ทีวีเมืองไทย
โดยเฉพาะช่องข่าวต่างๆนั้น....
ส่วนใหญ่แล้ว
จ่าว่าแต่ละสำนักมันก็พอๆกัน
ไม่ได้มีอะไรที่ดีเด่ไปกว่ากันเลยซักนิด
ทุกแห่งมันอยู่กันด้วยผลประโยชน์ส่วนตนทั้งนั้น ไม่ได้มีอุดมการณ์บ้าบออะไรหรอก
-ทีวีเสื้อแดง
ไม่ว่าจะช่องที่โดนปิด หรือ ช่องตัวเลข
มันก็อยู่ได้ด้วยเงินสนับสนุนจากนักการเมือง
ตอนโดนยุบก็เห็นมีกระแสดราม่ากันใหญ่
แต่จ่าว่ายุบๆไปเถอะ
จ่าไม่ได้รู้สึกอะไรด้วยเลย
ไม่ได้รู้สึกสูญเสีย หรือ อาลัยอาวรณ์เลย
ไม่ต้องมาTorแหลเลยว่า "อยู่ได้เพราะ SMS ข่าว" ,
"อยู่ได้เพราะขายโฆษณา" , "อยู่ได้เพราะขายแอร์ไทม์ให้ผู้ผลิต"
จ่าอยู่ในแวดวงนี้มานาน
ทำ SMS มาจนปรุ , วิ่งชนสปอนเซอร์มาก็มาก,
ทำ Tie in มาก่อนไอ้พวกนี้ , ทำ Tailor made มาก็เยอะ ,
ให้ผู้ผลิตมา Time sharing ก็มากมาย , รู้ราคาโฆษณาของ Cab/Sat ของไอ้พวกนี้ ฯลฯ
SMS ที่มันขายข่าวกัน
โฆษณาที่มันขายแบบบวกรีรันเต็มสูบ
แอร์ไทม์ (ที่ถูกอย่างกับขี้) ที่มันให้ผู้ผลิตทำกันนั้น
มันแทบจะไม่พอค่าน้ำ ค่าไฟ และ เงินเดือนพนักงานเลย
ยังไม่นับค่าใช้จ่ายอื่น
เช่น ค่าสถานที่ , ค่าสัญญาน , Operation cost ในแต่ละเดือน ฯลฯ
ถ้าไม่มีเงินสนับสนุนจากนักการเมืองจ่าให้เหยียบเลย
-ทีวีเสื้อเหลือง
อันนี้ก็เห็นชัดๆเลย
ว่าอยู่แบบจับแพะชนแกะ
เห็นผลประโยชน์ตรงไหนก็รีบตะครุบแบบมูมมาม
แรกๆก็ทำท่าเหมือนจะดี
วางรูปแบบต่างๆค่อนข้างมีมาตรฐาน
Recruit คนไปแบบ "รวมดาว" ด้วยเงินเดือนสูงๆ
แล้วก็เปิดช่อง Cab/Sat ที่ริมน้ำเจ้าพระยา
ต่อมา.......
พอมาเริ่มทำรายการที่ช่อง 9
ก็เชียร์แม้วประหนึ่งว่าแม้วเป็นเทวดามาเกิด
แล้วพอแอบไปขออะไรแล้วเขาไม่ให้ ....คราวนี้ก็เริ่มด่าแม้ว
พอถูกเรียกเวลาคืน
ก็ออกมาจัดรายการแบบ "สัญจร"
ก่อนที่จะพัฒนามาเป็นม๊อบไล่แม้ว....ท๊ากกกกกกสิน...ออกกกกกกไป...!!!!
