คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
ก๊าซพิษในการเลี้ยงสัตว์น้ำ
ก๊าซพิษในการเลี้ยงสัตว์น้ำมีหลายชนิด ได้แก่ แอมโมเนีย ไนไตรต์ และไนเตรต ก๊าซไข่เน่า มีเทน ฯลฯ แต่ที่สำคัญและเป็นปัญหาในการบำบัดน้ำมากที่สุดมี 3 ชนิด มี แอมโมเนีย ไนไตรต์ และไนเตรต ซึ่งเป็นสารประกอบไนโตรเจนที่เกิดจากการเมตาโบลิซึมสิ่งขับถ่ายจากสิ่งมีชีวิตในน้ำ ซึ่งสิ่งขับถ่ายจากกิจกรรมเมตาโบลิซึม (Metabolic waste) และสารประกอบที่เป็นผลผลิตต่อเนื่องและสะสมอยู่ในน้ำ เป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่สุดในการดำรงชีวิตสำหรับสิ่งมีชีวิตที่อาศัยในน้ำ และทั้งสามชนิดสามารถเปลี่ยนกลับไปกลับมาได้
แอมโมเนีย
แอมโมเนียเป็นสารประกอบที่มีธาตุไนโตรเจนอยู่ด้วยและเป็นหนึ่งในสามของสารประกอบไนโตรเจนที่สำคัญในบ่อปลา กุ้ง และสัตว์น้ำ สารประกอบทั้งสามเกิดขึ้นและเปลี่ยนกลับไปกลับมาได้ ขึ้นอยู่กับสภาพและองค์ประกอบอื่นๆ ทั้งสามชนิดเป็นผลผลิตจากกระบวนการเมตาโบลิซึมของปลา กุ้ง และสัตว์น้ำ
เมื่อปลา กุ้ง และสัตว์น้ำขับถ่ายของเสียออกมา จะเปลี่ยนเป็นแอมโมเนียสะสมอยู่ในน้ำ จากนั้นก็จะมีแบคทีเรียกลุ่มหนึ่งมาเปลี่ยนแอมโมเนียเป็นไนไตรต์ โดยกระบวนการนี้ต้องใช้ออกซิเจนด้วย เมื่อไนไตร์ตมีมากพอจะมีแบคทีเรียอีกกลุ่มหนึ่งมาเปลี่ยนไนโตร์ตเป็นไนเตรต ซึ่งไนเตรตนี้เองเป็นเหมือนปุ๋ยตัวหนึ่งที่พืชสามารถนำไปใช้ได้และมีอันตรายน้อยกว่าแอมโมเนียและไนไตร์ต
ไนเตรตจะถูกกำจัดออกจากน้ำได้ง่าย โดยการดูดซึมของพืช การแปรสภาพเป็นก๊าซไนโตรเจน หรือการถ่ายน้ำออกจากตู้ ซึ่งถือว่าครบวงจรของสารประกอบไนโตรเจนที่เข้ามาในบ่อปลา กุ้ง และสัตว์น้ำ โดยอาหารที่เราป้อนให้ปลา กุ้ง และสัตว์น้ำกินแล้วขับถ่ายออกมา เปลี่ยนเป็นสารประกอบไนโตรเจนต่างๆ แล้วถูกกำจัดออกจากบ่อไปด้วยกระบวนการที่เหมาะสม หากวงจรนี้ดำเนินไปโดยไม่สะดุด ไม่มีการสะสมของสารประกอบไนโตรเจนในขั้นตอนต่างๆ ปลา กุ้ง และสัตว์น้ำก็จะอยู่สุขสงบดี แต่เมื่อไรที่มีสิ่งผิดปกติ เกิดการสะสมในขั้นตอนใดๆ ก็ตาม ปัญหาที่อาจทำให้ปลา กุ้ง และสัตว์น้ำป่วยและตายอาจเกิดขึ้นได้
แอมโมเนียละลายในน้ำและแตกตัวเป็นอิออนของแอมโมเนีย (NH4) อย่างรวดเร็ว แต่ก็สามารถเปลี่ยนกลับไปกลับมาเป็นแอมโมเนียอิสระและอิออนของแอมโมเนียได้จนเข้าสู่สมดุล แต่สมดุลจะเปลี่ยนไปเมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยน ซึ่งสภาพแวดล้อมที่ทำให้เกิดแอมโมเนียอิสระมากขึ้น ได้แก่
- pH สูงขึ้น
- อุณหภูมิสูงขึ้น
- ความเค็มต่ำ (เช่น ในน้ำจืด)
แอมโมเนียอิสระจะมีอันตรายมากกว่าอิออนของแอมโมเนียหลายเท่า เครื่องมือวัดแอมโมเนียส่วนใหญ่จะวัดค่าผลรวมระหว่างแอมโมเนียทั้งสองรูปแบบ ซึ่งเราแยกไม่ออกว่าเป็นแอมโมเนียตัวไหน การคำนวณหาค่าแอมโมเนียอิสระจึงต้องใช้ค่า pH และอุณหภูมิประกอบกันไปด้วย
การวัดปริมาณแอมโมเนีย
ใช้ชุดตรวจวัด โดยน้ำยาทดสอบและเทียบสี
เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ion-specific photometer
