ไม่มีใครคาดเดาอนาคตที่จะเกิดขึ้น ความแน่นอนวางอยู่บนความไม่แน่นอน ชีวิตของคนๆหนึ่งที่ต้องผ่านอุปสรรคมากมาย ทุกวันนี้เรายังต้องต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคที่อยู่ข้างหน้า มันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ถึงแม้จะต้องลุกและล้มสักกี่ครั้งชีวิตก็ต้องก้าวผ่านมาไปให้ได้ ยอมรับว่าเคยท้อ ยอมรับว่าเคยคิดสิ่งที่ไม่ดี ถึงกระทั่งจะจบชีวิตของตัวเอง แต่หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตที่เกิดขึ้น มันเป็นเรื่องธรรมดา เป็นชีวิตที่ต้องผ่านปัญหา เพื่อที่จะเติบใหญ่และแข็งแรงยิ่งขึ้นในวันข้างหน้า
ขอบคุณทุกๆปัญหาที่เกิดขึ้น ขอบคุณทุกๆหยดน้ำตา มันคือประสบการณ์ที่มีค่า ที่ทำให้เรายังหยัดยืนอยู่ได้ในทุกวันนี้ เรื่องราวเกิดขึ้นผ่านมาแต่ยังคงอยู่ อยู่เป็นบทเรียนและคอยย้ำเตือนให้มีสติ อนาคตจะดีขึ้น ถ้าใช้บทเรียนของชีวิตมาปรับปรุงแก้ไขตัวเอง ชีวิตยังต้องก้าวเดิน อนาคตอาจจะต้องเจอมากมายกว่านี้ แต่เราก็ลุกขึ้นสู้ได้เสมอ
เรื่องราวชีวิตเด็กต่างจังหวัด ชีวิตที่เรียบง่าย วัยเด็กที่เหมือนเด็กคนอื่นๆ ครอบครัวเล็กๆ ที่มีพ่อแม่ และลูกอีกสองคน แต่เรื่องที่ไม่คาดฝัน ไม่เคยมีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อพี่สาวต้องเสียชีวิตด้วยโรคร้ายด้วยวัยเพียงสิบขวบ ครอบครัวเราเหมือนตกนรกทั้งเป็น เด็กอายุเพียงหกขวบ ที่ต้องเผชิญกับวิกฤตครั้งแรกในชีวิต มันคือเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุด พี่สาวคือคนที่เราสนิทที่สุด และตอนนั้นเธอก็ไม่อยู่กับเราแล้ว ใช้เวลาอยู่หลายเดือนกว่าจะผ่านความเศร้าเสียใจในตอนนั้นได้ แต่เรื่องนี้ไม่เคยผ่านไป เรายังคิดถึงพี่สาวของเราเสมอ
หลังจากเหตุการณ์ที่สะเทือนใจ ผู้คนที่รู้จักก็ต่างมองดูเด็กน้อยอย่างเราด้วยความสงสาร ช่วงแรกเราไม่สามารถพูดคุยเกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันนั้นได้เลย แน่นอนด้วยวัยขนาดนั้นมันอยากที่เด็กไม่กี่ขวบจะจัดการได้ แต่มันไม่ได้เกิดขึ้นกับเราเพียงคนเดียว คนในครอบครัวก็เหมือนกัน ผ่านมาหลายสิบปี เรื่องนี้ยังฝังลึกในใจของเราทุกคน ไม่มีใครกล้าพูดถึงมันเลยด้วยซ้ำ
เมื่อระยะเวลาผ่านมาหลายปี ทุกคนก็โตขึ้น มีหลายสิ่งอย่างที่ต้องทำ ชีวิตในวัยเรียนก็ถือว่าผ่านมาด้วยดี ถึงจะมีปัญหาเกิดขึ้นเหมือนครอบครัวทั่วๆไป แต่เราก็ไม่เคยสร้างปัญหาให้ที่บ้านต้องเดือดร้อนหรือไม่สบายใจ และการเรียนของเราก็ออกมาดีให้พ่อแม่ได้ภาคภูมิใจ ใครๆก็ต่างยกย่อง ถึงจะมีผู้ใหญ่บางคนที่อาจจะหวังดี พูดกับเราด้วยความแปลกใจว่า เหตุใดลูกถึงเป็นคนดีได้ ทั้งๆที่พ่อแม่ก็ต่างเป็นที่ล่ำลือในหมู่บ้าน เกี่ยวกับพฤติกรรมไม่เหมาะสม ผู้ใหญ่คนนั้นพูดไม่ผิด เราไม่คิดที่จะเถียง แต่เราก็รู้ว่ามันเป็นคำรุนแรงเกินไปสำหรับเด็กคนนึง คำถากถางที่เป็นมากกว่าคำชม แน่นอนเรื่องนี้ไม่ใช่การใส่ร้าย มันคือเรื่องจริง พ่อเราติดสุราหนัก และแม่เราก็ติดการพนัน
