สวัสดีค่ะ รีวิวนี้เป็นรีวิวญี่ปุ่นครั้งที่สองของเราแล้วนะคะ หลังจากที่เมื่อปลายปีที่แล้วไปตามหาใบไม้แดงกันมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้จะเป็นรีวิวทริปสั้นๆ แค่ 3 วันเท่านั้นเองค่ะ ทริปนี้เราเจาะจงไปเกียวโตที่เดียวแบบไม่แวะที่ไหนเลย เพราะหลังจากที่กลับมาคราวที่แล้ว เรารู้สึกว่าเกียวโตยังมีอะไรให้เราได้ทำความรู้จักอีกมาก
ครั้งนี้จะเป็นการเดินทางคนเดียวแบบจริงจังครั้งแรกของเราหลังจากที่เคยเก็บประเป๋าไปภูฏานกับทัวร์มาแล้ว ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยสูง แล้วระบบคมนาคมก็ทั่วถึง เราคิดว่าน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้หญิงที่อยากจะลองเดินทางคนเดียวดูบ้าง
สำหรับเราที่ครั้งนี้เลือกเดินทางคนเดียวก็เพราะว่าเราอยากเที่ยวในแบบที่เราชอบและสนใจจริงๆ ที่สำคัญเราอยากรู้ว่าเราจะเอาตัวรอดได้มากน้อยแค่ไหนกับทักษะภาษาอังกฤษที่พูดไม่ค่อยได้ ส่วนฟังก็แค่พอจับใจความได้เท่านั้น
ทริปนี้เราวางแผนจะไปเดินเล่นและถ่ายรูปไปเรื่อยๆ โดยไม่เน้นว่าจะต้องเก็บสถานที่ท่องเที่ยวให้ได้หลายๆ แห่งเหมือนครั้งที่ผ่านมา แต่ก็มีบางที่ที่เราตั้งใจจะไปอย่างตรอก Ishebei-koji ที่คราวที่แล้วเราเดินเลยแบบไม่รู้ตัวจนกระทั่งกลับมาเขียนรีวิว
เราใช้เวลาเตรียมตัวประมาณหนึ่งอาทิตย์ก่อนการเดินทาง เพราะพอมีพื้นฐานเรื่องเส้นทางรถไฟอยู่บ้างแล้ว อะไรๆ ก็เลยง่ายขึ้น โดยวันสุดท้ายที่เกียวโตเราเว้นว่างไว้เฉยๆ อยากจะไปไหนก็ไปหรือจะทำอะไรก็รู้กันตอนนั้นเลย
พอถึงวันเดินทางเราเกือบจะไม่ได้ไปเที่ยวตามแผนซะแล้ว ตอนที่เรากำลังเอากระเป๋าเดินทางใส่ท้ายรถแท็กซี่มีรถมอเตอร์ไซค์มาจากไหนก็ไม่รู้ ชนโครม! ตรงประตูฝั่งผู้โดยสารที่เราเพิ่งชะโงกหน้าไปบอกคนขับรถว่าไปสนามบิน เรียกว่าใจหายใจคว่ำ (มาก) เดินทางคนเดียวครั้งแรกก็ตื่นเต้นพออยู่แล้ว มาเจอเหตุการณ์แบบนี้ตั้งแต่ออกจากบ้านอีก สวดมนต์อย่างเดียวเลยค่ะ
วันนั้นเครื่องบินดีเลย์เกือบหนึ่งชั่วโมง เพราะที่สนามบินดอนเมืองฝนตกหนักมาก กว่าจะได้ขึ้นเครื่องก็ร้องเพลงรอกันไปหลายรอบ แล้วเราก็เลือกที่นั่ง Quiet Zone ด้วยก็เลยได้ขึ้นเครื่องเป็นกลุ่มท้ายๆ แต่ขอบอกว่าไฟล์ทนี้พนักงานต้อนรับชาวญี่ปุ่นหน้าตาแซ่บมาก (ถ้ามีภาพประกอบก็คงจะเป็นสายตาวิ้งๆ ^^)
