สวัสดีค่ะนี่เป็นกระทู้แรกนะคะที่มารีวิว มีอะไรขาดตกบกพร่องอะไรไปขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ อาจจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับคนที่อยากเที่ยวชิวๆแบบพวกเรานะคะ
สมาชิกของเราประกอบด้วย 6 คน เราเดินทางจากประเทศไทยด้วยสายบิน china southern airlines แต่ขาไปเนื่องจากไฟล์Delay ทำให้เราได้เปลี่ยนสายการบินโดยไป singapore airlines จึงไปtransit ที่สิงคโปร์แทน พวกเราก็ฟินกันเลยหล่ะค่ะ และเนื่องจากไม่มีสายการบินที่บินตรงจากไทยไปลงที่ไอซ์แลนด์ได้ เราจึงต้องแวะลงฝรั่งเศสก่อน ถึงจะไปไอซ์แลนด์ต่อได้ ช่วงที่ไปเป็นปลายฤดูหนาวเริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแต่อากาศก็ยังหนาวอยู่ การเดินทางของพวกเราครั้งนี้มีเรื่องน่าตื่นเต้นตลอดทั้งทริปเลยหล่ะค่ะ
ทำไม!!! ต้องปารีส คำตอบคือ จะบินไปไอซ์แลนด์ต้องไปหาเครื่องต่อไม่ปารีสก็ออสโลคะ แต่สาวๆเค้ายืนยันว่าต้องปารีส เราก็เลยจำเป็นต้องปารีส เบาๆ สามวัน แต่..นับจากนี้ไป จะเป็นนรกของสามสาวเม่น หรือสวรรค์ หรือแดนทรมานสามสาวเม่นกันแน่ ใครจะรู้ ... การเดินทางเพิ่งจะเริ่มต้น .. อีกครั้ง
พวกเราถึง Charles de Gaulle Airport ตอน สายๆ โอ้วว!!! ปารีส หลังจากนั้นพวกเราก็ไปรับรถที่จองไว้ค่ะ เราจองรถ Benz Van ของEuropcar ค่าเช่ารถ 379.3 Euro เป็นเงินไทย 13000 บาทต่อ 3 วัน เพราะมีหนึ่งจุดหมายหลักที่จะไปต้องออกไปไกลจากปารีสต้องใช้รถ ที่หมายหลักนั่นก็คือ Mt. St. Michael เราจองที่พักคืนแรกไว้ที่นั่นแล้ว พอได้รถเราก็รีบบึ่งรถออกจากสนามบินทันทีเดินทางสู่ปราสาทMont Saint Michel กัน เลยจ้า
เราใช้เวลาเดินทางประมาณ3-4 ชั่วโมงจึงถึงปราสาท Mont sain Michel คืนแรกของฝรั่งเศสเราพักกันที่ Les Valtieres du Mont Saint Michel ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Mont Saint Michel คะขับรถไปถึงวุ่นวายกับการหาทางเข้าปราสาทซะนาน สรุปว่าต้องจอดรถไว้ที่จอดรถแล้วนั่ง Shuttle Bus เข้าไปที่ตัวปราสาท อุปสรรคก็คือแดดร้อนเหลือเกิน แล้วก็ลงไปหาจุดถ่ายรูปไม่ได้เพราะด้านล่างสะพานมีแต่โคลนเลนหลังจากที่เพิ่งผ่านปรากฏการณ์น้ำขึ้นในรอบหลายปีเมื่อสัปดาห์ก่อน แต่พลขับของเราได้เล็งมุมถ่ายแฟนสเคปไว้แล้ว หน้าที่พักของเราเองคะไม่ห่างกัน เห็นทุ่งมัสตาร์ดดอกสีเหลืองเต็มทุ่งแล้ว มันใช่เลย ตอนนี้ก็เลยเดินเล่นเก็บบรรยากาศรอบๆปราสาท กิจกรรมหลักของกลุ่มเรา ก็คือหาร้านกาแฟหอมๆนั่งชิวๆกัน ไว้แสงเย็นค่อยออกหามุมกันอีกที สุดท้ายได้ร้านนี้นั่งทานมื้อเย็นกันที่นี่เลย
