สวัสดีค่า “หน้าม้า พาทัวร์” เจอกันอีกครั้งกับรีวิวในวันที่ 3 ในทริปญี่ปุ่นนะคร้า
(อ่อ เพื่อเพื่อนๆสงสัยวันที่ 2 หายไปไหน เนื่องจากวันที่ 2 เราเน้นพักร่างจากการตะลุยใส่ชุดไทยรอบโตเกียวจึงคิดว่ายังไม่มีอะไรน่าสนใจซึกเท่าไหร่ แหะๆ)
วันนี้เราจะพาเพื่อนๆ ไปเที่ยวภูเขาหิมะฮากุบะ ที่จังหวะนากาโนะ กันค่ะ
ทำไมถึงเลือกฮากุบะ?? ทั้งๆที่คนส่วนใหญ่ (ที่เป็นคนไทยจะไป กาลา รีสอร์ทซะมากกว่า )
เนื่องจากคุณแฟนมีเพื่อนที่อาศัยในญี่ปุ่นได้แนะนำไว้ว่า
1: ฮากุบะ วิวจะดีเด่นกว่าและคนไม่เยอะมากมายเท่า กาลา สกีรีสอร์ท
2: หลังจากทริปภูเขาหิมะ เราจะไปเยี่ยมลิงหิมะภูเขากัน (ติดตามได้กระทู้ต่อไปคร้า) โดยเส้นทางเดินทางจะใกล้ๆกัน
3: มีรีสร์ทที่นู้น ที่น่ารักมั๊กๆๆ เป็นสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิมผสมสมัยใหม่ เลยตัดสินใจเลือกมาที่นี้คร่ะ ^^
การเดินทาง
โตเกียว→ชินคันเซน→สถานีนากาโนะ→รถบัสอัลพิโก→ฮะคุบะ ฮัปโป→ชิโระอุมะ- โซ [2.5ชั่วโมง]
เนื่องจากเราซื้อบัตร JR pass มาจากเมืองไทยในราคา 7,900 บาทจากเว็บไซต์ www.painaima.com ซึ่งสามารถนั่งรถไฟชิงคันเซ็นได้ทุกขบวนที่เป็นของบริษัท JR ไปไหนก็ได้ไม่จำกัดจำนวน 7 วัน เว็บไซต์สำหรับดูรอบรถไฟ JR
http://www.japanrailpass.net/en/
ออกเดินทางจาก Tokyo Station ไป Nagano โดยรถไฟความเร็วสูงงงขบวน JR Hokuriku Shinkanen ใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ 1 ชม.นิดๆเท่านั้น แนะนำให้นั่งขบวน Kagayaki501 เพราะจะแวะจอดน้อยที่สุด
หลังจากถึงสถานี นากาโนะ ให้ต่อรถบัส Alpico ใช้เวลาอีกประมาณ 1ชั่วโมงก็จะถึงสถานีฮากุบะจากนั่นต่อแท็กซี่อีกประมาณ 5-10 นาที ก็จะถึงที่พักน่ารักๆที่ชื่อว่า Hakuba Onsen Ryokan Shirouma-so
ปล: ควรดูตารางรถบัสดีๆเพราะจะมีรอบค่อนข้างน้อยถึงน้อยมาก หน้าม้ามาไม่ทันจึงต้องต่อรถไฟท้องถิ่นซึ่งบั๊บว่าวิ่งอ้อมมากจิงๆคระ ไม่แนะนำๆ T T
นากาโนะ เคยเป็นเมืองเจ้าภาพโอลิมปิกปี 1998
16:30 หน้าม้าก้อเดินทางมาถึง Hakuba Onsen Ryokan Shirouma-so
