บันทึกชีวิต แง้มนิด ปิดหน่อยของคนชื่อต๋อง-3/49 วัยเยาว์อันเย้ายวน ( ต่ออีกนิด )

มีอยู่อย่างที่ชอบมาก ๆ เวลาที่ย้อนนึกถึงเป็นได้โหยหาทุกที แถมเป็นอะไรที่ขืนพิเรนทร์ทำตอนนี้ เป็นได้อับอายประชาชี และยัง " วอนนอนคุก"อีกทอกนึงด้วย แถ่นแทนแท้น...................ตึก ๆๆๆๆๆ แฉ่........ วิ่งแก้ผ้าอาบน้ำฝน ใช่แล้ว จะหาฟีลไหนเทียบกับฟีลวิ่งแก้ผ้าเล่นน้ำฝนกับก๊วนแก๊งวัยใสขนาดนั้นได้อีกล่ะ มันทั้งสดชื่น ดื่มด่ำ อิสระเสรี บางเบา ฉ่ำชุ่มเกินจะบรรยายด้วยภาษามนุษย์ เอาเป็นว่า "สะบะละฮุ่ยดุ้มดุ๊กดุ้มดุ๋ยสุด ๆไปเลยก็แล้วกัน"

ใครอยากลิ้มชิมประสบการณ์แบบนี้ก็คงจะไม่ทันซะละมั้ง ถึงจะใจกล้าหน้าหนามาทำตอนนี้ก็คงจะไม่ได้ฟีลแบบนั้นหรอก เชื่อเราเถอะ อีกอย่างที่ติดตรึงใจระดับน้อง ๆกันก็คือ วิ่งเก็บลูกเห็บกินกันสด ๆ จำได้ว่า ตอนนั้นบ้านเรามีลูกเห็บตกอยู่บ่อยครั้งทีเดียวเชียว มันจะมาพร้อมเสียงรัวกลองบนหลังคาสังกะสีบ้าน และเสียงกระทบพื้นถนนดังตึก ๆ และมันยังนำความครึกครื้นกระดี๊กระด๊าติดมือมาฝากด้วย เพราะเด็กตัวน้อย ๆอย่างพวกเราจะได้วิ่งออกไปเก็บมันขึ้นมาเช็ด ๆกับเสื้อกางเกงแล้วจับยัดใส่ปากเป็นลูกอมเมนทอลธรรมชาติเย็นเจี๊ยบถึงใจ ชนิดที่อมฮอลล์ล้านเม็ดก็เทียบไม่ได้ รสมันจะออกเค็ม ๆปะแล่ม ๆแท้มแท้ม บรรยายยากอีกแล้ว เอาเป็นว่า "สะบะละฮุ่ยดุ้มดุ๊กดุ้มดุ๋ยสุด ๆไปเลยก็แล้วกัน" เหมือนเดิมนั่นแหละ แต่พวกเราไม่โง่พอจะออกไปเก็บตอนมันกำลังถ่ายทอดสดการตกหรอกนะ เราจะรอ ๆจนกว่ามันจะซา ๆ แล้วค่อยสปีดตัวออกไปกัน

หลังฝนตก แถว ๆ ริมทางหน้าบ้านที่เป็นดินแดงของพวกเราจะแปรสภาพเป็นแอ่งน้ำน้อยใหญ่ และอัศจรรย์เหลือเกิน ปลาตัวเล็กตัวน้อยมาจากไหนไม่รู้จะแหวกว่ายบ้าง เถลือกไถลไปมาบ้างอยู่ในแอ่งน้ำเหล่านั้น พวกเราก็เลยคิดกันว่าฟ้าคงจะส่งมันลงมาให้พวกเราได้เล่นหนุกหนานกันนั่นเอง ขอสารภาพตามตรงว่า ถึงแม้ตอนนี้จะผ่านมานานเนิ่นแล้ว ข้าน้อยก็ยังไม่กระจ่างแก่ใจอยู่ดีว่า ปลาพวกนั้นมันมาจากไหน ไผฮู่ซอยบอกแนเด้ออออ