Mont saint Michel คือวิหารที่ตั้งอยู่บนเกาะโดดเดี่ยวกลางทะเลชายฝั่งตะวันตก บริเวณจังหวัดม็องช์ แคว้นบัส-นอร์ม็องดีของประเทศฝรั่งเศส ได้รับประกาศจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2522 ภายใต้ชื่อ มง-แซ็ง-มีแชลและอ่าว ในปีหนึ่งจะมีนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมเยือนมง-แซ็ง-มีแชลกว่า 3 ล้าน 2 แสนคน ซึ่งทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับที่ 3 ของประเทศฝรั่งเศสรองลงมาจากหอไอเฟลและพระราชวังแวร์ซาย
ตัวเกาะอันเป็นที่ตั้งของวิหารนั้นเป็นหินแกรนิต โดยมีเส้นรอบวงเกาะประมาณ 960 เมตร และสูง 92 เมตร แล้วถ้าบวกกับความสูงของตัววิหารนั้นแล้วก็จะมีความสูงถึง 155 แมตร ถือเป็นปราการธรรมชาติตั้งแต่สมัยยุคกลาง โดยตั้งชื่อตามวิหารที่ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขานั่นเอง บนยอดวิหารเป็นรูปปั้นทองของอัครทูตสวรรค์มีคาเอล (นักบุญมิคาเอล) สร้างโดยเอมานูแอล เฟรมีเย (Emmanuel Frémiet)
ระหว่างทางกลับเข้าปารีสเราแวะทานเบอร์เกอร์ระหว่างทางค่ะ
อีก2 วันที่เหลือเรากลับมาพักอยู่ปารีสกันค่ะ หลังจากเสร็จภารกิจฟิชโช่!!!! เราก็เดินทางกลับเข้าเมืองปารีสกันเลยค่ะ คืนที่สองและสามเราพักที Hotel Mirabeau Eiffel กันคะ วันที่สองของฝรั่งเศสเราไปที่ตึก montparnasse กันคะ เพื่อให้หนุ่มๆได้เก็บวิวเมืองปารีส กันคะ ระหว่างนั้นสาวเกิดหิวขึ้นมากะทันหัน ท่านเนวิเกเตอร์เลยต้องพาสาวๆไปทานอาหารเย็นกันค่ะ เราเลือกร้านอาหารไทยที่ไม่ไกลจากตึก Montparnasse ชื่อร้านไอยราค่ะ เจ้าของร้านเป็นคนไทยซะด้วย อาหารอร่อยมากค่ะ แล้วก็ไม่ลืมหิ้วข้าวกล่องกลับไปฝากสองหนุ่มด้วยนะคะ เสร็จจากทานข้าวเราก็ไปชมวิวปารีสกันค่ะ Montparnasse เสียค่าเข้าคนละ 15 Euro ซึ่งเราซื้อบัตรผ่านทางเว็บค่ะง่ายสะดวกรวดเร็วและไม่ต้องเสียเวลาที่ต่อคิวคะ
