คำพูดของพ่อแม่ที่ควรพูดกับลูกที่เรียนดี 父母的话

สวัสดีครับ

เห็นหลายคนตั้งกระทู้ พ่อแม่ควรพูดยังไงกับลูก วันนี้ผมเลยอยากลองเขียนเรื่องพ่อแม่ควรพูดยังไงกับลูกที่เรียนดี


= ถูกต้องแล้วครับ คุณฟังไม่ผิด "เด็กที่เรียนดี" ต้องพูดยังไง =


ผมอยากจะแสดงประสบการณ์ของผมเป็นมุมเล็กๆมุมนึง ให้ผู้อ่านได้ลองรับฟังดูคับ

ก็ใช่ว่าเด็กเรียนดีจะมีความสุข เข้าขากับครอบครัวได้ชื่นมื้น เป็นที่เชิดหน้าชูตาของครอบครัวตามที่คนภายนอกเห็นแล้วภูมิอกภูมิใจสะทุกคนสะหน่อย
เด็กบางคนแลกผลการเรียนดีมาด้วยความเหนื่อยยาก ความอดทน โดยส่วนมากมักมาจากการกดดันและความคาดหวังของพ่อแม่ หรือ คู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็น ป้าที่มีลูกอยู่ชั้นเดียวกัน , เพื่อนข้างบ้าน , ลูกของพี่เขย , หลานของยายโน้นนี่นั่น หรือไม่ว่าจะเป็นกระทั่งเรื่องเงินๆทองๆของเศรษฐกิจในครอบครัวที่บางครอบครัวถึงขนาดกู้หนี้ยืมสินมาเพื่อส่งลูกเรียนดีๆ ซื้อสังคมของโรงเรียนไฮโซ จ่ายค่าเรียนแพงๆที่เกินตัวและคอยบอกลูกว่าความหวังทั้งหมดของครอบครัวนี้คือหวังพึ่งพาลูกหลังเรียนจบนะ ลูกต้องเป็นหมอ , หมอฟัน , เภสัช ,วิศกร , นักบิน บลาๆๆๆๆ แล้วปลูกฝังความคิดเหล่านั้นให้กับลูกของตัวเอง

คุณไม่รู้หรอกว่า คุณได้ขังลูกไว้ในตู้คอนเทรลเลอร์ โบกคอนกรีต 20 ชั้น เชื่อมเหล็กปิดทับ โยนลงทะเลจีนใต้ไปแล้ว เค้าต้องแบกรับความกดดันที่เยอะเกินตัวและจากสิ่งที่เค้าไม่ได้ต้องการมากเกินไปนะครับ พาพันเศร้า

สุดท้ายมีเด็กหลายคนผ่านมันมาได้อดทนและตั้งใจเรียนจนได้ผลการเรียนดี ผมไม่ขอพูดว่าเรียนเก่ง แต่ขอใช้คำว่า"เรียนดี"แทน ความหมายมันออกจะแตกต่างกันนิดหน่อย มันไม่ผิดนะที่พ่อแม่จะสร้างความกดดันเล็กๆเพื่อให้ลูกได้ดีเป็นวิธีที่ดีวิธีหนึ่งแต่ต้องระมัดระวังอย่าให้ความกดดันนั้นมันมากเกินหรือมาจากสิ่งที่เค้าไม่ได้ก่อ ฉะนั้นการพูดคุยกับลูกที่มีความกดดันอยู่แล้ว(แต่ยังประสบความสำเร็จเรียนดีอยู่)จึงมีความสำคัญ เพราะเด็กเดี๋ยวนี้ sensitive เยอะ

