วันที่ 19 พฤษภาคม 2558 นี้ถือได้ว่าเป็นวันครบรอบ 5 ปี เหตุการณ์สลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่บริเวณแยกราชประสงค์ ซึ่งมีการดำเนินการโดยใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธจริงต่อประชาชน ตามคำสั่งของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ระหว่างวันที่ 13-19 พฤษภาคม 2553 โดยการสลายการชุมนุมดังกล่าวทำให้มีผู้เสียชีวิต 56 ศพ บาดเจ็บมากกว่า 480 คน และหากรวมจำนวนความสูญเสียจากการปะทะกันตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2553 ซึ่งเป็นวันแรกที่ทหารและประชาชนผู้ชุมนุมปะทะกัน สรุปได้ว่ามีตัวเลขผู้เสียชีวิตถึง 99 ศพ บาดเจ็บมากกว่า 2,000 คน
ด้านการดำเนินการสืบหาความจริงเรื่องการสลายการชุมนุมจนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตมากขนาดนี้ สิ่งที่ชัดเจนจากห้วงระยะเวลา 5 ปี คือ ผู้ชุมนุมที่เสียชีวิตมากกว่า 10 ศพ ได้มีการยืนยันจากพยานหลักฐานในชั้นศาลแล้วว่าเสียชีวิตจากกระสุนปืนของเจ้าหน้าที่ โดยที่ทุกศพไม่มีอาวุธหรือหลักฐานชี้ว่ามีการใช้อาวุธต่อสู้กับเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด ความจริงอีกประการที่น่าเจ็บปวดก็คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และบรรดานายทหารระดับบัญชาการที่ร่วมกันออกคำสั่งให้ใช้อาวุธสงครามกับประชาชนนั้น ยังอยู่ดีมีสุข ไม่ได้ถูกดำเนินคดีแต่อย่างใด
สิ่งที่ทำให้คดีความดังกล่าวมีความล่าช้าออกไปเนื่องจาก ศาลอาญานั้นมีคำพิพากษายกฟ้องคดี 99 ศพ ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือ DSI ฟ้องร้องต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในคดีร่วมกันให้ผู้อื่นก่อการฆาตกรรมโดยเจตนาเล็งเห็นผล จากการออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธและเครื่องกระสุนจริงในการสลายการชุมนุมของกลุ่ม นปช. โดยศาลอาญาเห็นว่าเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ทำให้อำนาจในการดำเนินคดีเป็นของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และ การพิจารณาคดีเป็นอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ผลจากคำพิพากษาดังกล่าวทำให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้เข้ามาเป็นผู้มีอำนาจสอบสวน ดำเนินคดี 99 ศพเพียงหน่วยงานเดียว แน่นอนว่าบรรดาญาติผู้เสียชีวิต รวมถึงแนวร่วม นปช. มีความไม่พอใจที่คดีนี้ต้องตกไปอยู่ในอำนาจการดำเนินการของ ป.ป.ช. เพราะ ตลอดเวลาที่ประเทศไทยมีความขัดแย้งทางการเมืองคณะกรรมการ ป.ป.ช. ถือได้ว่ามีการทำงานที่ถูกประชาชนวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในเรื่องของการทำงานที่ไม่เป็นธรรม และเลือกข้างทางการเมือง
ผลงานของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นธรรม และเลือกข้างทางการเมือง มีหลายงานที่สร้างความ “งามหน้า” ให้กับองค์กรอิสระองค์กรนี้ ไม่ว่าจะเป็น ความพยายามเอาผิดและถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีจากกรณีการทุจริตโครงการจำนำข้าว ซึ่งนายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. พูดเองว่า ไม่มีหลักฐานว่าอดีตนายกรัฐมนตรีกระทำการทุจริต เพียงแต่อ้างว่าส่อทุจริตเท่านั้น ในขณะที่คณะทุจริตโครงการประกันราคาข้าวของพรรคประชาธิปัตย์ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งถูกร้องเรียนเช่นกัน และเกิดขึ้นก่อนรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถึง 2 ปี กลับไม่มีความคืบหน้า โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. อ้างว่าเอกสารถูกน้ำท่วมทำให้ขาดพยานหลักฐานในการดำเนินคดี
หรือจะเป็นคดีที่เก่าแก่นับสิบปี แต่สร้างความเสียหายแก่ประเทศชาติมากกว่า 6 แสนล้านบาท จากการที่องค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน(ปรส.) ซึ่งมีคณะทำงานที่แต่งตั้งในยุครัฐบาลนายชวน หลีกภัยเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ตั้งและกำกับดูแล แต่กลับขายทรัพย์สินของชาติที่มีมูลค่ากว่า 8 แสนล้านบาท ได้เพียง 2 แสนล้านบาททำให้ประเทศขาดทุนกว่า 6 แสนล้านบาท ซึ่งคดีนี้มีการฟ้องร้องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินคดี แต่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กลับใช้เวลาดำเนินการยาวนานนับสิบปี จนคดีทยอยหมดอายุความ และสุดท้ายคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้ข้อกล่าวหาตกไป 3 เรื่อง ไม่ยกขึ้นพิจารณา 1 เรื่อง ดำเนินคดีเพียง 2 เรื่อง ซึ่งเรื่องที่ตกไป และไม่ยกขึ้นพิจารณานั้นเป็นสำนวนที่เอาผิดต่อคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลชวน หลีกภัยของพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้คณะรัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ไม่ต้องรับผิดชอบใดใดกับความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งที่เป็นผู้กำกับดูแลการทำงานขององค์กร ปรส.
http://www.ispacethailand.com/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87/5863.html#prettyPhoto
( มีต่อ ..)