วันที่สามของฝรั่งเศสวันนี้เป็นวันของสาวๆเลยก็ว่าได้ค่ะ วันนี้ช่วงเช้าเราไปเที่ยวชมหอไอเฟลกันคะ เราอยู่ที่กันประมาณ 2-3 ชั่วโมงค่ะ ถ่ายรูปกันพอหอมปากหอมคอแล้ว เราก็ขึ้นรถไปShoppingกันต่อค่าาาา

งามอย่างไทยเลยหล่ะค่ะ
ภารกิจต่อไปของเราคือ Shopping ค่ะ สิ่งที่สาวๆรอมานาน เราไปshopping กันที่ Galeries Lafayette เราใช้เวลากับที่นี่ 4-5 ชั่วโมงค่ะ แล้วเราก็ไปทานอาหารเย็นที่ถนน champs elysees แล้วสาวก็ได้shopping กันต่อ ปล่อยให้หนุ่มๆไปถ่ายรูปกันที่ประตูชัย (Arc de Triomphe) เสร็จจากนั้นประมาณ 3-4 ทุ่มเราก็กลับที่พักเพื่อเก็บกระเป๋าเดินสู่ไอซ์แลนด์ดินแดนน้ำแข็ง

ถึงกับกุมขมับเลยทีเดียว

ประตูชัย (Arc de Triomphe)
เช้าๆหนุ่มเค้าไปเก็บรูปกันมานิดนึงค่ะ
เช้าวันที่สี่ของฝรั่งเศสเราต้องออกเดินทาง8:30 น. เราออกตามแพลนนะคะ แต่ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดค่ะ ถนนในปารีสปิดเกือบทุกเส้นทางเราวนไปวนมาจนไม่รู้จะทำยังไง เราเลยต้องไปถามพี่ตำรวจคะว่าไปทางไหนดี วันนี้คือวันอะไรทำไม!!ปิดถนนกันหมด เป็นวันคาร์ฟรีเดย์ รณรงค์การใช้รถกันจ้า เค้าปิดถนนเพื่อให้คนวิ่งรอบเมืองปารีส
และแล้วเราก็มาถึงสนามบินทันเวลา แต่เกินเวลาคืนรถจ้า ไม่เป็นไร เราต้องลากกระเป๋าไปจากTerminal 1ไปยังTerminal 3 จ้า ทันเวลาพอดีเลยยย เราจองเครื่องบินสายการบิน WOW AIR ไว้ ออกจากปารีส 12.45 น. มีคำเตือนครับ WOW AIR เข้มงวดเรื่องน้ำหนักกระเป๋าที่สุดในโลก แต่พวกเราไหวตัวทัน ซื้อน้ำหนักกระเป๋าเพิ่มไว้ตั้งแต่จองตั๋วแล้ว คนละอีก 10 กิโลกรัม แต่ก็ยังไม่หมดปัญหา เพราะเค้าจุกจิกจู้จี้เรื่อง กระเป๋า carry on สุดๆให้เราแค่คนละ 5 กิโลกรัมเท่านั้น เตรียมกันให้ดีๆน๊า ใครจะใช้บริการ WOW AIR กว่าพวกเราหกชีวิตจะได้ทะยานสู่เกาะแห่งน้ำแข็ง ก็ final call กันนั่นแหละ ใช้เวลาบิน 3 ชม. 10 นาที ก็Landdingที่สนามบิน Keflavik ไม่มีการตรวจพาสปอร์ต ตรวจกระเป๋า อะไรทั้งสิ้น เข้าได้เลย เฮ้ยยย ดีอ่าา ตรงไปบริษัท Hertz ที่เราจองรถไว้ รับรถ เฮ้ย ขับยังไง ..งง ยังไม่หมดนะคะ รถจาก Hertz นี่มันจะทำให้พวกเรา Hurt กันเท่าไรยังไง ต้องติดตามนะคะ

ตอนนี้ เริ่มเดินทางผ่านเมืองหลวง Reykjavik จุดหมายคืนแรก แลนด์มาร์คของไอซ์แลนด์ Kirkjufell จะเป็นอย่างไรนั้น ดูเอาเลยก็แล้วกัน อย่าให้ต้องพูดเลย.....