เช่น
เม่าอ่าน
หากคุณอยากจะถามลูกเรื่องสอบ
ควรรอจังหวะลูกพูดเรื่องสอบแล้วค่อยถามไม่ใช่กลับบ้านมาปุ๊บถามปั๊บ หรือ ถ้ารอไม่ไหวจะถาม ควรพูดในทำนองเล่นๆกันมากกว่า เช่นว่า "เป็นไงเรา ทำได้ไหม,ทำข้อสอบมาเหนื่อยป่าวไหวไหมลูก,เหลืออีกกี่ตัวแล้ววันนี้โอไหม" เดี๋ยวลูกจะพูดออกมาเองหละครับว่าเป็นไง เรื่องข้อสอบยังไงก็ต้องมีบ่น
ไม่ควรพูดว่า "วันนี้ทำข้อสอบได้เท่าไหร่ ,ได้กี่ข้อ ,คิดว่าได้สักกี่เปอร์เซน ,จะผ่านไหม ,เพื่อนบ่นกันบ้างหรือป่าว, แล้วเพื่อนเป็นบ้างไหม ,จะเต็มไหม"
การพูดกะเกณฑ์ว่าลูกจะต้องทำได้เท่าไหร่ กี่ข้อเป็นการสร้างกดดันที่ใหญ่มากให้เด็ก เด็กจะรู้สึกว่าถ้าชั้นพลาดแม้แต่ข้อเดียวหรือถ้าชั้นได้น้อยกว่าคนนี้คนนั้น ชั้นจะรู้สึกแย่และชั้นจะทำให้พ่อแม่ชั้นแย่และเสียใจเช่นกัน
เม่าเนิร์ด
หากคุณจะพูดเรื่องผลการเรียน
ผมเชื่อว่าพ่อแม่ก็คงพอรู้ว่าเรียนเทอมนี้ผลออกประมาณช่วงไหน ถ้าอยากรู้วันที่แน่นอนถามครั้งเดียว[ก่อนจะสอบไฟนอล] อย่าถามหลังสอบเพราะเด็กอาจคิดได้ว่าดูท่าทางแล้วพ่อแม่ไม่พอใจในการสอบเลยอยากรู้ผลเร็วๆ เมื่อรู้ผลการเรียนแล้วถ้าได้เกรดดีเป็นที่พอใจ ชมนิดหน่อยเพื่อเป็นกำลังใจให้ลูก แต่ถ้าผลการเรียนไม่ดีหรือไม่เป็นที่พอใจ พ่อแม่ไม่ควรเอาลูกไปเปรียบกับใคร และอย่าแสดงกริยาท่าทางว่า ชั้นอ๊ายอายที่ลูกชั้นได้แค่นี้เอง ให้ถามกลับด้วยความห่วงใย น้ำเสียงที่นุ่มลง เช่น "วิชาคณิตเทอมนี้เรียนเรื่องอะไรหรอลูก บลาๆ อ่อ แคลคูลัสใช่ม่ะ ยากมากสมัยแม่เรียนก็ทำไม่ค่อยได้ ไม่เป็นไรเทอมหน้าเอาใหม่ สู้กันใหม่นะ" เพราะยังไงเกรดออกมาแล้วคุณจะทำอะไรออกไปเกรดก็ไม่เปลี่ยน ต่อให้คุณดุด่าตีลูกเกรดก็เทาเดิม ทำได้แค่ให้กำลังใจให้ลูกสู้ใหม่เทอมหน้าว่ากัน หรือ เช็คดูว่าลูกมีปัญหาตรงไหนเรื่องเรียนหรือเปล่าแล้วแก้ให้ตรงจุดจะดีกว่า

ในเมื่อลูกคุณมีความตั้งใจ อดทนกับแรงกดดันและเอาชนะมันมาได้ สำคัญเช่นกัน คือ "พ่อแม่อย่าลืมไว้วางใจลูก" คนเป็นพ่อเป็นแม่เห็นมาตลอดว่าลูกตัวเองรักดีนะไม่ใช่รักชั่ว ก็อย่าไปจี้ลูกเยอะ ประคับประคองแล้วมองอยู่ห่างขึ้นมาอีกนิดก็พอ  อย่าลืมนะครับสมัยนี้เด็กยิ่งถูกจี้เยอะๆเด็กจะต่อต้านและเตลิดไปไกล อย่าให้ลูกออกนอกลูกนอกทาง ขยายลู่และเพิ่มพื้นที่ให้ลูกให้ได้หายใจบ้าง มันจะทำให้เด็กรู้สึกมีความสุขขึ้นนะครับ
เป็นห่วงนะ
ผมเองก็อยากจะพูดฝากมุมเล็กๆไว้แค่นี้ เล่ามาจากประสบการณ์ส่วนตัวจากพฤติกรรมที่ไม่น่ารักของผมเท่าไหร่นัก
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่