รีสอร์ท ณ วันที่เราไปถึง แอบมีฝนตกพร่ำๆ ทำให้บรรยากาศหนาวๆ สวยไปอีกแบบคร่ะ ที่นี้น่าจะเปรียบได้กับปายที่เชียงใหม่ (เวอชั่นที่ยังไม่ดังมากนะคร่ะ 55) คือเป็นหมู่บ้านเล็กๆที่สงบ ไม่วุ่นวายจอแจ อยู่กันแบบพึ่งพาอาศัยกัน
โรงแรมเป็นสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิมสมัยเอโดะ ได้บรรยากาศและวัฒนธรรมการพักแบบชาวญี่ปุ่นจริงๆ ตั้งแต่รองเท้าเกี๊ยที่วางเรียงสวยงามต้อนรับแขกตั้งแต่ประตูทางเข้า กลองแบบญี่ปุ่น ดาบซามูไร เครื่องตกแต่งพื้นบ้าน ชุดนอนแบบญี่ปุ่นที่จัดไว้ให้เปลี่ยนโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มแต่อย่างใด ไม่ต้องพูดถึงการตกแต่งห้องนอนที่ได้อารมณ์คนท้องถิ่นแบบจริงจัง อีกทั้งวิวจากห้องนอนสามารถมองออกไปเห็นภูเขาคิตะแอลป์อีกด้วย
โรงแรมนี้ยังเป็นที่นิยมของนักเล่นสกีชาวต่างชาติอีกด้วย เนื่องจากมีที่ตั้งที่ใกล้กับทางขึ้นเขามากๆ
โรงแรมที่นี้จะเป็นระบบเจ้าของดูแลลูกค้าเองโดยตรง คุณ Shiro น่าจะเป็นลูกเจ้าของ ดูแลเราได้อย่างไร้ที่ติดจิงๆตั้งแต่รับกระเป๋า แนะนำโรงแรม แนะนำการเดินทางในวันพรุ่งนี้ อีกทั้งยังจองร้านอาหารเย็นให้เราเรียบร้อย
หลังจากเอากระเป๋าไปเก็บ หน้าม้าก็เปลี่ยนชุดกิโมโน เดินเล่นถ่ายรูปในมุมต่างๆของโรงแรม พอลงมาถึงชั้น 1 ก็เจอคุณชิโรเจ้าของผู้ใจดีก็เชิญเรานั่งพร้อมเสนอชงชาตามธรรมเนียมญี่ปุ่นให้เราดื่ม พิธีนี้เรียกว่า Tea ceremony การชงชาของชาวญี่ปุ่นถือว่าละเอียดดอ่อนจิงๆ จะมีการนับว่าให้ใส่ปริมาณเท่าไหร่ ใส่น้ำร้อนเท่าไหร่ ขนไปทางซ้ายหรือขวาจำนวนกี่ครั้ง แต่เราก็ยอมรับว่า ชาแก้วนี้อร่อยเกินคำบรรยายจริงๆคร่ะ
หลังจากนั้นก็ได้เวลาออนเซนกัน แน่นอนจะเป็นห้องแยกผู้หญิงและผู้ชาย คุณชิโร อธิบายว่าที่นี้น้ำร้อนนอกจากจะมีแร่ธาตุที่อุดมสมบูรณ์แล้วยังจัดได้ว่าน้ำร้อนมีความสะอาดมากที่สุดในญี่ปุ่น และสามารถดื่มบริโภคได้เลย
หลังจากฟินเว่อร์ๆกับออนเซนไป ก็ได้เวลามื้อเย็น โดยเจ้าของน่ารักอีกแล้ววว จัดเตรียมรถ 2คันพาเราทั้งหมด 8คนไปที่ร้านอาหารที่ได้จองไว้
ร้านอาหารทีนี้เสริฟทั้งชาบูและซาซิมิแล้วแต่เราเลือกตามอัธยาศัยคร่าา
หลังจากมื้อเย็นมื้อใหญ่ของพวกเราเสร็จสิ้น รถของทาง รร ก็มารับพวกเรากลับที่พัก (ประทับใจมั๊กๆในบริการ) ถึง รร กันประมาณ 20:30 ทุกคนก็พักผ่อนตามอัธยาศัย เล่นไพ่ อัพเดทโซเชีลลมิเดีย กันไป