เราเคยเสียใจที่ตัวเองต้องมาลำบากในครอบครัวนี้ ถามกับตัวเองว่าทำไมเราต้องเจอเรื่องราวเหล่านี้ คำพูด คำดูถูก เราทำผิดอะไร? แต่เราก็เลือกที่จะกำหนดชีวิตตัวเอง ปัญหาพ่อแม่นั้น เราเคยอาสาเข้าไปจัดการ แน่นอนมันเป็นสิ่งที่สมควรแก้ไข แต่สุดท้ายไม่เคยได้ผลเลยสักครั้ง เข็มทิศเปลี่ยนแต่ชีวิตไม่เปลี่ยน เราทำตามหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด บทเรียนไม่ดีมีอยู่ในบ้าน แต่เรื่องดีๆที่พวกเขาสอนก็มีมากมาย เราเลือกที่จะมองหาสิ่งดีๆดีกว่า ชีวิตในช่วงนั้นก็เหมือนพึ่งพาตัวเองให้ได้มากที่สุด
เรื่องราวความรักในวัยรุ่นก็เริ่มเกิดขึ้น เราเป็นเด็กเรียนดี ใช้ชีวิตปกติตามประสาเด็กเรียนทั่วไป ไม่มีใครรู้ว่าที่บ้านเราเป็นอย่างไร แน่นอนเราไม่ต้องการเสนอและไม่ได้บอกให้ใครรู้ ทุกอย่างออกมาดี พฤติกรรม กิจกรรม การเรียน ไม่เคยสร้างปัญหาใดๆ แต่ก็ใช่จะไม่มีเลย เป็นธรรมดาที่จะเกิดปัญหาครอบครัวขึ้น แต่ก็ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร
จนกระทั่งกำลังจะจบมัธยมต้น เราแอบชอบเพื่อนสนิทอยู่คนหนึ่ง เราไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อย เราสนิทกันมาก ในตอนแรกเราก็ไม่เข้าใจกับตัวเอง มันคือความสับสน ซึ่งคงไม่ใช่ความรัก หรือหากจะเป็นความรัก ก็เกิดขึ้นอย่างไม่เหมาะสม เพราะเราเป็นเพื่อนกัน จนกระทั่งเราจบม.ต้นแล้วต้องต่อม.ปลาย ด้วยชะตาชีวิตหรืออะไรไม่ทราบ ที่ทำให้เราสอบได้ห้องเดียวกัน เราและเขาก็ได้สนิทสนมกันอีกครั้ง และยิ่งสนิทกันมากขึ้น การไปไหนมาไหนของพวกเราก็มักมีกลุ่มเพื่อนไปด้วยเสมอ มีบางครั้งที่ไปกันสองคน แต่ก็เป็นเรื่องปกติ
ความรู้สึกเริ่มมากขึ้น เมื่อความใกล้ชิดก็มีมากขึ้น เพื่อนๆก็ชอบแซวเราว่าเราสองคนสนิทกันเกินเพื่อน ซึ่งเราก็ออกแนวตลกมากกว่าจะคิดเป็นเรื่องจริงจัง แน่นอนเราสนิทกันมากๆ สนิทเกินกว่าที่จะเป็นเพื่อนกัน แต่สถานะในตอนนั้นก็คือเพื่อน ช่วงระยะหลังๆเราเริ่มไปอยู่บ้านเขา ไปเล่นบ้านเขาบ่อยๆ ทำการบ้านด้วยกัน และถ้าวันไหนว่างก็ไปดูหนังด้วยกัน แต่ก็น้อยครั้งที่จะไปกันแค่สองคน เพราะมันคงไม่เหมาะสม
ชีวิตก็ผ่านไปด้วยดี แต่ปัญหาที่บ้านก็ปะทุอยู่เป็นระยะๆ แต่เราเลือกที่จะทิ้งปัญหา เราไม่ไหวที่จะค่อยแก้หรือคอยฟังปัญหาเดิมๆที่เกิดขึ้นซ้ำซาก เราย้ายมาอยู่หอพัก เพื่อหลบปัญหาที่บ้าน ชีวิตวัยเรียนของเราก็อยากเรียน อยากมีอิสระ อีกไม่กี่ปีเราต้องเข้าเรียนมหาลัยแล้ว ปัญหาที่บ้านบั่นทอนจิตใจของเราเกินไป เราเลือกที่จะปลีกตัวออกห่าง
