...ในช่วงปี 1 นศพ. ทุกคนจะต้องเรียนกรอส และอนาโตมี นั่นก็คือวิชากายวิภาคนั่นเอง โดยทุกคนจะต้องมีส่วนในการช่วยผ่าศพ...!!!
...ศพที่จะนำมาฝ่านั้น เขาจะเรียกกันว่า"อาจารย์ใหญ่"โดยนศพ.แต่ละคนจะได้เรียนกับอาจารย์ใหญ่คนนั้นๆ
ไปตลอดจนจบเทอม หมายความว่า อาจารย์จริงๆ จะเริ่มสอนตั้งแต่ระบบผิวหนัง หัวใจหลอดเลือด
ระบบย่อย ระบบประสาท โดยให้ นศพ. เริ่มการผ่าไปตามทีละขั้นตอน ผ่าแล่ไปเรื่อยๆ
จนครบทุกระบบ นั่นหมายความว่า ศพจะเยิน...!!! อนึ่งถ้า ศพไหนผ่าออกมาได้สวย
ได้ตับที่สวย ได้ไตที่สวย ชิ้นสวยเหล่านั้นก็จะถูกเอาไปให้ นศ.พยาบาล และอื่นๆ
เรียนต่อ นี่คือกระบวนการของการเรียนจากอาจารย์ใหญ่...
...แล้วใครจะเป็นอาจารย์ใหญ่ได้...
...คนที่จะเป็นอาจารย์ใหญ่ได้คือคนที่เซ็นอุทิศร่างกายไว้กับสถาบันนั้นๆ
โดยต้องมีหลักฐานการอุทิศร่างกายอย่างชัดเจน ทั้งนี้เพราะเรามีกฏหมายคุ้มครองศพเหมือนกัน
นี่จึงเป็นการฟ้องร้องได้ คนที่จะเป็นอาจารย์ใหญ่ได้ จะต้องไม่เป็นโรคติดเชื้อเช่น เอดส์ ไวรัสตับอักเสบ เป็นต้น
เมื่อคนที่ตายแล้วกลายเป็นศพ เจ้าหน้าที่จะเอาศพนั้นไปทันที โดยญาติไม่ต้องมานั่งร่ำไห้ดราม่า (หรืออาจให้เวลานิดหน่อย)
จากนั้นเจ้าหน้าที่จะเอาไปทำความสะอาดแล้วดองแช่ไว้ในฟอมาลีน ฆ่าเชื้อหรือเก็บรักษาตามแต่จะเจตนาไว้ประมาณ 1 ปี...
...เมื่อถึงเวลาที่ต้องเรียนเจ้าหน้าที่จะเอาศพออกมาจากที่แช่ มานอนอยู่บนโต๊ะสำหรับผ่าศพ
โดยใช้ผ้าขาวปิดไว้เพื่อให้เกียรติศพ และที่สำคัญจะเอาผ้ามาคาดดวงตาไว้ เพื่อป้องกันการสบตา (มันเป็นจิตวิทยา)..
...ขั้นตอนสุดท้ายหลังจากที่ นศพ. เรียนจนจบกระบวนการแล้ว จะมีการพระราชทานเพลิงศพแด่อาจารย์ใหญ่เหล่านั้น
โดย นศพ.จะเก็บชิ้นส่วนของอาจารย์ใหญ่เท่าที่เหลือ (จากการคัดเลือก) ใส่ในโลง
โดยแต่ละท่านจะใส่แยกกัน บางท่านอาจได้แค่ปอยผมนิดๆ หน่อยใส่โลงศพไป
หรือบางท่านอาจได้ไปเยอะหน่อย แล้วแต่กรณี การฌาปนกิจศพอาจารย์ใหญ่ จะมีคณะแพทย์เป็นเจ้าภาพ
และเชิญญาติๆมาร่วมพิธีพระราชทานเพลิงศพ...
...คนเราแม้ตายไปแล้ว การรู้จักบริจาคร่างกายเป็นเป็นวิทยาทานนั้นยังประโยชน์มหาศาลแก่คนที่อยู่เบื้องหลัง
หากใครไม่สามารถทำใจได้ที่เห็นศพคนที่เรารักถูกแล่เพื่อความรู้ก็อาจ
บริจาคแค่ดวงตาก็ได้ เพราะกระจกตาที่บริจาคไป จะทำให้คนอีกหลายคนได้มองเห็นโลกที่สวยงามได้อีกครั้ง...
