ฉันจะได้ไปเมืองนอกแล้ววววววว ep.1

ขออภัยล่วงหน้านะคะ ถ้าภาษาเขียนทำได้ไม่ดีพอ ติชมได้เลยค่ะ ไว้จะมาแก้ไข และขอบคุณทุกท่านที่แวะเข้ามาอ่านด้วยค่ะ =w=



     สวัสดีค่ะ เราศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัย(ที่มีการเรียนการสอนทุกอย่างเป็นภาษาอังกฤษ ยกเว้นภาษาไทยและนิติศาสตร์ ก็ถ้าเรียนเป็นภาษาอังกฤษคงต้องงมหอยกันเลยค่ะ) และตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของประเทศ

      เรามาเรียนที่นี้เพราะอยากได้ภาษาค่ะ ตอนม.ปลายก็เรียนตามใจที่บ้าน ตอนแรกตั้งใจจะเข้าสายจีน เขียนในใบเลือกแล้วนะ แต่ท่านแม่โน้มน้าวสุดๆ ตั้งแต่อยู่ที่บ้าน ในรถ จนกระทั่งหน้าห้องอาจารย์ค่ะ สุดท้ายก็ไปขอลิคขวิคอาจารย์เปลี่ยนที่โต๊ะก่อนส่งค่ะ จนเราได้ไปเรียนอยู่สายวิทย์ (ฮือ อยากจะบีบคอตัวเอง ถ้าดื้ออีกนิดก็รุ่งภาษาแล้วแกรรรร) หลายๆคนก็อาจจะประสบพบเจออะไรแบบนี้เหมือนกัน เราเข้าใจนะคะว่าพ่อแม่ต้องการในเรียนอะไรที่มันรองรับมากกว่า แต่การยัดเยียดนี่ก็ทำให้ลำบากเด็กอย่างพวกเราค่ะ ซึ่งตอนที่เรียนม.ปลายนั้น (โรงเรียนสหศึกษา มีทุ่งทานตะวันย่อมๆอยู่ด้านหลังโรงเรียน) เกรดก็ห่วยๆตามประสาคนสมองกลวงคนนึงค่ะ เกรดคณิตวิทย์ไม่ต้องพูดถึง แก้ตลอด ซ่อมตลอด เฮฮากันไปค่ะ สนุกสนาน


     ขอเกริ่นก่อนว่า เราไม่ใช่เด็กเรียนค่ะ ม.ปลายติดเล่นสุด ติดเกมส์สุดๆเหมือนกัน 5555 เลิกเรียนปุ๊บก็ตรงเข้าร้านเกมส์กับกลุ่มเพื่อนค่ะ สองสามทุ่มค่อยกลับบ้าน การบ้านก็ทำบ้าง ลอกเพื่อนบ้าง แล้วแต่อารมณ์ ด้วยความที่ว่าเราเพิ่งรู้ตัวว่าชอบภาษาตอนม.สามค่ะ เกรดอิ้งเราก็ถูไถค่ะ ไม่ซ่อม ไม่ตก แต่ก็ไม่ดี มีครั้งนึงที่ตั้งใจเรียนอิ้งมาก จำได้ว่าเป็นการอ่านเขียนค่ะ ที่โรงเรียนจะให้เรียนสามตัว แล้วก็ได้เกรดสามจุดห้ามา คือสูงสุดในชีวิตแล้วค่ะ ดีใจมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ตอนได้ใบเกรดมาคือมือสั่น น้ำตาคลอ ใจเต้น ตุ้บตับๆ อย่างกับได้รางวัลโนเบล (ปิดซอยเลี้ยงได้นี่ทำไปแล้วค่ะ)


      เราเคยไปสอบชิงทุนนะคะ สอบครั้งเดียว แล้วก็ได้ ด้วยเกณฑ์ผ่านเกินมาแค่ห้าคะแนน (คิดว่าฟลุ๊ค เพราะเราก็ไม่เก่งอิ้งเลย งูปลามากๆ อ่านได้แปลไม่ออก ฟังได้ตอบไม่ถูก อารมณ์นี้เลยค่ะ) โดยตกลงกับพ่อแม่ว่าถ้าได้ต้องให้ไปนะ เหมือนเขาก็ไม่คิดว่าเราจะได้อะค่ะ พอเอาผลไปให้ดูเค้าก็เหมือนตกใจค่ะ 555555 ครั้งนี้คือเราเสียใจมาก ร้องไห้ไปสามวัน เพราะพ่อแม่ไม่ให้ไปค่ะ ทั้งๆที่ตกลงกันแล้ว คือเราตื้อนานมาก ทั้งจี้ ทั้งย้ำ พยายามจะไปให้ได้ สุดท้ายก็อดค่ะ ด้วยเหตุผลที่ว่าจะไปใช้ชีวิตยังไง คะแนนก็เกินมาไม่เยอะ จะอยู่ได้หรอ สุดท้ายจบด้วยไอแพดสองมาครอบครองหนึ่งเครื่อง555555555555 (ไม่ได้ไป ก็ต้องได้อะไรตอบแทนนนนนน!!!!!!)