แผนการเดินทางของเรา
ประเทศมีลักษณะเป็นเกาะ ตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางมหาสมุทร ถนนเส้นหลักจึงเป็นถนนที่วิ่งได้รอบเกาะ วนกลับมาที่จุดเดิมได้เสมอ เรียกว่า Ring road
ต่อนะคะ ไปติดต่อรับรถที่จองไว้ เกิดปัญหานิดหน่อยเนื่องจากรถที่จองไว้เป็นรถ15 ที่นั่ง ต้องใช้ใบขับขี่ประเภท2 ซึ่งเราไม่มี ทางพนักงานก็ใจดีพยายามหาเราคันใหม่ให้เราแต่เป็นเกียร์manual (เนื่องจากรถที่เราจองไว้เป็นBenz Sprinter เกียร์Auto และเป็น4WD ซึ่งสามารถขับบน F-Road ได้ แต่เราไม่รู้ว่าต้องใบขับขี่ประเภท2 ทำให้เราต้องเปลี่ยนรถมาเป็นอีกคันแทน) F-road ในไอซ์แลนด์ หมายถึง mountain road เป็นถนนที่ต้องใช้รถ 4WD เท่านั้น ความสนุกกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วว
หลังจากได้รับรถเราก็ออกเดินจากสนามบิน Keflavik International Airport ไปยังห้าง kingsland mall ซึ่งอยู่ในเมือง Reykjavik เพื่อจะไปแลกเงิน อาจจะละเอียดนิดนึงนะคะ แต่อาจมีประโยชน์สำหรับท่านที่เตรียมการจะไปเที่ยวไอซ์แลนด์บ้าง เราเจอปัญหาเต็มๆตั้งแต่เริ่มเลยค่ะ เรื่องสำคัญสำหรับการดำรงชีพซะด้วยซิ๊ เรื่องเงินค่ะ คือที่ไอซ์แลนด์เค้าใช้เงิน โครน่า (ISK) ซึ่งเราไม่สามารถหาแลกจากเมืองไทยหรือจากประเทศอื่นๆที่เราแวะผ่านได้ต้องมาแลกที่ไอซ์แลนด์เท่านั้น ส่วนใหญ่จะแลกเมื่อมาถึงสนามบิน แต่พวกเราเชิดค่ะ เพราะตั้งใจว่าเดี๋ยวเข้าเมืองหลวง Reykjavik แล้วค่อยแลก กำเงินยูโรไว้ในมือก่อน ปรากฏว่าพอเข้าไปถึงตัวเมืองแล้ว ธนาคารปิดหมดแล้วค่ะ ที่นี่ธนาคารปิดเที่ยงค่ะ เหลือความหวังสุดท้ายเข้าห้างค่ะ มีห้าง Kinglan ห้างก็กำลังจะปิดค่ะ ปิดหนึ่งทุ่ม (แม่เจ้า) ร้านค้าไม่รับเงินยูโร ทำไงล่ะทีนี้ (ดูรีวิวก่อนไปเค้าบอกว่าใช้บัตรเครดิตที่ไอซ์แลนด์ต้องกดรหัสPin เลยทำให้เราไม่กล้าบัตรเครดิตใช้เนื่องจากเราไม่มีรหัสPin จริงๆแล้วที่นี่ใช้บัตรเครดิตได้เลยโดยไม่ต้องกดรหัสPinค่ะ สุดท้ายพวกเรารอดขีวิตด้วยการใช้บัตร ATM ของไทยกดเงินสดเป็นเงินโครนจากตู้ ยอมเสียค่าธรรมเนียมเล็กน้อย (100 บาท) ไม่งั้นออกนอกเมืองแล้วเราตายแน่ อัตราแลกเปลี่ยน 4 ISK = 1 บาท ให้ใช้ชั่วคราวกันไปก่อน ที่สำคัญเราก็แวะซื้อซิมโทรศัพท์เอาไว้ใช้ระหว่างที่เราต้องอยู่ที่นี่อีก8วัน เราใช้ของ Siminn ซิมที่นี่ข้อดีมากๆมีหลายขนาดในเพียงซิมเดียวไม่ต้องกังวลเรื่องMicroSim Nanosim เราสามารถหักซิมได้ตามสเปคของมือถือเราเลย
ตุนเสบียงกันเล็กน้อยแล้วก็มุ่งหน้าฝ่าพายุหิมะตรงไปสู่ที่หมายคืนแรกของเราที่ Kirkjufell
วันแรกเราพักที่ Grund í grundarfirdi กว่าจะถึงก็ 3 ทุ่มกว่า ที่พักเป็น share hostel เราจองไว้ในราคา 237 ยูโรหรือ 9954 บาทต่อสามห้องพัก มีชาว USA 2 คนพักร่วมในบ้านด้วยกันกับเรา แต่ดูแล้วพวกเรายึดบ้านนี้ได้แล้วนะ เก็บข้าวของเข้าห้องพัก สามสาวเตรียมอาหารเย็น หนุ่มๆ ก็ออกไปหาจุดถ่ายรูปที่แลนด์มาร์คสำคัญ ผลลัพธ์จะเป็นยังไง เรามาดูกันคะ
[CR] PARIS-ICELAND Fanmania ตะโกนบอกโลกดังๆๆ ว่า Cool!!!!