...มุมนี้อารมณ์ดี."รอวันฟ้าใส.กลุ่มอดีตคนเคยสวยรักประชาธิปไตย นอนตะแคงจนตาแข็ง"... 21 พฤษภาคม 2558...!!!
...ศพที่จะนำมาฝ่านั้น เขาจะเรียกกันว่า"อาจารย์ใหญ่"โดยนศพ.แต่ละคนจะได้เรียนกับอาจารย์ใหญ่คนนั้นๆ
ไปตลอดจนจบเทอม หมายความว่า อาจารย์จริงๆ จะเริ่มสอนตั้งแต่ระบบผิวหนัง หัวใจหลอดเลือด
ระบบย่อย ระบบประสาท โดยให้ นศพ. เริ่มการผ่าไปตามทีละขั้นตอน ผ่าแล่ไปเรื่อยๆ
จนครบทุกระบบ นั่นหมายความว่า ศพจะเยิน...!!! อนึ่งถ้า ศพไหนผ่าออกมาได้สวย
ได้ตับที่สวย ได้ไตที่สวย ชิ้นสวยเหล่านั้นก็จะถูกเอาไปให้ นศ.พยาบาล และอื่นๆ
เรียนต่อ นี่คือกระบวนการของการเรียนจากอาจารย์ใหญ่...
...แล้วใครจะเป็นอาจารย์ใหญ่ได้...
...คนที่จะเป็นอาจารย์ใหญ่ได้คือคนที่เซ็นอุทิศร่างกายไว้กับสถาบันนั้นๆ
โดยต้องมีหลักฐานการอุทิศร่างกายอย่างชัดเจน ทั้งนี้เพราะเรามีกฏหมายคุ้มครองศพเหมือนกัน
นี่จึงเป็นการฟ้องร้องได้ คนที่จะเป็นอาจารย์ใหญ่ได้ จะต้องไม่เป็นโรคติดเชื้อเช่น เอดส์ ไวรัสตับอักเสบ เป็นต้น
เมื่อคนที่ตายแล้วกลายเป็นศพ เจ้าหน้าที่จะเอาศพนั้นไปทันที โดยญาติไม่ต้องมานั่งร่ำไห้ดราม่า (หรืออาจให้เวลานิดหน่อย)
จากนั้นเจ้าหน้าที่จะเอาไปทำความสะอาดแล้วดองแช่ไว้ในฟอมาลีน ฆ่าเชื้อหรือเก็บรักษาตามแต่จะเจตนาไว้ประมาณ 1 ปี...
...เมื่อถึงเวลาที่ต้องเรียนเจ้าหน้าที่จะเอาศพออกมาจากที่แช่ มานอนอยู่บนโต๊ะสำหรับผ่าศพ
โดยใช้ผ้าขาวปิดไว้เพื่อให้เกียรติศพ และที่สำคัญจะเอาผ้ามาคาดดวงตาไว้ เพื่อป้องกันการสบตา (มันเป็นจิตวิทยา)..
...ขั้นตอนสุดท้ายหลังจากที่ นศพ. เรียนจนจบกระบวนการแล้ว จะมีการพระราชทานเพลิงศพแด่อาจารย์ใหญ่เหล่านั้น
โดย นศพ.จะเก็บชิ้นส่วนของอาจารย์ใหญ่เท่าที่เหลือ (จากการคัดเลือก) ใส่ในโลง
โดยแต่ละท่านจะใส่แยกกัน บางท่านอาจได้แค่ปอยผมนิดๆ หน่อยใส่โลงศพไป
หรือบางท่านอาจได้ไปเยอะหน่อย แล้วแต่กรณี การฌาปนกิจศพอาจารย์ใหญ่ จะมีคณะแพทย์เป็นเจ้าภาพ
และเชิญญาติๆมาร่วมพิธีพระราชทานเพลิงศพ...
...คนเราแม้ตายไปแล้ว การรู้จักบริจาคร่างกายเป็นเป็นวิทยาทานนั้นยังประโยชน์มหาศาลแก่คนที่อยู่เบื้องหลัง
หากใครไม่สามารถทำใจได้ที่เห็นศพคนที่เรารักถูกแล่เพื่อความรู้ก็อาจ
บริจาคแค่ดวงตาก็ได้ เพราะกระจกตาที่บริจาคไป จะทำให้คนอีกหลายคนได้มองเห็นโลกที่สวยงามได้อีกครั้ง...
"รอวันฟ้าใส ...กลุ่มอดีตคนเคยสวยรักประชาธิปไตย นอนตะแคงจนตาแข็ง"