แต่มันก็เป็นข้ออ้างที่ออกมาอยู่คนเดียว เราอยากอยู่กับเพื่อนสนิทของเรามากกว่า ความสัมพันธ์ที่เริ่มมากขึ้น มันทำให้เราแอบคิดไปไกลอยู่หลายครั้ง เราใช้กระเป๋าตังเดียวกัน ทุกๆเย็นหลังเลิกเรียนเราก็จะไปไหนมาไหนด้วยกัน จนดึกถึงเข้าบ้าน มันเป็นชีวิตที่สนุกและมีความสุขที่สุด เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ทำให้ไม่สามารถแก้ไขความรู้สึกให้ย้อนกลับ เรารู้สึกถึงความชัดเจนในใจของตัวเอง เราหลงรักเพื่อนสนิทคนนี้ในที่สุด
แต่เพราะคำว่าเพื่อนสนิท ชีวิตเริ่มลำบาก เกิดความอึดอัด เกิดความหึงหวง มันเป็นพฤติกรรมที่ไม่สมควร เรารู้ว่าเขารู้สึกดีกับเรา แต่เราเป็นเพื่อนที่คบกันมาหลายปี และการรักครั้งนี้มันอาจจะเป็นรักข้างเดียวก็ได้ และที่ต้องทำให้เราต้องเตือนสติตัวเองอยู่บ่อยๆคือ เขามีแฟนแล้ว ตลอดเวลาที่ไปไหนมาไหนด้วยกัน เราต้องสร้างกำแพงเพื่อตีกรอบความสัมพันธ์ของตัวเอง เพื่อรักษาคำว่าเพื่อนให้อยู่ตลอดไป เราเลือกที่จะเป็นเพื่อนกันต่อ และเลือกเก็บความรู้สึกของตัวเองไว้ แต่เมื่อหลายๆอย่างมันทำให้จิตใจเตลิด ความใกล้ชิดที่ทำให้ใจเราเผลอคิดบ่อยๆ ไม่ได้เราต้องห้ามและข่มใจตัวเองไว้
เรารู้ว่าความสัมพันธ์ของเรามันเลยไปไกล เรากลายเป็นคนที่ยอมทำทุกๆอย่างให้เขา ทำการบ้าน ทำรายงาน ยอมทำทุกๆอย่าง ซึ่งเขาก็ตอบแทนให้เราดี เขาเป็นคนดีมากๆ เราไม่เคยขัดใจกัน เราไม่เคยทะเลาะกัน เราเริ่มเข้าใจว่าตัวเองรักข้างเดียว ถึงจะมีหลายๆเหตุการณ์ที่เล่าให้ฟังไม่ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น มันอาจจะเป็นงานมโนของใครบางคน แต่เรารู้สึกว่ามันเกิดขึ้น เพราะความรู้สึกดีๆด้วยกันทั้งคู่ จนกระทั่งวันนั้น
เมื่อแฟนของเขากลับมา เขาใจดีที่พาเราไปด้วย เราไปไหนมาไหนด้วยกันสามคน จนตกดึก ความชัดเจนมันเกิดขึ้นแน่นอน เรากลายเป็นส่วนเกิน เมื่อถึงห้องที่ต้องนอนคนเดียว ความรู้สึกก็ถาโถมเข้ามาใส่โดยไม่ทันตั้งตัว เราได้แต่ถามกับตัวเองว่าเราเป็นตัวอะไร เราอยู่ในฐานะอะไร ชีวิตแบบนี้คืออะไร มันเป็นคำถามที่หาคำตอบไม่ได้ เราร้องไห้กับตัวเองทั้งคืน เราโทรหาเขา ทั้งๆที่เขาอยู่กับแฟน จะว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่เขาก็มาหาเรา
เรานั่งคุยกันในมุมมืดๆ เราอยากพูดความรู้สึกที่มี แต่ก็ล้นปากจนไม่สามารถเปล่งเป็นเสียงใดๆได้ เขาถามเราว่าเกิดอะไรขึ้น แน่นอนเราเดาไม่ออกว่าเขารู้สึกยังไงกับเรา แต่เรารู้สึกอึดอัด และเสียใจกับสถานะในตอนนี้ เราเลยตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง เก็บความรู้สึกแบบนี้ไว้อีกครั้ง และสัญญากับตัวเองว่าจะไม่พูดและนึกถึงมันอีก