สวัสดีค่ะนี่เป็นกระทู้แรกนะคะที่มารีวิว มีอะไรขาดตกบกพร่องอะไรไปขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ อาจจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับคนที่อยากเที่ยวชิวๆแบบพวกเรานะคะ
สมาชิกของเราประกอบด้วย 6 คน เราเดินทางจากประเทศไทยด้วยสายบิน china southern airlines แต่ขาไปเนื่องจากไฟล์Delay ทำให้เราได้เปลี่ยนสายการบินโดยไป singapore airlines จึงไปtransit ที่สิงคโปร์แทน พวกเราก็ฟินกันเลยหล่ะค่ะ และเนื่องจากไม่มีสายการบินที่บินตรงจากไทยไปลงที่ไอซ์แลนด์ได้ เราจึงต้องแวะลงฝรั่งเศสก่อน ถึงจะไปไอซ์แลนด์ต่อได้ ช่วงที่ไปเป็นปลายฤดูหนาวเริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแต่อากาศก็ยังหนาวอยู่ การเดินทางของพวกเราครั้งนี้มีเรื่องน่าตื่นเต้นตลอดทั้งทริปเลยหล่ะค่ะ
ทำไม!!! ต้องปารีส คำตอบคือ จะบินไปไอซ์แลนด์ต้องไปหาเครื่องต่อไม่ปารีสก็ออสโลคะ แต่สาวๆเค้ายืนยันว่าต้องปารีส เราก็เลยจำเป็นต้องปารีส เบาๆ สามวัน แต่..นับจากนี้ไป จะเป็นนรกของสามสาวเม่น หรือสวรรค์ หรือแดนทรมานสามสาวเม่นกันแน่ ใครจะรู้ ... การเดินทางเพิ่งจะเริ่มต้น .. อีกครั้ง
พวกเราถึง Charles de Gaulle Airport ตอน สายๆ โอ้วว!!! ปารีส หลังจากนั้นพวกเราก็ไปรับรถที่จองไว้ค่ะ เราจองรถ Benz Van ของEuropcar ค่าเช่ารถ 379.3 Euro เป็นเงินไทย 13000 บาทต่อ 3 วัน เพราะมีหนึ่งจุดหมายหลักที่จะไปต้องออกไปไกลจากปารีสต้องใช้รถ ที่หมายหลักนั่นก็คือ Mt. St. Michael เราจองที่พักคืนแรกไว้ที่นั่นแล้ว พอได้รถเราก็รีบบึ่งรถออกจากสนามบินทันทีเดินทางสู่ปราสาทMont Saint Michel กัน เลยจ้า
เราใช้เวลาเดินทางประมาณ3-4 ชั่วโมงจึงถึงปราสาท Mont sain Michel คืนแรกของฝรั่งเศสเราพักกันที่ Les Valtieres du Mont Saint Michel ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Mont Saint Michel คะขับรถไปถึงวุ่นวายกับการหาทางเข้าปราสาทซะนาน สรุปว่าต้องจอดรถไว้ที่จอดรถแล้วนั่ง Shuttle Bus เข้าไปที่ตัวปราสาท อุปสรรคก็คือแดดร้อนเหลือเกิน แล้วก็ลงไปหาจุดถ่ายรูปไม่ได้เพราะด้านล่างสะพานมีแต่โคลนเลนหลังจากที่เพิ่งผ่านปรากฏการณ์น้ำขึ้นในรอบหลายปีเมื่อสัปดาห์ก่อน แต่พลขับของเราได้เล็งมุมถ่ายแฟนสเคปไว้แล้ว หน้าที่พักของเราเองคะไม่ห่างกัน เห็นทุ่งมัสตาร์ดดอกสีเหลืองเต็มทุ่งแล้ว มันใช่เลย ตอนนี้ก็เลยเดินเล่นเก็บบรรยากาศรอบๆปราสาท กิจกรรมหลักของกลุ่มเรา ก็คือหาร้านกาแฟหอมๆนั่งชิวๆกัน ไว้แสงเย็นค่อยออกหามุมกันอีกที สุดท้ายได้ร้านนี้นั่งทานมื้อเย็นกันที่นี่เลย