ทีนี้จะหันมาพูดถึงอาหารวัยเยาว์บ้างล่ะ จำไม่ค่อยได้แล้วว่าตอนเช้าเรากินอะไรกันบ้าง แต่น่าจะเป็นพวกข้าวเหนียวไก่ย่างตับย่างอะไรเทือก ๆนั้น แต่เตี่ยเค้าคงจะมีอาหารเฉพาะของเค้านั่นแหละ เพราะนึกยังไงก็นึกภาพอาแปะแก่ ๆนั่งแทะข้าวเหนียวไก่ย่างไม่ออกซักที ใครมีฝีมือทางศิลปะ ลอง ๆสเก๊ตช์มาให้ดูหน่อยดิ (แบบว่าต้องใส่กางเกงขาก๊วยสีดำกับเสื้อกล้ามตราห่านคู่สีขาวด้วยนะ ) กลางวันจำได้ว่าจะเป็นข้าวต้ามกุ๊ยที่ถึงไม่เป็นกุ๊ยก็กิน ตอนเย็น เรา ( ผมกับน้องสาว )จะมีอาหารพิเศษ ประเภทเล่น ๆ อยู่ก็จะมีเอื้อยแต้ว คนช่วยงานที่บ้านจะต้องมาตะโกนถามว่า " วันนี้จะกินอะไร" เราก็จะตอบสลับไป ๆ มา ๆ ในแต่ละวันอยู่สองอย่างว่า "หมูเค็ม" แล้วก็ " หมูหวาน" แล้วก็จะโปะไข่ดาวหรือไข่เจียว กินกันเป็นแค่นี้จริง ๆ ที่แน่ ๆ บ้านเราจะกินน้ำข้าวกันทุก ๆเย็นด้วย คือพอข้าวใกล้ ๆ สุก เอื้อยแต้วจะเอาไม้ขัดฝาหม้อแบบให้มีช่องแง้มไว้ราว 30 แงมิจูด แล้วยกตั้งเอียงให้น้ำข้าวค่อย ๆ ไหลลงอีกหม้อนึง จากนั้นก็จัดรินใส่แก้วให้ครบคนพร้อมวางเสิร์ฟถึงโต๊ะ เราว่าที่เราผิวเนียนใสราวตูดเด็กอ่อนก่อนหย่านมเนี่ยก็คงจะเพราะอานิสงส์ ของน้ำข้าวนี่แหละ........มั้ง ( หุหุ แอบเนียนโฆษณาขายตัวเองซะเลย )

อ้อ มีเกล็ดอีกอย่างนึงที่ไม่อยากจะข้ามเลยไปคือ กลองหนังกบ เราจะเอากระป๋องนมใช้แล้วมาตัดฝาออกให้หมด เสร็จแล้วเอาหนังกบมาแผ่คลุมไว้ รัดขอบด้วยเชือกหรือหนังสติ๊ก ตากแดดไว้ราวครึ่งค่อนวัน หนังกบจะแห้งตึงเปรี๊ยะ แปรสภาพเป็นกลองหนังกบให้เราตีเล่นหนุกหนานต่อไป