เหตุการณ์ดูปกติ เรายังคงร่ำเรียนด้วยกัน แต่ภายในใจกลับตรงกันข้าม มันเดือดพล่าน กระวนกระวาย แต่เราต้องควบคุม เราเริ่มตีตัวออกห่าง หาเพื่อนกลุ่มใหม่ เราอยากได้ระยะเวลาการทำใจ เยียวยาด้วยตัวเราเองให้หายโดยเร็ววัน แต่นั้นคือความคิด ความเป็นจริงก็กลับตรงกันข้าม เรายังไปกินข้าวด้วยกัน ตอนเย็นก็ไปไหนมาไหนด้วยกัน เราไม่โทษเขาเลยทั้งๆที่อยากโทษเขา ที่เขาจะไม่รู้สึกผิดปกติอะไร เพราะเราเลือกที่จะปกปิดมันเอง
ตกเย็นเมื่อต้องเข้านอนคนเดียว เหมือนเช่นคืนที่ผ่านๆมา การร้องไห้คือทางออกที่เราทำได้ น้ำตาที่ไหลออกมา เราได้แต่คิดและทบทวนเรื่องราวต่างๆ ถามตัวเองว่าจะต้องทำยังไงต่อไปดี เลือกที่จะหยุดหรือจะปล่อยให้ตัวเองทรมานแบบนี้ ในที่สุดเราก็ได้ตัดสินใจ การตัดสินใจที่ส่งผลกระทบมาถึงทุกวันนี้ เราเลือกที่จะบอกความจริงกับเขา โดยการเขียนจดหมายถึง
เป็นปกติเหมือนกับวันอื่นๆ จดหมายถูกเขียนและเก็บไว้ที่กระเป๋า เหตุการณ์ยังเหมือนเดิมเหมือนทุกวันที่ผ่านมา แต่สิ่งที่เฝ้ารอคือหลังเลิกเรียน เราได้ตกลงกันว่าจะไปสวนสาธารณะกัน ซึงเราได้ตัดสินใจเลือกสถานที่แห่งนี้เพื่อสารภาพความในใจ
หลังเลิกเรียน เราแวะหาไรกินกันปกติ พยายามทำตัวเองให้ปกติที่สุด ซึ่งหารู้ไหมว่า นี่คือจุดเปลี่ยนของชีวิตเราเอง จนกระทั่งถึงที่หมาย เราเลือกให้จดหมายเขาทันทีเมื่อสบโอกาส เราบอกให้เขาเปิดอ่านหลังจากไปส่งเราที่หอแล้ว แล้วหลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้น ข้อความในจดหมายได้ระบุไว้แล้ว เขารับมันไป ด้วยสีหน้าที่ไม่ประหลาดใจ แน่นอนเขาคงรู้แล้วว่าเรารู้สึกยังไงกับเขามาตลอด แต่วันนี้ความจริงจะถูกเปิดเผย
เนื้อความในจดหมายก็คือเราได้บอกว่าเรารักเขา เราไม่รู้ว่าเขาจะรู้สึกอะไรยังไง เขามีแฟนแล้ว แถมเรายังมาทีหลัง มันไม่เหมาะสมเลยที่เราจะคบกันได้ เราเป็นเพื่อนสนิทกัน และเราไปหลงรัก เราเป็นคนผิดเอง เราเลือกที่จะตัดความสัมพันธ์ ไม่ใช่แค่ว่าเรารู้สึกยังไง หมายถึงความสัมพันธ์ของคำว่าเพื่อน ก็จะจบลงเช่นกัน
ในตอนนั้นมันคือหนทางเดียวที่คิดได้ และคิดว่ามันเป็นทางออกที่ดีที่สุด เราเลือกตัดความสัมพันธ์ เช้าอีกวันที่ต้องมาเรียน ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปด้วยตัวเราเอง เราตีตัวออกห่าง เลือกที่จะไม่มอง และไม่สนใจ เราพยายามเกลียดเขา เพื่อให้ลดความรู้สึกในใจตัวเองออกไป มันเหมือนจะได้ผลในระยะแรก แต่สุดท้ายก็คือความทรมานที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ทุกครั้งที่ได้เห็นหน้า ทุกครั้งที่ได้ยินเสียง เราทุกข์จนกินไมได้นอนไม่หลับ ผ่านไปหลายเดือนกับความอดทนกับตัวเอง เราสัญญากับตัวเองว่าต้องทำให้ได้ เราไม่อยากรู้ว่าเขาจะรู้สึกยังไง คิดยังไง และอยากทำอะไร เราปิดกั้นตัวเองออกจากความจริงทั้งหมด