หลังๆถึงขั้นเปิด "รับบริจาค"
กระทั่งขายข้าวสาร กระปิ น้ำปลา มันยังเอาเลย
เพราะสปอนเซอร์ที่เคยเจือจานเขาเผ่นหนีไปหมด
จน "ไอ้แป๊ะ" สิ้นลายที่ครั้งหนึ่งมันเคยถูกยกย่องให้เป็น Media Tycoon
-ทีวีสีฟ้า
ไอ้นี่ก็เช่นกัน
ถ้าไม่มีเงินจากนักการเมืองจ่าให้เหยียบเลย
เวลามันให้เงินกันมันไม่ออกใบเสร็จเป็นหลักฐานหรอกครัฟฟฟฟ
หน้าตาของช่องก็เชยสมกับพรรคที่มันสนับสนุน
สีสัน , ฉาก , กราฟฟิค , มุมกล้องต่างๆของมันนั้น
จ่าว่าเหมือนสมัยทีวียุคช่อง 4 บางขุนพรหมโน่นเลย
ไอ้ช่องนี้ก็ไม่ต่างจากไอ้ช่องเสื้อแดง
เพราะขาย SMS ข่าว , ขายเสื้อ , ขายของที่ระลึกมั่วไปหมด
แต่จะมาบอกว่าอยู่ได้เพราะโฆษณา,
อยู่ได้ด้วย SMS ข่าว , อยู่ได้เพราะขายแอร์ไทม์
โดยที่ไม่มีนักการเมืองเป็นนายทุนเลยซักสลึงก็คง "Torแหล" แน่ๆ
เพราะค่าโฆษณาแค่ระดับนาทีละ 5 หลัก
มันไม่มีทางที่จะพอยาใส้คนทำงานได้เลย
หากว่าไม่มีนักการเมืองมาช่วยเจือจานสนับสนุน
-ทีวีสาธารณะ
ไอ้นี่ก็ผลาญเงินกันสนุก
ได้เงินจากเหล้า , บุหรี่ ปีละเป็นพันล้าน
แต่ทำข่าวออกมาแบบเอียงกะเร่เท่จนน่าเกลียด
จ่ายังจำได้
ว่าเมื่อครั้งที่มีม๊อบปิดเมือง
ไอ้คนรายงานข่าวพูดแบบเต็มปากเต็มคำว่า "ผู้ชุมนุมของเรา"
ดีนะที่มันไม่เผลอไปร่วมชุมนุมกับเขา
แต่มันก็ไม่ได้แย่ไปซะหมดครัฟฟฟฟฟ ส่วนที่ดีๆของมันก็มี
จ่ายอมรับว่า
แม้ "ข่าว" ของมันจะห่วย
แต่ "รายการ" ของมันคุณภาพดีใช้ได้
รายการพวกสารคดีนั้นจ่าถือว่าดีเลย
รายการแบบอินดี้ อินดี้
ที่มันให้งบประมาณกับผู้ผลิตอิสระนี่ก็ดี
เพราะมันทำให้เราได้เห็นเนื้อหา และ มุมมอง ที่ไม่ใช่ Mainstream ที่มีอยู่ดาดดื่นจนเลี่ยน
-ทีวีบางนา
นี่ก็มีภาพของ "สื่อคุณภาพ" มานาน
แต่พอมีคนเขาเข้ามาซื้อหุ้นตามกฏ กติกา
ไอ้ความเป็น "สื่อคุณภาพ" มันแทบจะหายวั๊บไปกับตา
เพราะมันออกมาร้องแรกแหกกระเชอจน "หัวล้าน" มันแผล่บๆ
ว่า "แทรกแซงสื่อ" , "มีนอมินีมาซื้อหุ้น" , "เข้ามาซื้อหุ้นแบบไม่เป็นมิตร" ฯลฯ
ทั้งๆที่ไอ้คนซื้อมันก็ทำตามกฏของ ตลท.
มีคนขายให้มัน
มันมีเงินมันก็ซื้อไว้
พอมันซื้อได้มากๆเข้า มันก็กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ไปตามสิทธิ์
แล้วไอ้คนซื้อมันผิดอะไรตรงไหนล่ะ ???