      จนการต่อสู้ครั้งใหญ่ก็มาถึงค่ะ คือการหาที่เรียนต่อมหาลัย ซึ่งตอนนั้นอยากเป็นนักบินมากค่ะ อะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับการบิน เราก็เริ่มหาข้อมูลมหาลัยต่างๆ ช่วงนั้นยังไม่มีเปิดขนาดนี้ค่ะ มีแค่ที่สถาบันการบินพลเรือน เอแบค ม.รังสิต มฟล. ม.นครพนม (มีที่อื่นอีกรึป่าวไม่ทราบนะคะ หากข้อมูลผิดพลาด ขออภัยค่ะ)  ซึ่งเราสนใจเอแบคค่ะ เพราะคิดว่าเกรดเราไม่ดี แล้วก็เป็นเอกชน เห็นว่ามีสอบอะไรสักอย่าง(ไม่รู้เราเข้าใจถูกมั้ยในขณะนั้น) ก็เลยถามแม่แต่ไม่ได้รับการสนับสนุนเหมือนเดิม แล้วตอนนั้นที่มหาลัยที่เราศึกษาอยู่ตอนนี้กำลังเปิดรับสมัครรับตรงค่ะ เราเลยคิดว่า เอาล่ะ ที่นี้แหละ ศึกษาข้อมูลอย่างถี่ถ้วน มาดูเกรด แล้วก็จอดค่ะ ......
       เสียใจมาก ที่ไม่ตั้งใจเรียน ได้แต่กร่นด่าตัวเองในใจ บอกแล้วค่ะว่าเกรดไม่ดี แต่เราหน้าด้านค่ะ ลองเลือกโดยใส่การปฏิบัติการการบินไปอันดับแรก ตามด้วยนิติศาสตร์อันดับสอง อาจจะสงงสัยว่าเราอยากทำอะไรเกี่ยวกับการบิน ทำไมไม่เลือกเซอร์วิสอันดับสอง เหตุผลคือเราคิดว่าไม่เหมาะกับงานนั้นจริงๆค่ะ (ให้ผู้หญิงสวยๆบุคลิกดีๆเค้าเป็นกันเถอะ) แล้วก็เป็นตามคาดถูกตัดสิทธิ์อันแรกได้อันสองค่ะ (กำหนดการก็บอกอยู่นังโง่ววว!!!!!!) เราก็บอกพ่อแม่ เค้าก็ยินดีค่ะ ชอบเลยแหละ .....
       จากนั้นก็สอบติด เข้าเรียนมาเรื่อยๆ เราคิดว่าที่นี่ตอบโจทย์นะคะ ด้วยความที่ว่าเรียนเป็นภาษาอังกฤษโดยส่วนใหญ่ อิ้งเข้มจริงๆค่ะ จากคนที่กลัวไม่กล้าพูดเลย กลายเป็นว่าต้องพูดและพูดให้เข้าใจได้ด้วย (ชอบมากจริงๆค่ะ ถึงจะโอดครวญทุกครั้งที่เข้าคลาสก็เถอะ) จากนั้นผ่านมาปีสองปี เราเริ่มวางแผนอยากไปนอกค่ะ อยากไปเผชิญกับคนต่างชาติ อยากพูดอยากลองใช้วิชาที่เราได้ร่ำเรียนมาว่ามันจะมีประสิทธิภาพขนาดไหน