***มีต่ออีกเพียบ
บันทึกชีวิต เรื่อง ต้องอกหักสักกี่ครั้ง
ขอบคุณทุกๆปัญหาที่เกิดขึ้น ขอบคุณทุกๆหยดน้ำตา มันคือประสบการณ์ที่มีค่า ที่ทำให้เรายังหยัดยืนอยู่ได้ในทุกวันนี้ เรื่องราวเกิดขึ้นผ่านมาแต่ยังคงอยู่ อยู่เป็นบทเรียนและคอยย้ำเตือนให้มีสติ อนาคตจะดีขึ้น ถ้าใช้บทเรียนของชีวิตมาปรับปรุงแก้ไขตัวเอง ชีวิตยังต้องก้าวเดิน อนาคตอาจจะต้องเจอมากมายกว่านี้ แต่เราก็ลุกขึ้นสู้ได้เสมอ
เรื่องราวชีวิตเด็กต่างจังหวัด ชีวิตที่เรียบง่าย วัยเด็กที่เหมือนเด็กคนอื่นๆ ครอบครัวเล็กๆ ที่มีพ่อแม่ และลูกอีกสองคน แต่เรื่องที่ไม่คาดฝัน ไม่เคยมีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อพี่สาวต้องเสียชีวิตด้วยโรคร้ายด้วยวัยเพียงสิบขวบ ครอบครัวเราเหมือนตกนรกทั้งเป็น เด็กอายุเพียงหกขวบ ที่ต้องเผชิญกับวิกฤตครั้งแรกในชีวิต มันคือเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุด พี่สาวคือคนที่เราสนิทที่สุด และตอนนั้นเธอก็ไม่อยู่กับเราแล้ว ใช้เวลาอยู่หลายเดือนกว่าจะผ่านความเศร้าเสียใจในตอนนั้นได้ แต่เรื่องนี้ไม่เคยผ่านไป เรายังคิดถึงพี่สาวของเราเสมอ
หลังจากเหตุการณ์ที่สะเทือนใจ ผู้คนที่รู้จักก็ต่างมองดูเด็กน้อยอย่างเราด้วยความสงสาร ช่วงแรกเราไม่สามารถพูดคุยเกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันนั้นได้เลย แน่นอนด้วยวัยขนาดนั้นมันอยากที่เด็กไม่กี่ขวบจะจัดการได้ แต่มันไม่ได้เกิดขึ้นกับเราเพียงคนเดียว คนในครอบครัวก็เหมือนกัน ผ่านมาหลายสิบปี เรื่องนี้ยังฝังลึกในใจของเราทุกคน ไม่มีใครกล้าพูดถึงมันเลยด้วยซ้ำ
เมื่อระยะเวลาผ่านมาหลายปี ทุกคนก็โตขึ้น มีหลายสิ่งอย่างที่ต้องทำ ชีวิตในวัยเรียนก็ถือว่าผ่านมาด้วยดี ถึงจะมีปัญหาเกิดขึ้นเหมือนครอบครัวทั่วๆไป แต่เราก็ไม่เคยสร้างปัญหาให้ที่บ้านต้องเดือดร้อนหรือไม่สบายใจ และการเรียนของเราก็ออกมาดีให้พ่อแม่ได้ภาคภูมิใจ ใครๆก็ต่างยกย่อง ถึงจะมีผู้ใหญ่บางคนที่อาจจะหวังดี พูดกับเราด้วยความแปลกใจว่า เหตุใดลูกถึงเป็นคนดีได้ ทั้งๆที่พ่อแม่ก็ต่างเป็นที่ล่ำลือในหมู่บ้าน เกี่ยวกับพฤติกรรมไม่เหมาะสม ผู้ใหญ่คนนั้นพูดไม่ผิด เราไม่คิดที่จะเถียง แต่เราก็รู้ว่ามันเป็นคำรุนแรงเกินไปสำหรับเด็กคนนึง คำถากถางที่เป็นมากกว่าคำชม แน่นอนเรื่องนี้ไม่ใช่การใส่ร้าย มันคือเรื่องจริง พ่อเราติดสุราหนัก และแม่เราก็ติดการพนัน