ฝั่ง "หัวล้าน" เองก็เคยระดมซื้อหุ้น
จนสามารถยึดครองการบริหารได้นี่นา
ตัวเองซื้อได้ แต่พอคนอื่นจะซื้อบ้างกลับ "คลั่ง"
หากกลัวคนอื่นจะซื้อหุ้น
ก็บริหารเองโดยไม่ต้องเอาเข้าตลาด
แบบนี้จ่ารับรองว่าใครมันก็เข้าไปยุ่งอะไรด้วยไม่ได้แน่
แต่เมื่อเอาบริษัทเข้าตลาด
นั่นก็หมายความว่ายอมรับกฏ กติกา ของ ตลท.
ยอมรับการซื้อ หรือ ขายหุ้น ยอมรับกลุ่มทุนอื่นที่เขาอาจมีทุนมากกว่า
เป็นสื่อที่เรียกร้องให้คนโน้นคนนี้เคารพกติกา
แต่ตัว "หัวล้าน" เองนั่นแหละ ที่ไม่ยอมเคารพกติกา
ไม่ได้ดีไปกว่า "ไอ้แป๊ะ" เลยว่ะ..!!!!
-ทีวีดิจิทัล
ไอ้พวกนี้บางเจ้าก็ทุเรศสุดๆ
ตอนอยากได้ช่อง
ก็หน้ามืดแข่งกันประมูล
โดยไม่ได้ดูแผนการลงทุน ไม่ได้ดู Revenue Forecast เลยว่าจะคุ้มหรือเปล่า
หน้ามืดตามัว
ใส่ตัวเลขสู้กันแบบไม่คิด
พอประมูลเสร็จจ่ายังเห็นจับไม้จับมือดีใจกันเองยกใหญ่
ได้ช่องดิจิทัลไปแล้ว
มันถึงเพิ่งสำเหนียกว่านรกชัดๆ
ก็ตอนที่ถึงงวดในการจ่ายเงินค่าสัมปทานนี่แหละ
ต้นทุนเพิ่มขึ้น
เพราะต้องมีการทำ Production ตามผังที่วางไว้
ต้องมีการซื้อ Content ใหม่ๆเข้ามา ทั้งหนัง ทั้งรายการวาไรตี้ ทั้งสารคดี
ชาแนลมีมากขึ้น
แต่สินค้าไม่ได้มีมากขึ้นตาม
เม็ดเงินโฆษณานอกจากจะไม่เพิ่มแล้ว เผลอๆเจ้าของสินค้าเขายังลดซะอีก
แถม Agency ก็ยังมีแต่เจ้าเดิมๆ ที่ถือ Account เดิมๆ
มิหนำซ้ำ
แนวโน้มการดูทีวีของคนสมัยนี้ลดลงอีกต่างหาก
เพราะการเข้าถึงอินเทอร์เน็ทที่ไม่ยากเหมือนสมัยก่อนนั้น
มันมำให้การเสพสารต่างๆไม่ได้จำกัดแค่การดูทีวีแบบปกติ
เนื่องจากมันมีช่องทางให้เสพได้มากมาย
มีทีวีเฉพาะทางมากมายในโลกนี้
ที่นักท่องเน็ทเลือกที่จะเสพจากความเป็น Unique ของมัน
เลยทำให้ยอดของคนดูทีวีแบบปกติถูกแชร์ออกไปอีก โดนเฉพาะวัยรุ่น
งบโฆษณาที่มีอยู่ก้อนเดียว
ก็ต้องโดนแย่งโดนทึ้งกันอย่างยากลำบาก
เพราะ Agency จะแพลนอะไรให้ลูกค้าก็ต้องคิดแล้วคิดอีก
ส่วนลูกค้าที่เป็นลูกค้า Direct
ที่ซื้อโฆษณาตรงแบบไม่ผ่าน Agency
อันนี้จะ "เขี้ยว" ยิ่งกว่าลูกค้าที่มี Agency ดูแลซะอีก
จะซื้อโฆษณาช่องไหน รายการไหน ก็คิดแล้วคิดอีกแบบ 360 องศา
ช่องไหน รายการไหน เรทติ้งเป็นไง ลูกค้าเขาไม่โง่แล้ว
ไอ้ครั้นจะมาอ้างเรทติ้ง
ที่จ้างบริษัทฝรั่งมาสำรวจ
มันก็อ้างได้ไม่เต็มที่เพราะเรทติ้งหลักๆที่คนส่วนใหญ่ชอบมันยังอยู่แถวๆหมอชิต
หรือหากจะอ้างอิงก็มักจะพูดความจริงไม่หมด
เลือกที่จะพูดในแง่มุมที่ฟังแล้วดูดี เพื่อที่จะโน้มน้าวสปอนเซอร์
พอรายได้ไม่เข้าเป้า
ทีนี้แหละ...มันมาด้วยสูตรสำเร็จเลย
นั่นก็คือขอชะลอการจ่ายค่าสัมปทานออกไปก่อน ...!!!!