Mont saint Michel คือวิหารที่ตั้งอยู่บนเกาะโดดเดี่ยวกลางทะเลชายฝั่งตะวันตก บริเวณจังหวัดม็องช์ แคว้นบัส-นอร์ม็องดีของประเทศฝรั่งเศส ได้รับประกาศจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2522 ภายใต้ชื่อ มง-แซ็ง-มีแชลและอ่าว ในปีหนึ่งจะมีนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมเยือนมง-แซ็ง-มีแชลกว่า 3 ล้าน 2 แสนคน ซึ่งทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับที่ 3 ของประเทศฝรั่งเศสรองลงมาจากหอไอเฟลและพระราชวังแวร์ซาย
ตัวเกาะอันเป็นที่ตั้งของวิหารนั้นเป็นหินแกรนิต โดยมีเส้นรอบวงเกาะประมาณ 960 เมตร และสูง 92 เมตร แล้วถ้าบวกกับความสูงของตัววิหารนั้นแล้วก็จะมีความสูงถึง 155 แมตร ถือเป็นปราการธรรมชาติตั้งแต่สมัยยุคกลาง โดยตั้งชื่อตามวิหารที่ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขานั่นเอง บนยอดวิหารเป็นรูปปั้นทองของอัครทูตสวรรค์มีคาเอล (นักบุญมิคาเอล) สร้างโดยเอมานูแอล เฟรมีเย (Emmanuel Frémiet)
ระหว่างทางกลับเข้าปารีสเราแวะทานเบอร์เกอร์ระหว่างทางค่ะ
อีก2 วันที่เหลือเรากลับมาพักอยู่ปารีสกันค่ะ หลังจากเสร็จภารกิจฟิชโช่!!!! เราก็เดินทางกลับเข้าเมืองปารีสกันเลยค่ะ คืนที่สองและสามเราพักที Hotel Mirabeau Eiffel กันคะ วันที่สองของฝรั่งเศสเราไปที่ตึก montparnasse กันคะ เพื่อให้หนุ่มๆได้เก็บวิวเมืองปารีส กันคะ ระหว่างนั้นสาวเกิดหิวขึ้นมากะทันหัน ท่านเนวิเกเตอร์เลยต้องพาสาวๆไปทานอาหารเย็นกันค่ะ เราเลือกร้านอาหารไทยที่ไม่ไกลจากตึก Montparnasse ชื่อร้านไอยราค่ะ เจ้าของร้านเป็นคนไทยซะด้วย อาหารอร่อยมากค่ะ แล้วก็ไม่ลืมหิ้วข้าวกล่องกลับไปฝากสองหนุ่มด้วยนะคะ เสร็จจากทานข้าวเราก็ไปชมวิวปารีสกันค่ะ Montparnasse เสียค่าเข้าคนละ 15 Euro ซึ่งเราซื้อบัตรผ่านทางเว็บค่ะง่ายสะดวกรวดเร็วและไม่ต้องเสียเวลาที่ต่อคิวคะ