เราเคยเสียใจที่ตัวเองต้องมาลำบากในครอบครัวนี้ ถามกับตัวเองว่าทำไมเราต้องเจอเรื่องราวเหล่านี้ คำพูด คำดูถูก เราทำผิดอะไร? แต่เราก็เลือกที่จะกำหนดชีวิตตัวเอง ปัญหาพ่อแม่นั้น เราเคยอาสาเข้าไปจัดการ แน่นอนมันเป็นสิ่งที่สมควรแก้ไข แต่สุดท้ายไม่เคยได้ผลเลยสักครั้ง เข็มทิศเปลี่ยนแต่ชีวิตไม่เปลี่ยน เราทำตามหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด บทเรียนไม่ดีมีอยู่ในบ้าน แต่เรื่องดีๆที่พวกเขาสอนก็มีมากมาย เราเลือกที่จะมองหาสิ่งดีๆดีกว่า ชีวิตในช่วงนั้นก็เหมือนพึ่งพาตัวเองให้ได้มากที่สุด
เรื่องราวความรักในวัยรุ่นก็เริ่มเกิดขึ้น เราเป็นเด็กเรียนดี ใช้ชีวิตปกติตามประสาเด็กเรียนทั่วไป ไม่มีใครรู้ว่าที่บ้านเราเป็นอย่างไร แน่นอนเราไม่ต้องการเสนอและไม่ได้บอกให้ใครรู้ ทุกอย่างออกมาดี พฤติกรรม กิจกรรม การเรียน ไม่เคยสร้างปัญหาใดๆ แต่ก็ใช่จะไม่มีเลย เป็นธรรมดาที่จะเกิดปัญหาครอบครัวขึ้น แต่ก็ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร
จนกระทั่งกำลังจะจบมัธยมต้น เราแอบชอบเพื่อนสนิทอยู่คนหนึ่ง เราไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อย เราสนิทกันมาก ในตอนแรกเราก็ไม่เข้าใจกับตัวเอง มันคือความสับสน ซึ่งคงไม่ใช่ความรัก หรือหากจะเป็นความรัก ก็เกิดขึ้นอย่างไม่เหมาะสม เพราะเราเป็นเพื่อนกัน จนกระทั่งเราจบม.ต้นแล้วต้องต่อม.ปลาย ด้วยชะตาชีวิตหรืออะไรไม่ทราบ ที่ทำให้เราสอบได้ห้องเดียวกัน เราและเขาก็ได้สนิทสนมกันอีกครั้ง และยิ่งสนิทกันมากขึ้น การไปไหนมาไหนของพวกเราก็มักมีกลุ่มเพื่อนไปด้วยเสมอ มีบางครั้งที่ไปกันสองคน แต่ก็เป็นเรื่องปกติ
ความรู้สึกเริ่มมากขึ้น เมื่อความใกล้ชิดก็มีมากขึ้น เพื่อนๆก็ชอบแซวเราว่าเราสองคนสนิทกันเกินเพื่อน ซึ่งเราก็ออกแนวตลกมากกว่าจะคิดเป็นเรื่องจริงจัง แน่นอนเราสนิทกันมากๆ สนิทเกินกว่าที่จะเป็นเพื่อนกัน แต่สถานะในตอนนั้นก็คือเพื่อน ช่วงระยะหลังๆเราเริ่มไปอยู่บ้านเขา ไปเล่นบ้านเขาบ่อยๆ ทำการบ้านด้วยกัน และถ้าวันไหนว่างก็ไปดูหนังด้วยกัน แต่ก็น้อยครั้งที่จะไปกันแค่สองคน เพราะมันคงไม่เหมาะสม
ชีวิตก็ผ่านไปด้วยดี แต่ปัญหาที่บ้านก็ปะทุอยู่เป็นระยะๆ แต่เราเลือกที่จะทิ้งปัญหา เราไม่ไหวที่จะค่อยแก้หรือคอยฟังปัญหาเดิมๆที่เกิดขึ้นซ้ำซาก เราย้ายมาอยู่หอพัก เพื่อหลบปัญหาที่บ้าน ชีวิตวัยเรียนของเราก็อยากเรียน อยากมีอิสระ อีกไม่กี่ปีเราต้องเข้าเรียนมหาลัยแล้ว ปัญหาที่บ้านบั่นทอนจิตใจของเราเกินไป เราเลือกที่จะปลีกตัวออกห่าง