ไอ้พวกนี้นอกจากไม่ควรจะให้มันติดไว้ก่อนแล้ว
จ่าว่าน่าจะยึดใบอนุญาตคืนให้รู้แล้วรู้รอดไปซะเลย
เพราะมันผิดเงื่อนไขสัมปทาน ที่ไม่ยอมจ่ายเงินตามงวด
อีกทั้งความหน้ามืดของพวกมันตอนประมูลนั้น
ยังเป็นการตัดโอกาสของคนที่เขาคิดอยากจะสู้จริง ,ทำจริง, จ่ายจริง
แต่ไม่สามารถที่จะได้สัมปทาน เพราะสู้ราคาที่พวกมันประมูล (แล้วขอเลื่อนการจ่ายในตอนหลัง) ไม่ไหว
คางคก ,นกแสก ,แป๊ะ ,แมงสาป ,
NGO ผลาญภาษี ,หัวล้าน, ดิจิทัลหน้ามืด ,
ล้วนแล้วแต่ไม่มีใครเป็น "เทพ" หรือ "มาร" อย่างแท้จริง
เพราะในความเป็นจริงไอ้พวกนี้พอๆกันทั้งนั้นว่ะ ...!!!!!
จ่าพิเชษฐ์
@@@@@-----..........เฮ้ยยยยยยยยยยย....มั น ก็ พ อ ๆ กั น นั่ น แ ห ละ.....!!!!!!!!!!!!!.........@@@@@
โดยเฉพาะช่องข่าวต่างๆนั้น....
ส่วนใหญ่แล้ว
จ่าว่าแต่ละสำนักมันก็พอๆกัน
ไม่ได้มีอะไรที่ดีเด่ไปกว่ากันเลยซักนิด
ทุกแห่งมันอยู่กันด้วยผลประโยชน์ส่วนตนทั้งนั้น ไม่ได้มีอุดมการณ์บ้าบออะไรหรอก
-ทีวีเสื้อแดง
ไม่ว่าจะช่องที่โดนปิด หรือ ช่องตัวเลข
มันก็อยู่ได้ด้วยเงินสนับสนุนจากนักการเมือง
ตอนโดนยุบก็เห็นมีกระแสดราม่ากันใหญ่
แต่จ่าว่ายุบๆไปเถอะ
จ่าไม่ได้รู้สึกอะไรด้วยเลย
ไม่ได้รู้สึกสูญเสีย หรือ อาลัยอาวรณ์เลย
ไม่ต้องมาTorแหลเลยว่า "อยู่ได้เพราะ SMS ข่าว" ,
"อยู่ได้เพราะขายโฆษณา" , "อยู่ได้เพราะขายแอร์ไทม์ให้ผู้ผลิต"
จ่าอยู่ในแวดวงนี้มานาน
ทำ SMS มาจนปรุ , วิ่งชนสปอนเซอร์มาก็มาก,
ทำ Tie in มาก่อนไอ้พวกนี้ , ทำ Tailor made มาก็เยอะ ,
ให้ผู้ผลิตมา Time sharing ก็มากมาย , รู้ราคาโฆษณาของ Cab/Sat ของไอ้พวกนี้ ฯลฯ
SMS ที่มันขายข่าวกัน
โฆษณาที่มันขายแบบบวกรีรันเต็มสูบ
แอร์ไทม์ (ที่ถูกอย่างกับขี้) ที่มันให้ผู้ผลิตทำกันนั้น
มันแทบจะไม่พอค่าน้ำ ค่าไฟ และ เงินเดือนพนักงานเลย
ยังไม่นับค่าใช้จ่ายอื่น
เช่น ค่าสถานที่ , ค่าสัญญาน , Operation cost ในแต่ละเดือน ฯลฯ
ถ้าไม่มีเงินสนับสนุนจากนักการเมืองจ่าให้เหยียบเลย
-ทีวีเสื้อเหลือง
อันนี้ก็เห็นชัดๆเลย
ว่าอยู่แบบจับแพะชนแกะ
เห็นผลประโยชน์ตรงไหนก็รีบตะครุบแบบมูมมาม
แรกๆก็ทำท่าเหมือนจะดี
วางรูปแบบต่างๆค่อนข้างมีมาตรฐาน
Recruit คนไปแบบ "รวมดาว" ด้วยเงินเดือนสูงๆ
แล้วก็เปิดช่อง Cab/Sat ที่ริมน้ำเจ้าพระยา
ต่อมา.......