เราไปถึงสนามบินคันไซประมาณ 5 ทุ่มครึ่ง กว่าจะผ่านตม. และรับกระเป๋าก็เที่ยงคืนพอดี คืนนั้นมีหลายคนที่ไม่ทันรถไฟเข้าเมืองเที่ยวสุดท้าย แต่สำหรับเราไม่มีปัญหาอะไร เพราะตั้งใจจะนอนสนามบินอยู่แล้ว อีกไม่กี่โมงก็เช้าเราก็นั่งรถไฟตรงไปเกียวโตได้เลย แต่ถามว่าได้นอนรึเปล่า เราตอบเลยว่าไม่ นั่งมองคนมาสูบบุหรี่จนเกือบเช้า สุดท้าย Boss Coffee ในร้าน Lawson ช่วยเราได้
ครั้งแรกที่นั่งรถไฟ Haruka จากสนามบินคันไซไปเกียวโต เราหลับเกือบตลอดทาง ลืมตามาก็จะถึงเกียวโตแล้ว แต่ครั้งนี้ไม่มีพลาด จัดกาแฟไปสองกระป๋องเบาๆ ตาสว่าง ถ่ายรูปได้ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ข้างทางรถไฟมีบ้านหลังเล็กๆ เหมือนในการ์ตูนมาก เราว่าตามซอยต้องมีโนบิตะเดินเล่นอยู่แน่ๆ
พอถึงสถานีเกียวโต เราต้องนั่งรถเมล์เพื่อเอากระเป๋าไปฝากที่เกสต์เฮาส์แถวๆ ถนน Kawaramichi เสียก่อน พอขึ้นรถเมล์ปุ๊บ เราก็เริ่มโซเซียลปั๊บ เงยหน้ามาอีกทีก็ได้ยินเสียงประกาศ michi michi เราก็รีบลงจากรถเมล์เลยจ้า คิดว่าเลยป้ายแล้ว ที่สำคัญมั่นใจมาก ลากกระเป๋าเดินย้อนไปอีกหนึ่งป้าย
ที่นี่ที่ไหน?
เราหมุนตัวไปรอบๆ อย่างช้าๆ ทำไมมันเงียบอย่างนี้ เท่าที่รู้มาที่พักเราอยู่ใจกลางเมืองเลยนะ สุดท้ายก็เลยต้องพึ่งแผนที่เส้นทางรถเมล์ที่ได้มาตอนที่เราซื้อ One Day Pass ปรากฏว่าเหลืออีกตั้ง 4 ป้ายกว่าจะถึง
วันแรกของทริปนี้จะเป็นการเก็บตกจากครั้งที่แล้วซะส่วนใหญ่ ที่แรกที่เราไปคือปราสาทนิโจ พอเดินเข้าไปในโซนปราสาท เราก็เจอหนูน้อยคนหนึ่งน่ารักมาก แก้มแดง น่าฟัดสุดๆ เราก็เลยอดไม่ได้ที่จะขออนุญาตคุณแม่ของหนูน้อยถ่ายรูปมา
ปราสาทนิโจ (Nijo Castle) เป็นหนึ่งในปราสาทที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1603 เพื่อใช้เป็นที่อยู่ของโชกุนโทคุกาวา ซึ่งเป็นโชกุนคนแรกในสมัยเอโดะ (ยุคเอโดะ 1603-1867) ต่อมาในยุคล่มสลายของโชกุนในปี ค.ศ. 1867 มีการยกเลิกระบบโชกุนและเปลี่ยนเป็นระบบจักรพรรดิ ปราสาทนิโจได้ถูกใช้ที่ประทับของราชวงศ์และมอบให้เป็นสมบัติของเมืองเกียวโตในเวลาต่อมา
การเข้าชมในตัวปราสาทต้องถอดรองเท้าไว้ที่ด้านหน้า และด้านในห้ามถ่ายรูปโดยเด็ดขาด แต่เราบอกได้เลยว่า คุ้มค่ากับค่าเข้าชม 600 เยนอย่างแน่นอน สำหรับห้องที่เราชอบมากที่สุดจะเป็นห้องของโชกุน โดยเฉพาะภาพวาดตามฝาผนัง