ส่วนรูปนี้คือห้องนอนของเรา ตอนกลางวันจะมีโต๊ะญี่ปุ่นวางอยู่ตรงกลางพอตกเย็นทาง รร จะมาจัดที่นอนให้โดยเก็บโต๊ะขึ้นและนำผ้านวมมาปูให้เรา
เรืองความหนาวของที่นี้แม้จะมีหิมะแต่ก็พออยู่ได้คร่ะ ถ้าขี้หนาวก็ใส่ลองจอนข้างใน ตามด้วยเสื้อผ้าปกติ ปิดท้ายด้วยเสื้อกันหนาวก็อยู่ละคร่ะ
ปล ในห้องมี heater ให้เราด้วยนะ สามารปรับได้ 3ระดับ ดีเดนฝุดๆ
ใครที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ตามลิ้งค์เลยคร่า
http://www.shiroumaso.com/thai/
มอนิ่งงงง วันที่ 4 ของเรา เริ่มต้นด้วยเซ็ทอาหารเช้าที่ทางรีสอร์ทจัดไว้ให้ ได้อารมณ์ Home Stay มากๆ เพราะคุณป้าชาวญี่ปุ่นเป็นคนทำกับข้าวให้ เข้าใจว่าทำตามจำนวนลูกค้าไม่ใช่แนวอุตสหกรรมแบบโรงแรมใหญ่ๆ โดยบางเมนูใชวัตถุดิบประจำเมืองนากาโนะซึ่งไม่สามารถหากินที่อื่นได้ อาทิ สลัดผักที่เป็นผักที่ขึ้นที่เมืองนี้เท่านั้น รสชาติก็ดีนะคะ กรุบกรับๆ ผักนี้ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า kogomi แปลว่า พืชภูเขา
หลังจากรับประทานอาหารเช้ากันเสร็จแล้วก็ออกเดินเท้าไปที่เคเบิ้ลขึ้นภูเขาหิมะ เดินไปจากรีสอรทไม่ถึง 5 นาทีก็ถึงทางขึ้นกระเช้า ราคาสำหรับ Sightseeing คือแค่ขึ้นไปชมวิวอย่างเดียวราคาประมาณ 1,500 เยน และสำหรับ Skiing lift pass สำหรับเล่นสกีด้วยราคาอยู่ที่ 5,500 เยน
เคล็ดไม่ลับ: ขอเพิ่มเติมนิดนึงนะค่ะ คุณโตชิโร่กระซิบว่าที่นี้มีกิจกรรมมากมายไม่ได้มีเฉพาะหิมะเท่านั้น ในฤดูใบไม้ร่วง เพื่อนๆสามารถทำกิจกรรม อาทิ เดินป่า ปีนภูเขา บอลลูน พายเรือแคนนู ร่มร่อน และ ปั่นจักรยานภูเขา เรียกได้ว่า advanture trip จิงจัง
ขึ้นกระเช้าเรียบร้อย ดูแข็งแรง ปลอดภัยมั๊กๆฮับ สามารถนั่งได้ 4คนต่อกระเช้า
ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีก็พาเรามาถึงจุดเล่นสกีขั้นที่ 1 (บนภูเขามีหลายจุดให้เลือกตามความสูง) โดยส่วนมากมือใหม่หรือถ้าต้องการชมวิวก็จะมาที่จุดที่ 1นี้ จุดที่อยู่สูงขึ้นๆไปวิวอาจจะไม่สวยเท่า แต่ไว้สำหรับท่านที่เล่นสกีและต้องการความ advance
แม่บอกว่าถ้าเจอหิมะให้กระโดดชู 2 นิ้ว