พอมาเริ่มทำรายการที่ช่อง 9
ก็เชียร์แม้วประหนึ่งว่าแม้วเป็นเทวดามาเกิด
แล้วพอแอบไปขออะไรแล้วเขาไม่ให้ ....คราวนี้ก็เริ่มด่าแม้ว
พอถูกเรียกเวลาคืน
ก็ออกมาจัดรายการแบบ "สัญจร"
ก่อนที่จะพัฒนามาเป็นม๊อบไล่แม้ว....ท๊ากกกกกกสิน...ออกกกกกกไป...!!!!
หลังๆถึงขั้นเปิด "รับบริจาค"
กระทั่งขายข้าวสาร กระปิ น้ำปลา มันยังเอาเลย
เพราะสปอนเซอร์ที่เคยเจือจานเขาเผ่นหนีไปหมด
จน "ไอ้แป๊ะ" สิ้นลายที่ครั้งหนึ่งมันเคยถูกยกย่องให้เป็น Media Tycoon
-ทีวีสีฟ้า
ไอ้นี่ก็เช่นกัน
ถ้าไม่มีเงินจากนักการเมืองจ่าให้เหยียบเลย
เวลามันให้เงินกันมันไม่ออกใบเสร็จเป็นหลักฐานหรอกครัฟฟฟฟ
หน้าตาของช่องก็เชยสมกับพรรคที่มันสนับสนุน
สีสัน , ฉาก , กราฟฟิค , มุมกล้องต่างๆของมันนั้น
จ่าว่าเหมือนสมัยทีวียุคช่อง 4 บางขุนพรหมโน่นเลย
ไอ้ช่องนี้ก็ไม่ต่างจากไอ้ช่องเสื้อแดง
เพราะขาย SMS ข่าว , ขายเสื้อ , ขายของที่ระลึกมั่วไปหมด
แต่จะมาบอกว่าอยู่ได้เพราะโฆษณา,
อยู่ได้ด้วย SMS ข่าว , อยู่ได้เพราะขายแอร์ไทม์
โดยที่ไม่มีนักการเมืองเป็นนายทุนเลยซักสลึงก็คง "Torแหล" แน่ๆ
เพราะค่าโฆษณาแค่ระดับนาทีละ 5 หลัก
มันไม่มีทางที่จะพอยาใส้คนทำงานได้เลย
หากว่าไม่มีนักการเมืองมาช่วยเจือจานสนับสนุน
-ทีวีสาธารณะ
ไอ้นี่ก็ผลาญเงินกันสนุก
ได้เงินจากเหล้า , บุหรี่ ปีละเป็นพันล้าน
แต่ทำข่าวออกมาแบบเอียงกะเร่เท่จนน่าเกลียด
จ่ายังจำได้
ว่าเมื่อครั้งที่มีม๊อบปิดเมือง
ไอ้คนรายงานข่าวพูดแบบเต็มปากเต็มคำว่า "ผู้ชุมนุมของเรา"
ดีนะที่มันไม่เผลอไปร่วมชุมนุมกับเขา