แต่มันก็เป็นข้ออ้างที่ออกมาอยู่คนเดียว เราอยากอยู่กับเพื่อนสนิทของเรามากกว่า ความสัมพันธ์ที่เริ่มมากขึ้น มันทำให้เราแอบคิดไปไกลอยู่หลายครั้ง เราใช้กระเป๋าตังเดียวกัน ทุกๆเย็นหลังเลิกเรียนเราก็จะไปไหนมาไหนด้วยกัน จนดึกถึงเข้าบ้าน มันเป็นชีวิตที่สนุกและมีความสุขที่สุด เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ทำให้ไม่สามารถแก้ไขความรู้สึกให้ย้อนกลับ เรารู้สึกถึงความชัดเจนในใจของตัวเอง เราหลงรักเพื่อนสนิทคนนี้ในที่สุด
แต่เพราะคำว่าเพื่อนสนิท ชีวิตเริ่มลำบาก เกิดความอึดอัด เกิดความหึงหวง มันเป็นพฤติกรรมที่ไม่สมควร เรารู้ว่าเขารู้สึกดีกับเรา แต่เราเป็นเพื่อนที่คบกันมาหลายปี และการรักครั้งนี้มันอาจจะเป็นรักข้างเดียวก็ได้ และที่ต้องทำให้เราต้องเตือนสติตัวเองอยู่บ่อยๆคือ เขามีแฟนแล้ว ตลอดเวลาที่ไปไหนมาไหนด้วยกัน เราต้องสร้างกำแพงเพื่อตีกรอบความสัมพันธ์ของตัวเอง เพื่อรักษาคำว่าเพื่อนให้อยู่ตลอดไป เราเลือกที่จะเป็นเพื่อนกันต่อ และเลือกเก็บความรู้สึกของตัวเองไว้ แต่เมื่อหลายๆอย่างมันทำให้จิตใจเตลิด ความใกล้ชิดที่ทำให้ใจเราเผลอคิดบ่อยๆ ไม่ได้เราต้องห้ามและข่มใจตัวเองไว้
เรารู้ว่าความสัมพันธ์ของเรามันเลยไปไกล เรากลายเป็นคนที่ยอมทำทุกๆอย่างให้เขา ทำการบ้าน ทำรายงาน ยอมทำทุกๆอย่าง ซึ่งเขาก็ตอบแทนให้เราดี เขาเป็นคนดีมากๆ เราไม่เคยขัดใจกัน เราไม่เคยทะเลาะกัน เราเริ่มเข้าใจว่าตัวเองรักข้างเดียว ถึงจะมีหลายๆเหตุการณ์ที่เล่าให้ฟังไม่ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น มันอาจจะเป็นงานมโนของใครบางคน แต่เรารู้สึกว่ามันเกิดขึ้น เพราะความรู้สึกดีๆด้วยกันทั้งคู่ จนกระทั่งวันนั้น
เมื่อแฟนของเขากลับมา เขาใจดีที่พาเราไปด้วย เราไปไหนมาไหนด้วยกันสามคน จนตกดึก ความชัดเจนมันเกิดขึ้นแน่นอน เรากลายเป็นส่วนเกิน เมื่อถึงห้องที่ต้องนอนคนเดียว ความรู้สึกก็ถาโถมเข้ามาใส่โดยไม่ทันตั้งตัว เราได้แต่ถามกับตัวเองว่าเราเป็นตัวอะไร เราอยู่ในฐานะอะไร ชีวิตแบบนี้คืออะไร มันเป็นคำถามที่หาคำตอบไม่ได้ เราร้องไห้กับตัวเองทั้งคืน เราโทรหาเขา ทั้งๆที่เขาอยู่กับแฟน จะว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่เขาก็มาหาเรา
เรานั่งคุยกันในมุมมืดๆ เราอยากพูดความรู้สึกที่มี แต่ก็ล้นปากจนไม่สามารถเปล่งเป็นเสียงใดๆได้ เขาถามเราว่าเกิดอะไรขึ้น แน่นอนเราเดาไม่ออกว่าเขารู้สึกยังไงกับเรา แต่เรารู้สึกอึดอัด และเสียใจกับสถานะในตอนนี้ เราเลยตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง เก็บความรู้สึกแบบนี้ไว้อีกครั้ง และสัญญากับตัวเองว่าจะไม่พูดและนึกถึงมันอีก