วันที่เราไปจะมีฝนตกพร่ำๆ และมีหมอกลงเป็นช่วงๆ แต่มิใช่อุปสรรคของเราแต่อย่างใด อิอิ เพื่อนๆสามารถเตรียมร่มไว้ในกระเป๋าเพราะญี่ปุ่นอากาศค่อนข้างแปรปรวน ส่วนร่มที่เห็นในรูปเป็นของรีสอร์ทที่เราพัก (สิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมมากจีๆ) สำหรับบรรยากาศที่ดีสวยจิงๆคร่ะ เห็นแล้วอยากอยู่นานๆเลย หิมะขาวสะอาด มีภูเขาหิมะเป็นทิวทัศน์ข้างหลัง คนก็ไม่เยอะมาก มีเพียงนักเล่นสกีประมาณ 4-5 คนเท่านั้น
ส่วนธีมวันนี้เราจะแปลงร่างเป็นตัวการ์ตูนบนภูเขาหิมะกัน
ชุดซื้อที่ไหน ? เป็นคำถามแรกๆที่เพื่อนๆใน facebook ถาม
ชุดสามารถซื้อได้ที่ร้าน Don Ki (Don Quijote) ย่านชินจูกุ ร้านนี้พูดเลยว่ามีทุกอย่างจิงๆ คนแน่นมากทุกวัน ที่สำคัญเปิดตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อนๆสามารถหาทุกสิ่งได้จากร้านนี้ตั้งแต่ไฟแช็ค น้ำหอมแบรนเนมด์ต่างๆ คอสเพลย์ต่างๆ ไปจนถึงชุดนอนเซ็กซี่ กริ้ดๆ์
http://www.donki.com สำหรับชุดของพวกเราสนนราคาอยู่ที่ 1,500 เยนหรือประมาณ 400 บาทนิดๆ
เคล็ดไม่ลับ: เพื่อนๆที่แวะไปที่ร้านนี้ อาจต้องเจอกับแถวต่อคิวที่ยาวโคดๆ อาจเสียเวลาเป็นชั่วโมง หน้าม้าแนะนำให้ขึ้นไปที่ชั้น 2 และ 3 สามารถชำระเงินได้เหมือนกันคร่ะ เซฟเวลาได้เยอะเลย
เทสต์ๆ ลองแสงซะหน่อยย…. รูปแอบมัวเพราะมีหมอกลง
เอาละ ทีนี้มาถึงรูปหมู่ หลังจากทุกคนแปลงร่างเป็นตัวการ์ตูนที่แต่ละคนชื่นชอบ
เคล็ดไม่ลับ: ข้างบนจะมีล็อคเกอร์ไว้คอยให้บริการราคาประมาณ 400 เยนเก็บได้ 1-2 กระเป๋าสะพาย สำหรับคนที่ต้องการเก็บของ
สำหรับเพื่อนๆที่มาเพื่อชมวิวและถ่ายรูปแนะนำรองเท้าที่พื้นหนาและยึดเกาะพื้นนะคร่ะ นอกจากป้องกันการลื่นพื้นรองเท้าหนาๆจะช่วยไม่ได้ขาเราเป็นเหน็บจากความเย็นของหิมะคร่ะ
ตากล้องคนเก่งของเราก็จัดแจงตั้งกล้อง เซ็ทค่ากล้อง จากนั้นก็ใช้โหมดออโต้กดชัตเตอร์ ส่วนภาพที่ออกมานั้นจะเป็นอย่างไร ไปดูกัน…..
รีวิววันที่ 3-4ของเราก็หมดเพียงเท่านี้ รีวิวหน้าเราจะพาเพื่อนๆไปดูลิงหิมะภูเขาและหมู่บ้านหมาจิ้งจอกพร้อมกับแนะนำการจัดการกับกระเป๋าสำหรับเพื่อนๆที่แบกสัมถาระเยอะๆเหมือนเราและไปหลายๆที่ บายยย…..