แต่มันก็ไม่ได้แย่ไปซะหมดครัฟฟฟฟฟ ส่วนที่ดีๆของมันก็มี
จ่ายอมรับว่า
แม้ "ข่าว" ของมันจะห่วย
แต่ "รายการ" ของมันคุณภาพดีใช้ได้
รายการพวกสารคดีนั้นจ่าถือว่าดีเลย
รายการแบบอินดี้ อินดี้
ที่มันให้งบประมาณกับผู้ผลิตอิสระนี่ก็ดี
เพราะมันทำให้เราได้เห็นเนื้อหา และ มุมมอง ที่ไม่ใช่ Mainstream ที่มีอยู่ดาดดื่นจนเลี่ยน
-ทีวีบางนา
นี่ก็มีภาพของ "สื่อคุณภาพ" มานาน
แต่พอมีคนเขาเข้ามาซื้อหุ้นตามกฏ กติกา
ไอ้ความเป็น "สื่อคุณภาพ" มันแทบจะหายวั๊บไปกับตา
เพราะมันออกมาร้องแรกแหกกระเชอจน "หัวล้าน" มันแผล่บๆ
ว่า "แทรกแซงสื่อ" , "มีนอมินีมาซื้อหุ้น" , "เข้ามาซื้อหุ้นแบบไม่เป็นมิตร" ฯลฯ
ทั้งๆที่ไอ้คนซื้อมันก็ทำตามกฏของ ตลท.
มีคนขายให้มัน
มันมีเงินมันก็ซื้อไว้
พอมันซื้อได้มากๆเข้า มันก็กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ไปตามสิทธิ์
แล้วไอ้คนซื้อมันผิดอะไรตรงไหนล่ะ ???
ฝั่ง "หัวล้าน" เองก็เคยระดมซื้อหุ้น
จนสามารถยึดครองการบริหารได้นี่นา
ตัวเองซื้อได้ แต่พอคนอื่นจะซื้อบ้างกลับ "คลั่ง"
หากกลัวคนอื่นจะซื้อหุ้น
ก็บริหารเองโดยไม่ต้องเอาเข้าตลาด
แบบนี้จ่ารับรองว่าใครมันก็เข้าไปยุ่งอะไรด้วยไม่ได้แน่
แต่เมื่อเอาบริษัทเข้าตลาด
นั่นก็หมายความว่ายอมรับกฏ กติกา ของ ตลท.
ยอมรับการซื้อ หรือ ขายหุ้น ยอมรับกลุ่มทุนอื่นที่เขาอาจมีทุนมากกว่า
เป็นสื่อที่เรียกร้องให้คนโน้นคนนี้เคารพกติกา
แต่ตัว "หัวล้าน" เองนั่นแหละ ที่ไม่ยอมเคารพกติกา
ไม่ได้ดีไปกว่า "ไอ้แป๊ะ" เลยว่ะ..!!!!