‘ยิ่งใหญ่ ซับซ้อน และสวยงาม’ คือคำจำกัดความของที่นี่
แม้ด้านในตัวปราสาทจะไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป แต่เราก็สามารถเดินเล่นและถ่ายรูปบริเวณรอบๆ ปราสาทได้ เราแนะนำให้เดินไปจนถึงสวนด้านในสุด ซึ่งจะมีจุดที่เราสามารถชมวิวรอบๆ ปราสาทจากมุมสูงได้ ประมาณว่าเห็นคนญี่ปุ่นเดินไปทางไหนก็เดินตามไปเรื่อยๆ ถ้าหลงเดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที
ออกจากปราสาทนิโจแล้ว เราจะไปเดินเล่นต่อที่อาราชิยามา (Arashiyama) สถานที่ท่องเที่ยวที่โรแมนติกที่สุดแห่งหนึ่งในความรู้สึกเรา คราวที่แล้วเรามีเวลาแค่สองชั่วโมงเศษ ทุกอย่างก็เลยดูเร่งรีบไปหมด รอบนี้ก็เลยจัดไป 4 ชั่วโมงเต็มๆ เอาให้เดินจนเมื่อยกันไปข้างหนึ่งเลย
เรานั่งรถไฟใต้ดินสาย Tozai Line จากสถานี Nijojomae ซึ่งอยู่ใกล้กับปราสาทนิโจเพียงแค่ถนนกั้นไปต่อ Randen หรือรถไฟ Keifuku ที่สถานี Uzamasatenjingawa จริงๆ แล้วเส้นทางที่สะดวกที่สุดน่าจะเป็นรถไฟ JR แต่ที่เราเลือกเส้นทางนี้ก็เพราะว่าเราอยากนั่ง Randen รถรางเก่าแก่ของเกียวโตที่อายุมากกว่า 100 ปี
ตลอดเส้นทางที่ Randen วิ่งผ่านจะเป็นบ้านเรือนและแหล่งชุมชนต่างๆ ซึ่งเราจะได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่จริงๆ สถานีสุดท้ายของ Randen หรือรถไฟ Keifuku สาย Arashiyama Line ก็คือสถานี Arashiyama พอออกจากสถานีเราก็จะเจอถนนเส้นหลักของอาราชิยามาเลย
:: KYOTO I LOVE YOU :: เกียวโต กลับมาเพราะรัก
ครั้งนี้จะเป็นการเดินทางคนเดียวแบบจริงจังครั้งแรกของเราหลังจากที่เคยเก็บประเป๋าไปภูฏานกับทัวร์มาแล้ว ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยสูง แล้วระบบคมนาคมก็ทั่วถึง เราคิดว่าน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้หญิงที่อยากจะลองเดินทางคนเดียวดูบ้าง
สำหรับเราที่ครั้งนี้เลือกเดินทางคนเดียวก็เพราะว่าเราอยากเที่ยวในแบบที่เราชอบและสนใจจริงๆ ที่สำคัญเราอยากรู้ว่าเราจะเอาตัวรอดได้มากน้อยแค่ไหนกับทักษะภาษาอังกฤษที่พูดไม่ค่อยได้ ส่วนฟังก็แค่พอจับใจความได้เท่านั้น