แม่เล่าให้ฟังว่าเราเป็นเด็กที่เก็บรายละเอียดเกี่ยวกับหนังได้ดีมาก ๆ ทุกครั้งที่ไปดูอะไรมาก็จะกลับมาเล่าให้แม่ฟังเป็นฉาก ๆทีเดียว แถมยังชอบอินกับบทพระเอกในเรื่องอีกตะหาก วันนึงแม่บอกเราไปดูหนังมิตรชัยบัญชาเป็นช่างตัดผม พอกลับมาก็จับน้องชายที่ตอนนั้นน่าจะซักสองขวบได้มั้งมาแถไถหั่นเจี๋ยนผมเผ้าจนแหว่งวิ่นเยินไปทั้งหัว แม่ยังเล่าด้วยว่าตอนเด็ก ๆ แม่จะประหยัดหรือไงนี่แหละ เลยเอาเสื้อผ้าของพี่สาวมาให้เราใส่ เราก็เลยได้นุ่งกระโปรงตลอด แล้วเวลาแม่ใช้ไปซื้อโอเลี้ยง อาแปะก็จะให้เรารำฟ้อนให้ดู แล้วก็จะได้ท็อฟฟี่เป็นรางวัล แม่บอกพอเตี่ยบ่นด่าแม่เรื่องนี้บ่อย ๆเข้า แม่ก็เลยต้องซื้อหาเสื้อผ้าเด็กผู้ชายมาให้แทน เราจึงรอดพ้นจากรังสีสีม่วงมานับแต่บัดนั้น

แต่ที่จำได้เองคือ ไม่รู้ฟีลไหน เคี้ยวหมากฝรั่งเสร็จก็เอาไปแปะหัวเจ้าน้องคนนี้จนต้องพาไปให้ช่างตัดผมกร้อนจนเกรียนไปเลย อีกเรื่องที่จำได้คือมีอยู่วันนึง เรานึกอยากจะแกล้งน้องสาว เพราะวัดกันมาตลอดอยู่แล้ว เลยออกอุบายให้น้องชายทำหน้าตาตื่นวิ่งไปบอกน้องสาวของเราที่เป็นพี่สาวของ มันว่าเราตกส่าง(บ่อ)หลังบ้าน ส่วนเราก็เอารองเท้าฟองน้ำไปลอยอยู่ในบ่อ หรือที่บ้านเราเรียกว่า ส่างที่ลึกเป็นสิบเมตรได้ แล้วคอยแอบดูอยู่ในโอ่งมังกร กะว่าพอให้มันสติแตกตกใจซักครู่ก็จะโผล่ออกมาหัวเราะเยาะให้หนำใจไปเลย แต่เรื่องดันบานปลาย เพราะแม่เกิดได้ยินตอนที่น้องชายไปบอก แม่เลยรีบทิ้งร้านวิ่งมาที่บ่อพร้อมกับเอื้อยแต้ว พอแม่เห็นรองเท้าลอยอยู่ในบ่อ คนที่สติแตกจึงกลายเป็นแม่แทน แม่ละล้าละลังจะโดดบ่อน้ำเพื่อช่วยเรา แต่เอื้อยแต้ว ดึงรั้งแม่ไว้ ส่วนเจ้าน้องชายที่สมรู้ร่วมคิดก็ตกใจกับสถานการณ์จนทำอะไรไม่ถูก รวมทั้งเราที่แอบอยู่ในตุ่มด้วย

สุดท้ายฉากไคลแม็กซ์ก็มาคลี่คลายเอาตอนที่เราโผล่ขึ้นมาจากตุ่ม พร้อมด้วยเสียงหัวเราะเจื่อน ๆ แบบว่าไม่รู้จะออกอารมณ์ไหนดีในตอนนั้น ท้ายที่สุดเอื้อยแต้ว ที่เดือดดาลสุดขีดเลยลากเราไปหวดซะเต็มเหนี่ยวไปเลย เหตุการณ์นั้นทำให้เราเข้าใจความรักที่ยิ่งใหญ่เหนือจินตนาการของแม่ชนิดลึก ซึ้งถึงแก่นทีเดียว เพราะนาทีนั้น แม่พร้อมจะเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเราจริง ๆ ถ้าไม่มีใครห้ามหรือห้ามไม่ทัน วันนั้นคงเกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ และเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสภาพจิตใจของเราจะเป็นยังไง จะฟื้นคืนสภาพได้มากน้อยแค่ไหน และจะยังยิ้มออกหัวเราะได้แบบทุกวันนี้หรือเปล่า ขอบคุณสวรรค์ที่เรื่องไม่จบลงแบบนั้น ขอบคุณ ๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่