IG: Tinyyygirl
Photo Credit: BTstudio / IG: Banktang
[CR] หน้าม้า พาทัวร์ ตะลุยญี่ปุ่น : จะเป็นอย่างไร เมื่อใส่ชุดคอสเพลย์บุกตะลุยภูเขาหิมะ (นากาโน่) วันที่ 3-4
สวัสดีค่า “หน้าม้า พาทัวร์” เจอกันอีกครั้งกับรีวิวในวันที่ 3 ในทริปญี่ปุ่นนะคร้า
(อ่อ เพื่อเพื่อนๆสงสัยวันที่ 2 หายไปไหน เนื่องจากวันที่ 2 เราเน้นพักร่างจากการตะลุยใส่ชุดไทยรอบโตเกียวจึงคิดว่ายังไม่มีอะไรน่าสนใจซึกเท่าไหร่ แหะๆ)
วันนี้เราจะพาเพื่อนๆ ไปเที่ยวภูเขาหิมะฮากุบะ ที่จังหวะนากาโนะ กันค่ะ
ทำไมถึงเลือกฮากุบะ?? ทั้งๆที่คนส่วนใหญ่ (ที่เป็นคนไทยจะไป กาลา รีสอร์ทซะมากกว่า )
เนื่องจากคุณแฟนมีเพื่อนที่อาศัยในญี่ปุ่นได้แนะนำไว้ว่า
1: ฮากุบะ วิวจะดีเด่นกว่าและคนไม่เยอะมากมายเท่า กาลา สกีรีสอร์ท
2: หลังจากทริปภูเขาหิมะ เราจะไปเยี่ยมลิงหิมะภูเขากัน (ติดตามได้กระทู้ต่อไปคร้า) โดยเส้นทางเดินทางจะใกล้ๆกัน
3: มีรีสร์ทที่นู้น ที่น่ารักมั๊กๆๆ เป็นสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิมผสมสมัยใหม่ เลยตัดสินใจเลือกมาที่นี้คร่ะ ^^
การเดินทาง
โตเกียว→ชินคันเซน→สถานีนากาโนะ→รถบัสอัลพิโก→ฮะคุบะ ฮัปโป→ชิโระอุมะ- โซ [2.5ชั่วโมง]
เนื่องจากเราซื้อบัตร JR pass มาจากเมืองไทยในราคา 7,900 บาทจากเว็บไซต์ www.painaima.com ซึ่งสามารถนั่งรถไฟชิงคันเซ็นได้ทุกขบวนที่เป็นของบริษัท JR ไปไหนก็ได้ไม่จำกัดจำนวน 7 วัน เว็บไซต์สำหรับดูรอบรถไฟ JR http://www.japanrailpass.net/en/
ออกเดินทางจาก Tokyo Station ไป Nagano โดยรถไฟความเร็วสูงงงขบวน JR Hokuriku Shinkanen ใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ 1 ชม.นิดๆเท่านั้น แนะนำให้นั่งขบวน Kagayaki501 เพราะจะแวะจอดน้อยที่สุด
หลังจากถึงสถานี นากาโนะ ให้ต่อรถบัส Alpico ใช้เวลาอีกประมาณ 1ชั่วโมงก็จะถึงสถานีฮากุบะจากนั่นต่อแท็กซี่อีกประมาณ 5-10 นาที ก็จะถึงที่พักน่ารักๆที่ชื่อว่า Hakuba Onsen Ryokan Shirouma-so
ปล: ควรดูตารางรถบัสดีๆเพราะจะมีรอบค่อนข้างน้อยถึงน้อยมาก หน้าม้ามาไม่ทันจึงต้องต่อรถไฟท้องถิ่นซึ่งบั๊บว่าวิ่งอ้อมมากจิงๆคระ ไม่แนะนำๆ T T
นากาโนะ เคยเป็นเมืองเจ้าภาพโอลิมปิกปี 1998
16:30 หน้าม้าก้อเดินทางมาถึง Hakuba Onsen Ryokan Shirouma-so