ทริปนี้เราวางแผนจะไปเดินเล่นและถ่ายรูปไปเรื่อยๆ โดยไม่เน้นว่าจะต้องเก็บสถานที่ท่องเที่ยวให้ได้หลายๆ แห่งเหมือนครั้งที่ผ่านมา แต่ก็มีบางที่ที่เราตั้งใจจะไปอย่างตรอก Ishebei-koji ที่คราวที่แล้วเราเดินเลยแบบไม่รู้ตัวจนกระทั่งกลับมาเขียนรีวิว
เราใช้เวลาเตรียมตัวประมาณหนึ่งอาทิตย์ก่อนการเดินทาง เพราะพอมีพื้นฐานเรื่องเส้นทางรถไฟอยู่บ้างแล้ว อะไรๆ ก็เลยง่ายขึ้น โดยวันสุดท้ายที่เกียวโตเราเว้นว่างไว้เฉยๆ อยากจะไปไหนก็ไปหรือจะทำอะไรก็รู้กันตอนนั้นเลย
พอถึงวันเดินทางเราเกือบจะไม่ได้ไปเที่ยวตามแผนซะแล้ว ตอนที่เรากำลังเอากระเป๋าเดินทางใส่ท้ายรถแท็กซี่มีรถมอเตอร์ไซค์มาจากไหนก็ไม่รู้ ชนโครม! ตรงประตูฝั่งผู้โดยสารที่เราเพิ่งชะโงกหน้าไปบอกคนขับรถว่าไปสนามบิน เรียกว่าใจหายใจคว่ำ (มาก) เดินทางคนเดียวครั้งแรกก็ตื่นเต้นพออยู่แล้ว มาเจอเหตุการณ์แบบนี้ตั้งแต่ออกจากบ้านอีก สวดมนต์อย่างเดียวเลยค่ะ
วันนั้นเครื่องบินดีเลย์เกือบหนึ่งชั่วโมง เพราะที่สนามบินดอนเมืองฝนตกหนักมาก กว่าจะได้ขึ้นเครื่องก็ร้องเพลงรอกันไปหลายรอบ แล้วเราก็เลือกที่นั่ง Quiet Zone ด้วยก็เลยได้ขึ้นเครื่องเป็นกลุ่มท้ายๆ แต่ขอบอกว่าไฟล์ทนี้พนักงานต้อนรับชาวญี่ปุ่นหน้าตาแซ่บมาก (ถ้ามีภาพประกอบก็คงจะเป็นสายตาวิ้งๆ ^^)
เราไปถึงสนามบินคันไซประมาณ 5 ทุ่มครึ่ง กว่าจะผ่านตม. และรับกระเป๋าก็เที่ยงคืนพอดี คืนนั้นมีหลายคนที่ไม่ทันรถไฟเข้าเมืองเที่ยวสุดท้าย แต่สำหรับเราไม่มีปัญหาอะไร เพราะตั้งใจจะนอนสนามบินอยู่แล้ว อีกไม่กี่โมงก็เช้าเราก็นั่งรถไฟตรงไปเกียวโตได้เลย แต่ถามว่าได้นอนรึเปล่า เราตอบเลยว่าไม่ นั่งมองคนมาสูบบุหรี่จนเกือบเช้า สุดท้าย Boss Coffee ในร้าน Lawson ช่วยเราได้
ครั้งแรกที่นั่งรถไฟ Haruka จากสนามบินคันไซไปเกียวโต เราหลับเกือบตลอดทาง ลืมตามาก็จะถึงเกียวโตแล้ว แต่ครั้งนี้ไม่มีพลาด จัดกาแฟไปสองกระป๋องเบาๆ ตาสว่าง ถ่ายรูปได้ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ข้างทางรถไฟมีบ้านหลังเล็กๆ เหมือนในการ์ตูนมาก เราว่าตามซอยต้องมีโนบิตะเดินเล่นอยู่แน่ๆ
พอถึงสถานีเกียวโต เราต้องนั่งรถเมล์เพื่อเอากระเป๋าไปฝากที่เกสต์เฮาส์แถวๆ ถนน Kawaramichi เสียก่อน พอขึ้นรถเมล์ปุ๊บ เราก็เริ่มโซเซียลปั๊บ เงยหน้ามาอีกทีก็ได้ยินเสียงประกาศ michi michi เราก็รีบลงจากรถเมล์เลยจ้า คิดว่าเลยป้ายแล้ว ที่สำคัญมั่นใจมาก ลากกระเป๋าเดินย้อนไปอีกหนึ่งป้าย
ที่นี่ที่ไหน?