วันที่สามของฝรั่งเศสวันนี้เป็นวันของสาวๆเลยก็ว่าได้ค่ะ วันนี้ช่วงเช้าเราไปเที่ยวชมหอไอเฟลกันคะ เราอยู่ที่กันประมาณ 2-3 ชั่วโมงค่ะ ถ่ายรูปกันพอหอมปากหอมคอแล้ว เราก็ขึ้นรถไปShoppingกันต่อค่าาาา
งามอย่างไทยเลยหล่ะค่ะ
ภารกิจต่อไปของเราคือ Shopping ค่ะ สิ่งที่สาวๆรอมานาน เราไปshopping กันที่ Galeries Lafayette เราใช้เวลากับที่นี่ 4-5 ชั่วโมงค่ะ แล้วเราก็ไปทานอาหารเย็นที่ถนน champs elysees แล้วสาวก็ได้shopping กันต่อ ปล่อยให้หนุ่มๆไปถ่ายรูปกันที่ประตูชัย (Arc de Triomphe) เสร็จจากนั้นประมาณ 3-4 ทุ่มเราก็กลับที่พักเพื่อเก็บกระเป๋าเดินสู่ไอซ์แลนด์ดินแดนน้ำแข็ง
ถึงกับกุมขมับเลยทีเดียว
ประตูชัย (Arc de Triomphe)
เช้าๆหนุ่มเค้าไปเก็บรูปกันมานิดนึงค่ะ
เช้าวันที่สี่ของฝรั่งเศสเราต้องออกเดินทาง8:30 น. เราออกตามแพลนนะคะ แต่ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดค่ะ ถนนในปารีสปิดเกือบทุกเส้นทางเราวนไปวนมาจนไม่รู้จะทำยังไง เราเลยต้องไปถามพี่ตำรวจคะว่าไปทางไหนดี วันนี้คือวันอะไรทำไม!!ปิดถนนกันหมด เป็นวันคาร์ฟรีเดย์ รณรงค์การใช้รถกันจ้า เค้าปิดถนนเพื่อให้คนวิ่งรอบเมืองปารีส
และแล้วเราก็มาถึงสนามบินทันเวลา แต่เกินเวลาคืนรถจ้า ไม่เป็นไร เราต้องลากกระเป๋าไปจากTerminal 1ไปยังTerminal 3 จ้า ทันเวลาพอดีเลยยย เราจองเครื่องบินสายการบิน WOW AIR ไว้ ออกจากปารีส 12.45 น. มีคำเตือนครับ WOW AIR เข้มงวดเรื่องน้ำหนักกระเป๋าที่สุดในโลก แต่พวกเราไหวตัวทัน ซื้อน้ำหนักกระเป๋าเพิ่มไว้ตั้งแต่จองตั๋วแล้ว คนละอีก 10 กิโลกรัม แต่ก็ยังไม่หมดปัญหา เพราะเค้าจุกจิกจู้จี้เรื่อง กระเป๋า carry on สุดๆให้เราแค่คนละ 5 กิโลกรัมเท่านั้น เตรียมกันให้ดีๆน๊า ใครจะใช้บริการ WOW AIR กว่าพวกเราหกชีวิตจะได้ทะยานสู่เกาะแห่งน้ำแข็ง ก็ final call กันนั่นแหละ ใช้เวลาบิน 3 ชม. 10 นาที ก็Landdingที่สนามบิน Keflavik ไม่มีการตรวจพาสปอร์ต ตรวจกระเป๋า อะไรทั้งสิ้น เข้าได้เลย เฮ้ยยย ดีอ่าา ตรงไปบริษัท Hertz ที่เราจองรถไว้ รับรถ เฮ้ย ขับยังไง ..งง ยังไม่หมดนะคะ รถจาก Hertz นี่มันจะทำให้พวกเรา Hurt กันเท่าไรยังไง ต้องติดตามนะคะ
ตอนนี้ เริ่มเดินทางผ่านเมืองหลวง Reykjavik จุดหมายคืนแรก แลนด์มาร์คของไอซ์แลนด์ Kirkjufell จะเป็นอย่างไรนั้น ดูเอาเลยก็แล้วกัน อย่าให้ต้องพูดเลย.....