<<<< 5 ปี 99 ศพ “ความเป็นธรรม” ยังไม่เคยปรากฏ !!!! >>>>
ด้านการดำเนินการสืบหาความจริงเรื่องการสลายการชุมนุมจนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตมากขนาดนี้ สิ่งที่ชัดเจนจากห้วงระยะเวลา 5 ปี คือ ผู้ชุมนุมที่เสียชีวิตมากกว่า 10 ศพ ได้มีการยืนยันจากพยานหลักฐานในชั้นศาลแล้วว่าเสียชีวิตจากกระสุนปืนของเจ้าหน้าที่ โดยที่ทุกศพไม่มีอาวุธหรือหลักฐานชี้ว่ามีการใช้อาวุธต่อสู้กับเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด ความจริงอีกประการที่น่าเจ็บปวดก็คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และบรรดานายทหารระดับบัญชาการที่ร่วมกันออกคำสั่งให้ใช้อาวุธสงครามกับประชาชนนั้น ยังอยู่ดีมีสุข ไม่ได้ถูกดำเนินคดีแต่อย่างใด
สิ่งที่ทำให้คดีความดังกล่าวมีความล่าช้าออกไปเนื่องจาก ศาลอาญานั้นมีคำพิพากษายกฟ้องคดี 99 ศพ ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือ DSI ฟ้องร้องต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในคดีร่วมกันให้ผู้อื่นก่อการฆาตกรรมโดยเจตนาเล็งเห็นผล จากการออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธและเครื่องกระสุนจริงในการสลายการชุมนุมของกลุ่ม นปช. โดยศาลอาญาเห็นว่าเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ทำให้อำนาจในการดำเนินคดีเป็นของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และ การพิจารณาคดีเป็นอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ผลจากคำพิพากษาดังกล่าวทำให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้เข้ามาเป็นผู้มีอำนาจสอบสวน ดำเนินคดี 99 ศพเพียงหน่วยงานเดียว แน่นอนว่าบรรดาญาติผู้เสียชีวิต รวมถึงแนวร่วม นปช. มีความไม่พอใจที่คดีนี้ต้องตกไปอยู่ในอำนาจการดำเนินการของ ป.ป.ช. เพราะ ตลอดเวลาที่ประเทศไทยมีความขัดแย้งทางการเมืองคณะกรรมการ ป.ป.ช. ถือได้ว่ามีการทำงานที่ถูกประชาชนวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในเรื่องของการทำงานที่ไม่เป็นธรรม และเลือกข้างทางการเมือง
ผลงานของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นธรรม และเลือกข้างทางการเมือง มีหลายงานที่สร้างความ “งามหน้า” ให้กับองค์กรอิสระองค์กรนี้ ไม่ว่าจะเป็น ความพยายามเอาผิดและถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีจากกรณีการทุจริตโครงการจำนำข้าว ซึ่งนายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. พูดเองว่า ไม่มีหลักฐานว่าอดีตนายกรัฐมนตรีกระทำการทุจริต เพียงแต่อ้างว่าส่อทุจริตเท่านั้น ในขณะที่คณะทุจริตโครงการประกันราคาข้าวของพรรคประชาธิปัตย์ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งถูกร้องเรียนเช่นกัน และเกิดขึ้นก่อนรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถึง 2 ปี กลับไม่มีความคืบหน้า โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. อ้างว่าเอกสารถูกน้ำท่วมทำให้ขาดพยานหลักฐานในการดำเนินคดี
หรือจะเป็นคดีที่เก่าแก่นับสิบปี แต่สร้างความเสียหายแก่ประเทศชาติมากกว่า 6 แสนล้านบาท จากการที่องค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน(ปรส.) ซึ่งมีคณะทำงานที่แต่งตั้งในยุครัฐบาลนายชวน หลีกภัยเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ตั้งและกำกับดูแล แต่กลับขายทรัพย์สินของชาติที่มีมูลค่ากว่า 8 แสนล้านบาท ได้เพียง 2 แสนล้านบาททำให้ประเทศขาดทุนกว่า 6 แสนล้านบาท ซึ่งคดีนี้มีการฟ้องร้องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินคดี แต่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กลับใช้เวลาดำเนินการยาวนานนับสิบปี จนคดีทยอยหมดอายุความ และสุดท้ายคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้ข้อกล่าวหาตกไป 3 เรื่อง ไม่ยกขึ้นพิจารณา 1 เรื่อง ดำเนินคดีเพียง 2 เรื่อง ซึ่งเรื่องที่ตกไป และไม่ยกขึ้นพิจารณานั้นเป็นสำนวนที่เอาผิดต่อคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลชวน หลีกภัยของพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้คณะรัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ไม่ต้องรับผิดชอบใดใดกับความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งที่เป็นผู้กำกับดูแลการทำงานขององค์กร ปรส.
http://www.ispacethailand.com/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87/5863.html#prettyPhoto
( มีต่อ ..)