ผู้ที่ปฏิบัติธรรมจริง เมื่อระลึกหรือรู้สึกตัวได้เมื่อใด ก็กำหนดกรรมฐานภาวนาทันที ปฏิบัตเช่นนี้อยู่เนืองๆ ย่อมใกล้ต่อธรรม มีนิพพานเป็นจุดหมาย
แต่ปัญหาอยู่ตรงนี้....
ยามสบายมีสุขทางโลกหรือทุกข์น้อย ย่อมหลงลืมไม่ค่อยระลึกถึง จนคลายการภาวนาไปเสีย
แต่ยามมีทุกข์ ก็จะระลึกได้อย่างเนืองๆ แต่ไม่สามารถรักษาอารมณ์กรรมฐานได้ตลอด เพราะสุขและทุกข์ในแต่ละเวลาผสมปนเปกันอยู่
แก้ปัญหานี้ได้คือ....
1.ต้องตั้งความเพียร ยกขึ้นกำหนดภาวนาอยู่เนืองๆ เพราะ บุคคลที่จะพ้นทุกข์ได้ด้วยความเพียร
2.มีสติปัญญาพิจารณาหรือสังเกตุเห็น "ทุกขัง" คือการตั้งอยู่ไม่ได้ ทนอยู่ไม่ได้ หรือพิจารณาหรือสังเกตเห็น "อนิจจัง" คือความไม่เที่ยง ความแปรเปลี่ยน ที่เป็นปัจจุบันขณะ เนืองๆ
ก็จะทำให้ระลึกถึงธรรม ยกกรรมฐานขึ้นมา กำหนดภาวนาอยู่เนืองๆ ก็จะไม่ไกลไปจากธรรม หรือนิพพานนั้นเอง.
ตามพุทธพจน์ที่ตรัสไว้ดังนี้.
บุคคลล่วงทุกข์ได้ด้วยความเพียร
ผู้ใดเห็นทุกข์(อริยสัจ) ผู้นั้นเห็นธรรม.
กรรมฐานที่สามารถทำให้ ยกขึ้นเป็นวิปัสสนาญาณได้ง่าย เมื่อแจ้งชัดหรือน้อมลงสู่พระไตรลักษณ์(ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา) คือ
1.สติปัฏฐาน 4
2.อานาปานสติ
3.สมรวมอินทรีย์ และอริยบทบรรพ
4.มรณานุสสติ
5.อสุภกรรมฐาน
ฯลฯ
จขกท. ได้ประโยช์มากกว่าผู้อื่นทั่วๆ ไป เมื่อยึดเอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งตั้งแต่วัยเด็ก เพราะประสบทุกข์อย่างมากทั้งแต่จำความได้ จนมากยิ่งในวัยหนุ่มจึงยกกรรมฐานปฏิบัติได้อย่างเนืองๆ เพราะด้วยทุกข์จึงเห็นทุกข์เห็นธรรม จนมีศีลธรรมเป็นที่พึ่ง แลัวยังลากไปจนวัยกลางคนจึงยกกรรมฐานขึ้นกำหนดอยู่เนืองๆ แม้ว่าจะพอสบายทางโลกแล้วแต่ก็ยังกังขาในธรรมที่ปรากฏอยู่ กับวาสนาที่เป็นกิเลสอยู่ จนเมื่อเกิดวิกฤตเฉียดตายด้วยโรคภัย จึงเห็นทุกข์ยิ่ง ยกธรรมปฏิบัติที่ละเอียดขึ้น ข้อกังขาในธรรม และความหยาบของตัณหาในทางเมถุนธรรม ก็จางคลายไปไม่เป็นทุกข์อย่างเดิมๆ.
ผู้ที่ปฏิบัติธรรมจริง เมื่อระลึกหรือรู้สึกตัวได้เมื่อใด ก็กำหนดกรรมฐานภาวนาทันที
แต่ปัญหาอยู่ตรงนี้....
ยามสบายมีสุขทางโลกหรือทุกข์น้อย ย่อมหลงลืมไม่ค่อยระลึกถึง จนคลายการภาวนาไปเสีย
แต่ยามมีทุกข์ ก็จะระลึกได้อย่างเนืองๆ แต่ไม่สามารถรักษาอารมณ์กรรมฐานได้ตลอด เพราะสุขและทุกข์ในแต่ละเวลาผสมปนเปกันอยู่
แก้ปัญหานี้ได้คือ....
1.ต้องตั้งความเพียร ยกขึ้นกำหนดภาวนาอยู่เนืองๆ เพราะ บุคคลที่จะพ้นทุกข์ได้ด้วยความเพียร
2.มีสติปัญญาพิจารณาหรือสังเกตุเห็น "ทุกขัง" คือการตั้งอยู่ไม่ได้ ทนอยู่ไม่ได้ หรือพิจารณาหรือสังเกตเห็น "อนิจจัง" คือความไม่เที่ยง ความแปรเปลี่ยน ที่เป็นปัจจุบันขณะ เนืองๆ
ก็จะทำให้ระลึกถึงธรรม ยกกรรมฐานขึ้นมา กำหนดภาวนาอยู่เนืองๆ ก็จะไม่ไกลไปจากธรรม หรือนิพพานนั้นเอง.
ตามพุทธพจน์ที่ตรัสไว้ดังนี้.
บุคคลล่วงทุกข์ได้ด้วยความเพียร
ผู้ใดเห็นทุกข์(อริยสัจ) ผู้นั้นเห็นธรรม.
กรรมฐานที่สามารถทำให้ ยกขึ้นเป็นวิปัสสนาญาณได้ง่าย เมื่อแจ้งชัดหรือน้อมลงสู่พระไตรลักษณ์(ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา) คือ
1.สติปัฏฐาน 4
2.อานาปานสติ
3.สมรวมอินทรีย์ และอริยบทบรรพ
4.มรณานุสสติ
5.อสุภกรรมฐาน
ฯลฯ
จขกท. ได้ประโยช์มากกว่าผู้อื่นทั่วๆ ไป เมื่อยึดเอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งตั้งแต่วัยเด็ก เพราะประสบทุกข์อย่างมากทั้งแต่จำความได้ จนมากยิ่งในวัยหนุ่มจึงยกกรรมฐานปฏิบัติได้อย่างเนืองๆ เพราะด้วยทุกข์จึงเห็นทุกข์เห็นธรรม จนมีศีลธรรมเป็นที่พึ่ง แลัวยังลากไปจนวัยกลางคนจึงยกกรรมฐานขึ้นกำหนดอยู่เนืองๆ แม้ว่าจะพอสบายทางโลกแล้วแต่ก็ยังกังขาในธรรมที่ปรากฏอยู่ กับวาสนาที่เป็นกิเลสอยู่ จนเมื่อเกิดวิกฤตเฉียดตายด้วยโรคภัย จึงเห็นทุกข์ยิ่ง ยกธรรมปฏิบัติที่ละเอียดขึ้น ข้อกังขาในธรรม และความหยาบของตัณหาในทางเมถุนธรรม ก็จางคลายไปไม่เป็นทุกข์อย่างเดิมๆ.