รีสอร์ท ณ วันที่เราไปถึง แอบมีฝนตกพร่ำๆ ทำให้บรรยากาศหนาวๆ สวยไปอีกแบบคร่ะ ที่นี้น่าจะเปรียบได้กับปายที่เชียงใหม่ (เวอชั่นที่ยังไม่ดังมากนะคร่ะ 55) คือเป็นหมู่บ้านเล็กๆที่สงบ ไม่วุ่นวายจอแจ อยู่กันแบบพึ่งพาอาศัยกัน
โรงแรมเป็นสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิมสมัยเอโดะ ได้บรรยากาศและวัฒนธรรมการพักแบบชาวญี่ปุ่นจริงๆ ตั้งแต่รองเท้าเกี๊ยที่วางเรียงสวยงามต้อนรับแขกตั้งแต่ประตูทางเข้า กลองแบบญี่ปุ่น ดาบซามูไร เครื่องตกแต่งพื้นบ้าน ชุดนอนแบบญี่ปุ่นที่จัดไว้ให้เปลี่ยนโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มแต่อย่างใด ไม่ต้องพูดถึงการตกแต่งห้องนอนที่ได้อารมณ์คนท้องถิ่นแบบจริงจัง อีกทั้งวิวจากห้องนอนสามารถมองออกไปเห็นภูเขาคิตะแอลป์อีกด้วย
โรงแรมนี้ยังเป็นที่นิยมของนักเล่นสกีชาวต่างชาติอีกด้วย เนื่องจากมีที่ตั้งที่ใกล้กับทางขึ้นเขามากๆ
โรงแรมที่นี้จะเป็นระบบเจ้าของดูแลลูกค้าเองโดยตรง คุณ Shiro น่าจะเป็นลูกเจ้าของ ดูแลเราได้อย่างไร้ที่ติดจิงๆตั้งแต่รับกระเป๋า แนะนำโรงแรม แนะนำการเดินทางในวันพรุ่งนี้ อีกทั้งยังจองร้านอาหารเย็นให้เราเรียบร้อย
หลังจากเอากระเป๋าไปเก็บ หน้าม้าก็เปลี่ยนชุดกิโมโน เดินเล่นถ่ายรูปในมุมต่างๆของโรงแรม พอลงมาถึงชั้น 1 ก็เจอคุณชิโรเจ้าของผู้ใจดีก็เชิญเรานั่งพร้อมเสนอชงชาตามธรรมเนียมญี่ปุ่นให้เราดื่ม พิธีนี้เรียกว่า Tea ceremony การชงชาของชาวญี่ปุ่นถือว่าละเอียดดอ่อนจิงๆ จะมีการนับว่าให้ใส่ปริมาณเท่าไหร่ ใส่น้ำร้อนเท่าไหร่ ขนไปทางซ้ายหรือขวาจำนวนกี่ครั้ง แต่เราก็ยอมรับว่า ชาแก้วนี้อร่อยเกินคำบรรยายจริงๆคร่ะ
หลังจากนั้นก็ได้เวลาออนเซนกัน แน่นอนจะเป็นห้องแยกผู้หญิงและผู้ชาย คุณชิโร อธิบายว่าที่นี้น้ำร้อนนอกจากจะมีแร่ธาตุที่อุดมสมบูรณ์แล้วยังจัดได้ว่าน้ำร้อนมีความสะอาดมากที่สุดในญี่ปุ่น และสามารถดื่มบริโภคได้เลย
หลังจากฟินเว่อร์ๆกับออนเซนไป ก็ได้เวลามื้อเย็น โดยเจ้าของน่ารักอีกแล้ววว จัดเตรียมรถ 2คันพาเราทั้งหมด 8คนไปที่ร้านอาหารที่ได้จองไว้
ร้านอาหารทีนี้เสริฟทั้งชาบูและซาซิมิแล้วแต่เราเลือกตามอัธยาศัยคร่าา