พิษของแอมโมเนีย
เมื่อน้ำมีความเป็นกรด-ด่างมากขึ้นคือ ค่า pH สูงขึ้น หรืออุณหภูมิสูงขึ้น แอมโมเนียจะเป็นพิษมากขึ้น โดยเฉพาะในน้ำจืด ทั้งนี้เนื่องจากปริมาณแอมโมเนียอิสระที่มากขึ้นนั่นเอง
ปลาแต่ละชนิดมีความไวต่อพิษของแอมโมเนียแตกต่างกันออกไป ไข่ปลาและตัวอ่อนของปลา กุ้งและสัตว์น้ำมีความไวต่อพิษของแอมโมเนียมากแม้จะมีปริมาณไม่มาก ปริมาณที่ฆ่าปลา กุ้ง และสัตว์น้ำส่วนใหญ่ได้อยู่ที่ 0.2-0.5 มิลลิกรัม ต่อลิตร ถึงปริมาณแอมโมเนียที่ต่ำกว่าอย่างนั้นก็เถอะ ปลา กุ้ง และสัตว์น้ำอาจมีชีวิตอยู่ได้ แต่ก็อยู่ในสภาพความเครียดสูงเและพร้อมจะป่วยเป็นโรคที่มากับเชื้อโรคฉวยโอกาสทั้งหลายได้ ดังนั้น ระดับปริมาณแอมโมเนียที่ปลอดภัยสำหรับปลา กุ้ง และสัตว์น้ำทุกชนิดควรอยู่ที่ 0 มิลลิกรัม ต่อลิตร
ปลา กุ้ง และสัตว์น้ำขนาดเล็กถูกผลกระทบจากแอมโมเนียมากกว่าปลา กุ้ง และสัตว์น้ำใหญ่ และมักจะมีอาการก่อนปลา กุ้ง และสัตว์น้ำใหญ่
การที่ปลา กุ้ง และสัตว์น้ำต้องเจอกับปริมาณแอมโมเนียในปริมาณไม่มาก อาจทำให้แค่เกิดการระคายเคืองของเหงือก และอักเสบเล็กน้อย ในขณะที่การสัมผัสกับแอมโมเนียเป็นระยะเวลานานๆ ทำให้เนื้อเยื่อเหงือกหนาตัวขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของเซลล์เหงือกหรือเซลล์เหงือกบวมขึ้น
อาการที่ปลา กุ้ง และสัตว์น้ำแสดงออก หายใจขัดหรือหายใจผิดจังหวะ จะพบได้ในปลา กุ้ง และสัตว์น้ำที่กำลังเจอแอมโมเนีย และอาจพบการตายอย่างฉับพลัน ถ้ามีปริมาณแอมโมเนียปริมาณสูง
สาเหตุที่ทำให้เกิดพิษจากแอมโมเนีย
มีหลายสาเหตุที่ทำให้ปริมาณแอมโมเนียสะสมมากขึ้นในบ่อปลา กุ้ง และสัตว์น้ำ เช่น
- ระบบกรองที่ยังไม่ทำงานเต็มที่ คือ ยังมีปริมาณจุลินทรีย์ที่จะมาทำหน้าที่ย่อยสลายแอมโมเนียไม่มากพอกับปริมาณแอมโมเนียที่เกิดขึ้นในตู้
- ปล่อยปลา กุ้ง และสัตว์น้ำหนาแน่นเกินไป มีปลา กุ้ง และสัตว์น้ำมากเกินไป หรือปลา กุ้ง และสัตว์น้ำผลิตของเสียเร็วเกินไป หรือขับของเสียมามากเกินไป
- มีการเน่าเสียในตู้ เช่น มีปลา กุ้ง และสัตว์น้ำตายมีต้นไม้ตาย แพลงก์ตอนตาย ให้อาหารมากเกิน ปลา กุ้ง และสัตว์น้ำกินหมด โดยเร็วจนอาหารเน่าเสียในตู้
- การให้อาหารมากเกินไปอย่างไม่สม่ำเสมอ การผลิตแอมโมเนียก็ไม่สม่ำเสมอตามไปด้วย
- มีการทำลายระบบกรองชีวภาพ เช่น มีการใช้ยาปฏิชีวนะ ระบบส่งน้ำขัดข้องหรือมีการขัดขวางทางเดินน้ำที่ไปสู่ระบบกรอง ทำให้ระบบกรองขาดออกซิเจน การบำรุงรักษากรองที่ไม่ถูกต้อง ฯลฯ
ในกรณีของตู้หรือบ่อใหม่ๆ ก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน เนื่องจากระบบบำบัดตามธรรมชาติยังไม่ทำงาน เรียกภาวะนี้ว่า New pond syndrome ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อลงปลา กุ้ง และสัตว์น้ำในบ่อสร้างใหม่แอมโมเนียจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการขับถ่ายของเสียของปลา กุ้ง และสัตว์น้ำ จากนั้นก็จะลดลงและมีปริมาณไนไตรต์สูงขึ้นมาแทน เนื่องจากจุลินทรีย์ที่ย่อยสลายแอมโมเนียจะเพิ่มปริมาณขึ้น เปลี่ยนแอมโมเนียเป็นไนไตรต์ แต่จุลินทรีย์ที่ย่อยสลายไนไตรต์ยังมีไม่มากพอ เมื่อผ่านไปสักระยะหนึ่งจุลินทรีย์ที่ย่อยสลายไนไตร์ตเพิ่มปริมาณมากพอระดับไนไตร์ตจึงลดลง แต่ในระหว่างนั้นถ้าปลา กุ้ง และสัตว์น้ำไม่แข็งแรงก็อาจป่วยได้