เหตุการณ์ดูปกติ เรายังคงร่ำเรียนด้วยกัน แต่ภายในใจกลับตรงกันข้าม มันเดือดพล่าน กระวนกระวาย แต่เราต้องควบคุม เราเริ่มตีตัวออกห่าง หาเพื่อนกลุ่มใหม่ เราอยากได้ระยะเวลาการทำใจ เยียวยาด้วยตัวเราเองให้หายโดยเร็ววัน แต่นั้นคือความคิด ความเป็นจริงก็กลับตรงกันข้าม เรายังไปกินข้าวด้วยกัน ตอนเย็นก็ไปไหนมาไหนด้วยกัน เราไม่โทษเขาเลยทั้งๆที่อยากโทษเขา ที่เขาจะไม่รู้สึกผิดปกติอะไร เพราะเราเลือกที่จะปกปิดมันเอง
ตกเย็นเมื่อต้องเข้านอนคนเดียว เหมือนเช่นคืนที่ผ่านๆมา การร้องไห้คือทางออกที่เราทำได้ น้ำตาที่ไหลออกมา เราได้แต่คิดและทบทวนเรื่องราวต่างๆ ถามตัวเองว่าจะต้องทำยังไงต่อไปดี เลือกที่จะหยุดหรือจะปล่อยให้ตัวเองทรมานแบบนี้ ในที่สุดเราก็ได้ตัดสินใจ การตัดสินใจที่ส่งผลกระทบมาถึงทุกวันนี้ เราเลือกที่จะบอกความจริงกับเขา โดยการเขียนจดหมายถึง
เป็นปกติเหมือนกับวันอื่นๆ จดหมายถูกเขียนและเก็บไว้ที่กระเป๋า เหตุการณ์ยังเหมือนเดิมเหมือนทุกวันที่ผ่านมา แต่สิ่งที่เฝ้ารอคือหลังเลิกเรียน เราได้ตกลงกันว่าจะไปสวนสาธารณะกัน ซึงเราได้ตัดสินใจเลือกสถานที่แห่งนี้เพื่อสารภาพความในใจ
หลังเลิกเรียน เราแวะหาไรกินกันปกติ พยายามทำตัวเองให้ปกติที่สุด ซึ่งหารู้ไหมว่า นี่คือจุดเปลี่ยนของชีวิตเราเอง จนกระทั่งถึงที่หมาย เราเลือกให้จดหมายเขาทันทีเมื่อสบโอกาส เราบอกให้เขาเปิดอ่านหลังจากไปส่งเราที่หอแล้ว แล้วหลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้น ข้อความในจดหมายได้ระบุไว้แล้ว เขารับมันไป ด้วยสีหน้าที่ไม่ประหลาดใจ แน่นอนเขาคงรู้แล้วว่าเรารู้สึกยังไงกับเขามาตลอด แต่วันนี้ความจริงจะถูกเปิดเผย
เนื้อความในจดหมายก็คือเราได้บอกว่าเรารักเขา เราไม่รู้ว่าเขาจะรู้สึกอะไรยังไง เขามีแฟนแล้ว แถมเรายังมาทีหลัง มันไม่เหมาะสมเลยที่เราจะคบกันได้ เราเป็นเพื่อนสนิทกัน และเราไปหลงรัก เราเป็นคนผิดเอง เราเลือกที่จะตัดความสัมพันธ์ ไม่ใช่แค่ว่าเรารู้สึกยังไง หมายถึงความสัมพันธ์ของคำว่าเพื่อน ก็จะจบลงเช่นกัน
ในตอนนั้นมันคือหนทางเดียวที่คิดได้ และคิดว่ามันเป็นทางออกที่ดีที่สุด เราเลือกตัดความสัมพันธ์ เช้าอีกวันที่ต้องมาเรียน ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปด้วยตัวเราเอง เราตีตัวออกห่าง เลือกที่จะไม่มอง และไม่สนใจ เราพยายามเกลียดเขา เพื่อให้ลดความรู้สึกในใจตัวเองออกไป มันเหมือนจะได้ผลในระยะแรก แต่สุดท้ายก็คือความทรมานที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ทุกครั้งที่ได้เห็นหน้า ทุกครั้งที่ได้ยินเสียง เราทุกข์จนกินไมได้นอนไม่หลับ ผ่านไปหลายเดือนกับความอดทนกับตัวเอง เราสัญญากับตัวเองว่าต้องทำให้ได้ เราไม่อยากรู้ว่าเขาจะรู้สึกยังไง คิดยังไง และอยากทำอะไร เราปิดกั้นตัวเองออกจากความจริงทั้งหมด
***มีต่ออีกเพียบ