หลังจากมื้อเย็นมื้อใหญ่ของพวกเราเสร็จสิ้น รถของทาง รร ก็มารับพวกเรากลับที่พัก (ประทับใจมั๊กๆในบริการ) ถึง รร กันประมาณ 20:30 ทุกคนก็พักผ่อนตามอัธยาศัย เล่นไพ่ อัพเดทโซเชีลลมิเดีย กันไป
ส่วนรูปนี้คือห้องนอนของเรา ตอนกลางวันจะมีโต๊ะญี่ปุ่นวางอยู่ตรงกลางพอตกเย็นทาง รร จะมาจัดที่นอนให้โดยเก็บโต๊ะขึ้นและนำผ้านวมมาปูให้เรา
เรืองความหนาวของที่นี้แม้จะมีหิมะแต่ก็พออยู่ได้คร่ะ ถ้าขี้หนาวก็ใส่ลองจอนข้างใน ตามด้วยเสื้อผ้าปกติ ปิดท้ายด้วยเสื้อกันหนาวก็อยู่ละคร่ะ
ปล ในห้องมี heater ให้เราด้วยนะ สามารปรับได้ 3ระดับ ดีเดนฝุดๆ
ใครที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ตามลิ้งค์เลยคร่า
http://www.shiroumaso.com/thai/
มอนิ่งงงง วันที่ 4 ของเรา เริ่มต้นด้วยเซ็ทอาหารเช้าที่ทางรีสอร์ทจัดไว้ให้ ได้อารมณ์ Home Stay มากๆ เพราะคุณป้าชาวญี่ปุ่นเป็นคนทำกับข้าวให้ เข้าใจว่าทำตามจำนวนลูกค้าไม่ใช่แนวอุตสหกรรมแบบโรงแรมใหญ่ๆ โดยบางเมนูใชวัตถุดิบประจำเมืองนากาโนะซึ่งไม่สามารถหากินที่อื่นได้ อาทิ สลัดผักที่เป็นผักที่ขึ้นที่เมืองนี้เท่านั้น รสชาติก็ดีนะคะ กรุบกรับๆ ผักนี้ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า kogomi แปลว่า พืชภูเขา
หลังจากรับประทานอาหารเช้ากันเสร็จแล้วก็ออกเดินเท้าไปที่เคเบิ้ลขึ้นภูเขาหิมะ เดินไปจากรีสอรทไม่ถึง 5 นาทีก็ถึงทางขึ้นกระเช้า ราคาสำหรับ Sightseeing คือแค่ขึ้นไปชมวิวอย่างเดียวราคาประมาณ 1,500 เยน และสำหรับ Skiing lift pass สำหรับเล่นสกีด้วยราคาอยู่ที่ 5,500 เยน
เคล็ดไม่ลับ: ขอเพิ่มเติมนิดนึงนะค่ะ คุณโตชิโร่กระซิบว่าที่นี้มีกิจกรรมมากมายไม่ได้มีเฉพาะหิมะเท่านั้น ในฤดูใบไม้ร่วง เพื่อนๆสามารถทำกิจกรรม อาทิ เดินป่า ปีนภูเขา บอลลูน พายเรือแคนนู ร่มร่อน และ ปั่นจักรยานภูเขา เรียกได้ว่า advanture trip จิงจัง
ขึ้นกระเช้าเรียบร้อย ดูแข็งแรง ปลอดภัยมั๊กๆฮับ สามารถนั่งได้ 4คนต่อกระเช้า
ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีก็พาเรามาถึงจุดเล่นสกีขั้นที่ 1 (บนภูเขามีหลายจุดให้เลือกตามความสูง) โดยส่วนมากมือใหม่หรือถ้าต้องการชมวิวก็จะมาที่จุดที่ 1นี้ จุดที่อยู่สูงขึ้นๆไปวิวอาจจะไม่สวยเท่า แต่ไว้สำหรับท่านที่เล่นสกีและต้องการความ advance
แม่บอกว่าถ้าเจอหิมะให้กระโดดชู 2 นิ้ว