        และแล้ววันนั้นก็มาถึงค่ะ เราเข้ากลูเกิ้ลศึกษาข้อมูล หาสถานที่เรียนภาษาที่ต่างประเทศ ก็ไปปะกับเว็บนึง ซึ่งเขาไม่คิดค่าใช่จ่ายในการติดต่อทำเรื่องกับทางสถาบันที่ญี่ปุ่น เป็นแค่ตัวแทนประสานงานให้ ซึ่งดีมากๆค่ะ เราก็เข้าไปดูว่าค่าใช้จ่ายอะไรยังไงบ้าง ถือว่าถูกใจมาก (เน้นๆคือไม่แพงอย่างที่คิด) เลยชวนเพื่อนไปด้วยค่ะ (เราคิดว่าไปคนเดียว คงไม่ผ่านมติความเห็นชอบจากพ่อแม่แน่ๆ55555) เพื่อนก็ตกลงค่ะ ซึ่งตอนนี้เราทั้งคู่ยังไม่ได้บอกพ่อแม่กันเลยนะคะ แค่วางแผนกันไว้ก่อน (จะขอยังไง ทำอะไรบ้าง จะให้มั้ย? เครียดจริงๆค่ะ พอๆกับอยากเข้าเซเว่นแล้วร้านปิดปรับปรุงเลยค่ะ)
        ผ่านมาหนึ่งเดือน สองเดือน สามเดือน มันเริ่มใกล้เวลาปิดสมัครเข้ามาทุกที เลยตัดสินใจโทรขอค่ะ(ตอนแรกก่อนที่จะขอไปเรียนที่ญี่ปุ่น เราขอไปเวิร์คที่เมกา แต่ไม่ได้ค่ะ เนื่องจากค่าใช้จ่ายสูง พ่อแม่บอกว่าจะเก็บไว้ให้ไปตอนเรียนต่อป.โท เราเลยยอม จะว่าไปเราดูเป็นคนสูบเงินพ่อแม่มากเลยแฮะ5555555555) ที่บ้านเราจะมีข้อตกลงว่าถ้าอยากจะทำอะไรที่นอกเหนือจากปกติให้ขอพ่อก่อน ถ้าตกลงให้ไปคุยกับแม่อีกที เราก็ดำเนินการตามสเต็ปค่ะ ก็มีถามว่าไปยังไง อยู่ได้หรอ ค่าใช้จ่ายละ ไปกี่วัน ตอบไปหมดทุกข้อสงสัย ทุกรายละเอียด แต่ยังไม่หมดเท่านี้นะคะ เรามีไม้เด็ดที่เราคิดว่างัดออกมาใช้แล้วจะได้ไปแน่ๆ
       ก็คือเราออกค่าใช้จ่ายส่วนนึงด้วยเงินเก็บของตัวเองค่ะ(อุตส่าห์เก็บหอมรอมริบมาเป็นปีๆ มันจะหายไปอีกล้าวววววววววววว TT_TT) โดยเราถูกปลูกฝังจากที่บ้านมาค่ะ ว่าอยากได้อะไรให้เก็บเงินซื้อเอาเอง แล้วเขาจะไม่บ่นหรือว่าอะไรเลยค่ะ เราก็ทำแบบนั้นมาตลอด เสื้อผ้า รองเท้า ของเล่น ของกิน ไปเที่ยว อีกหลายๆอย่าง(แต่ถ้าราคามันเป็นหมื่นงี้เราทำใจออกเองไม่ได้จริงๆค่ะ 555555 ต้องขอตลอด) แม่จะคอยบอกเราเสมอว่า มีเงินให้ใช้ ก็ใช้ให้เหลือใช้ในอนาคตด้วย ไม่ใช่สักแต่ว่ามี ก็จะใช้ไปจนหมด แล้วอนาคตจะเอาที่ไหนมากิน คงเพราะเราเป็นลูกคนเดียวด้วย พี่น้องไม่มี ถ้าไม่มีพ่อกับแม่เราก็คงลำบากจริงๆค่ะ คิดแล้วหดหู่ค่ะ พอๆ  


      สรุปว่าข้อตกลงระหว่างเรากับที่บ้านสำเร็จค่ะ ตอนแรกกังวลมากว่าจะไม่ได้ไป เพราะพ่อแม่เราเหมือนด่านตรวจคนเข้าเมืองค่ะ น่ากลัวมากกกกกกกกกกก นิ่งๆแต่บอกทีคือจบ ยูเอ้าท์อะไรแบบนี้ อะไรนิดอะไรหน่อยก็ไม่ได้ละ พอเราได้ปุ๊บ บอกเพื่อน เพื่อนตกใจค่ะ เพราะนางยังไม่ขอ5555(จริงๆเราบ่นไว้ว่าพ่อแม่ขอไปยากมาก กลัวไม่ให้ ไม่ได้ไปประมาณนี้ ช่วงนั้นความคิดติดลบมากที่สุด) เราก็เลยเร่งๆจนได้ไป ติดต่อสถาบันส่งใบสมัคร จ่ายเงินค่าเรียน จองตั๋วเครื่องและที่พักเรียบร้อย ที่เหลือก็แค่รอเวลาแล้วววววววววววววววววววว
     ฮุเลฮุเลฮุเลฮาฮา ฮุลาฮุลาฮุลา เฮเฮ  


เจอกันต่อพาร์ทสองนะคะ แล้วจะมาเขียนใหม่ประมาณกลางเดือนหน้าค่ะ ^_____^

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่