และเมื่อรู้แล้วเราก็ไม่สามารถบอกใครได้ เท่านั้นเอง.

##########

จาก ตอนที่ ๙ ของ ชีวิตที่ไม่ได้เลือก
อัตตชีวประวัติของบุคคลไม่สำคัญ
ฉบับ พ.ศ.๒๕๓๗
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่