-ทีวีดิจิทัล
ไอ้พวกนี้บางเจ้าก็ทุเรศสุดๆ
ตอนอยากได้ช่อง
ก็หน้ามืดแข่งกันประมูล
โดยไม่ได้ดูแผนการลงทุน ไม่ได้ดู Revenue Forecast เลยว่าจะคุ้มหรือเปล่า
หน้ามืดตามัว
ใส่ตัวเลขสู้กันแบบไม่คิด
พอประมูลเสร็จจ่ายังเห็นจับไม้จับมือดีใจกันเองยกใหญ่
ได้ช่องดิจิทัลไปแล้ว
มันถึงเพิ่งสำเหนียกว่านรกชัดๆ
ก็ตอนที่ถึงงวดในการจ่ายเงินค่าสัมปทานนี่แหละ
ต้นทุนเพิ่มขึ้น
เพราะต้องมีการทำ Production ตามผังที่วางไว้
ต้องมีการซื้อ Content ใหม่ๆเข้ามา ทั้งหนัง ทั้งรายการวาไรตี้ ทั้งสารคดี
ชาแนลมีมากขึ้น
แต่สินค้าไม่ได้มีมากขึ้นตาม
เม็ดเงินโฆษณานอกจากจะไม่เพิ่มแล้ว เผลอๆเจ้าของสินค้าเขายังลดซะอีก
แถม Agency ก็ยังมีแต่เจ้าเดิมๆ ที่ถือ Account เดิมๆ
มิหนำซ้ำ
แนวโน้มการดูทีวีของคนสมัยนี้ลดลงอีกต่างหาก
เพราะการเข้าถึงอินเทอร์เน็ทที่ไม่ยากเหมือนสมัยก่อนนั้น
มันมำให้การเสพสารต่างๆไม่ได้จำกัดแค่การดูทีวีแบบปกติ
เนื่องจากมันมีช่องทางให้เสพได้มากมาย
มีทีวีเฉพาะทางมากมายในโลกนี้
ที่นักท่องเน็ทเลือกที่จะเสพจากความเป็น Unique ของมัน
เลยทำให้ยอดของคนดูทีวีแบบปกติถูกแชร์ออกไปอีก โดนเฉพาะวัยรุ่น
งบโฆษณาที่มีอยู่ก้อนเดียว
ก็ต้องโดนแย่งโดนทึ้งกันอย่างยากลำบาก
เพราะ Agency จะแพลนอะไรให้ลูกค้าก็ต้องคิดแล้วคิดอีก
ส่วนลูกค้าที่เป็นลูกค้า Direct
ที่ซื้อโฆษณาตรงแบบไม่ผ่าน Agency
อันนี้จะ "เขี้ยว" ยิ่งกว่าลูกค้าที่มี Agency ดูแลซะอีก
จะซื้อโฆษณาช่องไหน รายการไหน ก็คิดแล้วคิดอีกแบบ 360 องศา
ช่องไหน รายการไหน เรทติ้งเป็นไง ลูกค้าเขาไม่โง่แล้ว
ไอ้ครั้นจะมาอ้างเรทติ้ง
ที่จ้างบริษัทฝรั่งมาสำรวจ
มันก็อ้างได้ไม่เต็มที่เพราะเรทติ้งหลักๆที่คนส่วนใหญ่ชอบมันยังอยู่แถวๆหมอชิต
หรือหากจะอ้างอิงก็มักจะพูดความจริงไม่หมด
เลือกที่จะพูดในแง่มุมที่ฟังแล้วดูดี เพื่อที่จะโน้มน้าวสปอนเซอร์
พอรายได้ไม่เข้าเป้า
ทีนี้แหละ...มันมาด้วยสูตรสำเร็จเลย
นั่นก็คือขอชะลอการจ่ายค่าสัมปทานออกไปก่อน ...!!!!
ไอ้พวกนี้นอกจากไม่ควรจะให้มันติดไว้ก่อนแล้ว
จ่าว่าน่าจะยึดใบอนุญาตคืนให้รู้แล้วรู้รอดไปซะเลย
เพราะมันผิดเงื่อนไขสัมปทาน ที่ไม่ยอมจ่ายเงินตามงวด
อีกทั้งความหน้ามืดของพวกมันตอนประมูลนั้น
ยังเป็นการตัดโอกาสของคนที่เขาคิดอยากจะสู้จริง ,ทำจริง, จ่ายจริง
แต่ไม่สามารถที่จะได้สัมปทาน เพราะสู้ราคาที่พวกมันประมูล (แล้วขอเลื่อนการจ่ายในตอนหลัง) ไม่ไหว
คางคก ,นกแสก ,แป๊ะ ,แมงสาป ,
NGO ผลาญภาษี ,หัวล้าน, ดิจิทัลหน้ามืด ,
ล้วนแล้วแต่ไม่มีใครเป็น "เทพ" หรือ "มาร" อย่างแท้จริง
เพราะในความเป็นจริงไอ้พวกนี้พอๆกันทั้งนั้นว่ะ ...!!!!!
จ่าพิเชษฐ์