วันที่เราไปจะมีฝนตกพร่ำๆ และมีหมอกลงเป็นช่วงๆ แต่มิใช่อุปสรรคของเราแต่อย่างใด อิอิ เพื่อนๆสามารถเตรียมร่มไว้ในกระเป๋าเพราะญี่ปุ่นอากาศค่อนข้างแปรปรวน ส่วนร่มที่เห็นในรูปเป็นของรีสอร์ทที่เราพัก (สิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมมากจีๆ) สำหรับบรรยากาศที่ดีสวยจิงๆคร่ะ เห็นแล้วอยากอยู่นานๆเลย หิมะขาวสะอาด มีภูเขาหิมะเป็นทิวทัศน์ข้างหลัง คนก็ไม่เยอะมาก มีเพียงนักเล่นสกีประมาณ 4-5 คนเท่านั้น
ส่วนธีมวันนี้เราจะแปลงร่างเป็นตัวการ์ตูนบนภูเขาหิมะกัน
ชุดซื้อที่ไหน ? เป็นคำถามแรกๆที่เพื่อนๆใน facebook ถาม
ชุดสามารถซื้อได้ที่ร้าน Don Ki (Don Quijote) ย่านชินจูกุ ร้านนี้พูดเลยว่ามีทุกอย่างจิงๆ คนแน่นมากทุกวัน ที่สำคัญเปิดตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อนๆสามารถหาทุกสิ่งได้จากร้านนี้ตั้งแต่ไฟแช็ค น้ำหอมแบรนเนมด์ต่างๆ คอสเพลย์ต่างๆ ไปจนถึงชุดนอนเซ็กซี่ กริ้ดๆ์ http://www.donki.com สำหรับชุดของพวกเราสนนราคาอยู่ที่ 1,500 เยนหรือประมาณ 400 บาทนิดๆ
เคล็ดไม่ลับ: เพื่อนๆที่แวะไปที่ร้านนี้ อาจต้องเจอกับแถวต่อคิวที่ยาวโคดๆ อาจเสียเวลาเป็นชั่วโมง หน้าม้าแนะนำให้ขึ้นไปที่ชั้น 2 และ 3 สามารถชำระเงินได้เหมือนกันคร่ะ เซฟเวลาได้เยอะเลย
เทสต์ๆ ลองแสงซะหน่อยย…. รูปแอบมัวเพราะมีหมอกลง
เอาละ ทีนี้มาถึงรูปหมู่ หลังจากทุกคนแปลงร่างเป็นตัวการ์ตูนที่แต่ละคนชื่นชอบ
เคล็ดไม่ลับ: ข้างบนจะมีล็อคเกอร์ไว้คอยให้บริการราคาประมาณ 400 เยนเก็บได้ 1-2 กระเป๋าสะพาย สำหรับคนที่ต้องการเก็บของ
สำหรับเพื่อนๆที่มาเพื่อชมวิวและถ่ายรูปแนะนำรองเท้าที่พื้นหนาและยึดเกาะพื้นนะคร่ะ นอกจากป้องกันการลื่นพื้นรองเท้าหนาๆจะช่วยไม่ได้ขาเราเป็นเหน็บจากความเย็นของหิมะคร่ะ
ตากล้องคนเก่งของเราก็จัดแจงตั้งกล้อง เซ็ทค่ากล้อง จากนั้นก็ใช้โหมดออโต้กดชัตเตอร์ ส่วนภาพที่ออกมานั้นจะเป็นอย่างไร ไปดูกัน…..
รีวิววันที่ 3-4ของเราก็หมดเพียงเท่านี้ รีวิวหน้าเราจะพาเพื่อนๆไปดูลิงหิมะภูเขาและหมู่บ้านหมาจิ้งจอกพร้อมกับแนะนำการจัดการกับกระเป๋าสำหรับเพื่อนๆที่แบกสัมถาระเยอะๆเหมือนเราและไปหลายๆที่ บายยย…..
IG: Tinyyygirl
Photo Credit: BTstudio / IG: Banktang
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น