แผนการเดินทางของเรา
ประเทศมีลักษณะเป็นเกาะ ตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางมหาสมุทร ถนนเส้นหลักจึงเป็นถนนที่วิ่งได้รอบเกาะ วนกลับมาที่จุดเดิมได้เสมอ เรียกว่า Ring road
ต่อนะคะ ไปติดต่อรับรถที่จองไว้ เกิดปัญหานิดหน่อยเนื่องจากรถที่จองไว้เป็นรถ15 ที่นั่ง ต้องใช้ใบขับขี่ประเภท2 ซึ่งเราไม่มี ทางพนักงานก็ใจดีพยายามหาเราคันใหม่ให้เราแต่เป็นเกียร์manual (เนื่องจากรถที่เราจองไว้เป็นBenz Sprinter เกียร์Auto และเป็น4WD ซึ่งสามารถขับบน F-Road ได้ แต่เราไม่รู้ว่าต้องใบขับขี่ประเภท2 ทำให้เราต้องเปลี่ยนรถมาเป็นอีกคันแทน) F-road ในไอซ์แลนด์ หมายถึง mountain road เป็นถนนที่ต้องใช้รถ 4WD เท่านั้น ความสนุกกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วว
หลังจากได้รับรถเราก็ออกเดินจากสนามบิน Keflavik International Airport ไปยังห้าง kingsland mall ซึ่งอยู่ในเมือง Reykjavik เพื่อจะไปแลกเงิน อาจจะละเอียดนิดนึงนะคะ แต่อาจมีประโยชน์สำหรับท่านที่เตรียมการจะไปเที่ยวไอซ์แลนด์บ้าง เราเจอปัญหาเต็มๆตั้งแต่เริ่มเลยค่ะ เรื่องสำคัญสำหรับการดำรงชีพซะด้วยซิ๊ เรื่องเงินค่ะ คือที่ไอซ์แลนด์เค้าใช้เงิน โครน่า (ISK) ซึ่งเราไม่สามารถหาแลกจากเมืองไทยหรือจากประเทศอื่นๆที่เราแวะผ่านได้ต้องมาแลกที่ไอซ์แลนด์เท่านั้น ส่วนใหญ่จะแลกเมื่อมาถึงสนามบิน แต่พวกเราเชิดค่ะ เพราะตั้งใจว่าเดี๋ยวเข้าเมืองหลวง Reykjavik แล้วค่อยแลก กำเงินยูโรไว้ในมือก่อน ปรากฏว่าพอเข้าไปถึงตัวเมืองแล้ว ธนาคารปิดหมดแล้วค่ะ ที่นี่ธนาคารปิดเที่ยงค่ะ เหลือความหวังสุดท้ายเข้าห้างค่ะ มีห้าง Kinglan ห้างก็กำลังจะปิดค่ะ ปิดหนึ่งทุ่ม (แม่เจ้า) ร้านค้าไม่รับเงินยูโร ทำไงล่ะทีนี้ (ดูรีวิวก่อนไปเค้าบอกว่าใช้บัตรเครดิตที่ไอซ์แลนด์ต้องกดรหัสPin เลยทำให้เราไม่กล้าบัตรเครดิตใช้เนื่องจากเราไม่มีรหัสPin จริงๆแล้วที่นี่ใช้บัตรเครดิตได้เลยโดยไม่ต้องกดรหัสPinค่ะ สุดท้ายพวกเรารอดขีวิตด้วยการใช้บัตร ATM ของไทยกดเงินสดเป็นเงินโครนจากตู้ ยอมเสียค่าธรรมเนียมเล็กน้อย (100 บาท) ไม่งั้นออกนอกเมืองแล้วเราตายแน่ อัตราแลกเปลี่ยน 4 ISK = 1 บาท ให้ใช้ชั่วคราวกันไปก่อน ที่สำคัญเราก็แวะซื้อซิมโทรศัพท์เอาไว้ใช้ระหว่างที่เราต้องอยู่ที่นี่อีก8วัน เราใช้ของ Siminn ซิมที่นี่ข้อดีมากๆมีหลายขนาดในเพียงซิมเดียวไม่ต้องกังวลเรื่องMicroSim Nanosim เราสามารถหักซิมได้ตามสเปคของมือถือเราเลย
ตุนเสบียงกันเล็กน้อยแล้วก็มุ่งหน้าฝ่าพายุหิมะตรงไปสู่ที่หมายคืนแรกของเราที่ Kirkjufell
วันแรกเราพักที่ Grund í grundarfirdi กว่าจะถึงก็ 3 ทุ่มกว่า ที่พักเป็น share hostel เราจองไว้ในราคา 237 ยูโรหรือ 9954 บาทต่อสามห้องพัก มีชาว USA 2 คนพักร่วมในบ้านด้วยกันกับเรา แต่ดูแล้วพวกเรายึดบ้านนี้ได้แล้วนะ เก็บข้าวของเข้าห้องพัก สามสาวเตรียมอาหารเย็น หนุ่มๆ ก็ออกไปหาจุดถ่ายรูปที่แลนด์มาร์คสำคัญ ผลลัพธ์จะเป็นยังไง เรามาดูกันคะ