เราหมุนตัวไปรอบๆ อย่างช้าๆ ทำไมมันเงียบอย่างนี้ เท่าที่รู้มาที่พักเราอยู่ใจกลางเมืองเลยนะ สุดท้ายก็เลยต้องพึ่งแผนที่เส้นทางรถเมล์ที่ได้มาตอนที่เราซื้อ One Day Pass ปรากฏว่าเหลืออีกตั้ง 4 ป้ายกว่าจะถึง
วันแรกของทริปนี้จะเป็นการเก็บตกจากครั้งที่แล้วซะส่วนใหญ่ ที่แรกที่เราไปคือปราสาทนิโจ พอเดินเข้าไปในโซนปราสาท เราก็เจอหนูน้อยคนหนึ่งน่ารักมาก แก้มแดง น่าฟัดสุดๆ เราก็เลยอดไม่ได้ที่จะขออนุญาตคุณแม่ของหนูน้อยถ่ายรูปมา
ปราสาทนิโจ (Nijo Castle) เป็นหนึ่งในปราสาทที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1603 เพื่อใช้เป็นที่อยู่ของโชกุนโทคุกาวา ซึ่งเป็นโชกุนคนแรกในสมัยเอโดะ (ยุคเอโดะ 1603-1867) ต่อมาในยุคล่มสลายของโชกุนในปี ค.ศ. 1867 มีการยกเลิกระบบโชกุนและเปลี่ยนเป็นระบบจักรพรรดิ ปราสาทนิโจได้ถูกใช้ที่ประทับของราชวงศ์และมอบให้เป็นสมบัติของเมืองเกียวโตในเวลาต่อมา
การเข้าชมในตัวปราสาทต้องถอดรองเท้าไว้ที่ด้านหน้า และด้านในห้ามถ่ายรูปโดยเด็ดขาด แต่เราบอกได้เลยว่า คุ้มค่ากับค่าเข้าชม 600 เยนอย่างแน่นอน สำหรับห้องที่เราชอบมากที่สุดจะเป็นห้องของโชกุน โดยเฉพาะภาพวาดตามฝาผนัง
‘ยิ่งใหญ่ ซับซ้อน และสวยงาม’ คือคำจำกัดความของที่นี่
แม้ด้านในตัวปราสาทจะไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป แต่เราก็สามารถเดินเล่นและถ่ายรูปบริเวณรอบๆ ปราสาทได้ เราแนะนำให้เดินไปจนถึงสวนด้านในสุด ซึ่งจะมีจุดที่เราสามารถชมวิวรอบๆ ปราสาทจากมุมสูงได้ ประมาณว่าเห็นคนญี่ปุ่นเดินไปทางไหนก็เดินตามไปเรื่อยๆ ถ้าหลงเดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที
ออกจากปราสาทนิโจแล้ว เราจะไปเดินเล่นต่อที่อาราชิยามา (Arashiyama) สถานที่ท่องเที่ยวที่โรแมนติกที่สุดแห่งหนึ่งในความรู้สึกเรา คราวที่แล้วเรามีเวลาแค่สองชั่วโมงเศษ ทุกอย่างก็เลยดูเร่งรีบไปหมด รอบนี้ก็เลยจัดไป 4 ชั่วโมงเต็มๆ เอาให้เดินจนเมื่อยกันไปข้างหนึ่งเลย
เรานั่งรถไฟใต้ดินสาย Tozai Line จากสถานี Nijojomae ซึ่งอยู่ใกล้กับปราสาทนิโจเพียงแค่ถนนกั้นไปต่อ Randen หรือรถไฟ Keifuku ที่สถานี Uzamasatenjingawa จริงๆ แล้วเส้นทางที่สะดวกที่สุดน่าจะเป็นรถไฟ JR แต่ที่เราเลือกเส้นทางนี้ก็เพราะว่าเราอยากนั่ง Randen รถรางเก่าแก่ของเกียวโตที่อายุมากกว่า 100 ปี
ตลอดเส้นทางที่ Randen วิ่งผ่านจะเป็นบ้านเรือนและแหล่งชุมชนต่างๆ ซึ่งเราจะได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่จริงๆ สถานีสุดท้ายของ Randen หรือรถไฟ Keifuku สาย Arashiyama Line ก็คือสถานี Arashiyama พอออกจากสถานีเราก็จะเจอถนนเส้นหลักของอาราชิยามาเลย