การแก้ไข
เมื่อทราบว่าปลา กุ้ง และสัตว์น้ำในบ่อได้รับพิษจากแอมโมเนียเราสามารถแก้ไขได้โดยการเปลี่ยนถ่ายน้ำที่มีแอมโมเนียเข้มข้นออกไปแล้วนำน้ำที่ปลอดภัยกว่าเข้ามาแทน แต่ถ้ายังไม่สามารถเปลี่ยนถ่ายน้ำได้ให้ทำตามวิธีต่อไปนี้ ซึ่งสามารถชะลอพิษของแอมโมเนียลงได้บ้างคือ
- เติมเกลือ อิออนของเกลือจะช่วยลดพิษของแอมโมเนียได้
- ใช้ซีโอไลต์ มีลักษณะเป็นเกล็ดที่มีรูพรุนสามารถดูดซับก๊าซต่างๆ รวมทั้งแอมโมเนียได้ดี
- เพิ่ม pH หรือรักษาน้ำให้อยู่ในระดับเป็นกลางหรือกรดอ่อนๆ จะช่วยลดปริมาณของแอมโมเนียอิสระได้
จากแอมโมเนีย แบคทีเรียกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในน้ำหรือบนพื้นผิวของเครื่องกรองน้ำ จะทำหน้าที่เปลี่ยนแอมโมเนียเป็นไนไตรต์ (NO2) โดยกระบวนการนี้ต้องมีออกซิเจนด้วย ซึ่งไนไตรต์เป็นพิษต่อปลา กุ้ง และสัตว์น้ำมาก
เมื่อไนไตรต์มีมากพอ แบคทีเรียอีกกลุ่มหนึ่งเปลี่ยนไนไตรต์เป็นไนเตรต ซึ่งไนเตรตนี้เองเป็นเหมือนปุ๋ยตัวหนึ่งที่พืชสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ และมีอันตรายน้อยกว่าแอมโมเนียและไนไตรต์
ไนไตรต์
แอมโมเนียถูกออกซิเดชันไปเป็นไนไตรต์ด้วยแบคทีเรียไนโตรโซโมนาส (Nitrosomonas bacteria) และไนโตรคอคคัส (Nitrococcus bacteria) บ่อหรือตู้ปลา กุ้ง และสัตว์น้ำใหม่ๆ มักประสบปัญหามีปริมาณไนโตรต์สูง เนื่องจากการเพิ่มจำนวนช้าและจำนวนแบคทีเรียไนโตรแบคเตอร์ (Nitrobacter) ไม่เพียงพอที่จะเปลี่ยนไนไตร์ตเป็นไนเตรต ปริมาณแอมโมเนียสูงๆ ยังขัดขวางการเจริญเติบโตของไนโตรแบคเตอร์ด้วย
การตรวจวัด
ใช้ชุดตรวจวัดโดยน้ำยาทดสอบและเทียบสี
เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ion-specific photometer
ความเป็นพิษ
ไนโตรต์เป็นพิษน้อยกว่าแอมโมเนีย ปริมาณที่ทำให้เกิดการตายอยู่ที่ 10 ถึง 20 มิลลิกรัม ต่อลิตร
ไนไตร์ตจะถูกดูดซึมเข้าไปทางเหงือกของปลา กุ้ง และสัตว์น้ำ ซึ่งกระบวนการนี้ถูกยับยั้งได้ด้วยอิออนของคลอไรด์ในเกลือแกง ไนไตร์ตเป็นพิษน้อยลงเมื่ออยู่ในน้ำเค็มหรือน้ำกระด้าง
ไนไตรต์จะออกซิไดซ์ฮีโมโกลบินในเลือดปลาให้กลายเป็นเมททีโมโกลบิน (Methaemoglobin) ซึ่งไม่สามารถขนส่งออกซิเจนไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปริมาณไนไตร์ตควรอยู่ต่ำกว่า 0.1 มิลลิกรัม ต่อลิตร แต่ปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการเลี้ยงปลา กุ้ง และสัตว์น้ำ ก็คือ 0 มิลลิกรัม ต่อลิตร
ไนเตรต
ไนไตรต์ถูกออกซิไดซ์ไปเป็นไนไตรตด้วยแบคทีเรียไนโตรแบคเตอร์ (Nitrobacter bacteria) และจุลินทรีย์อื่นๆ
ในกรณีที่ไม่มีการเปลี่ยนถ่ายน้ำอย่างสม่ำเสมอ ไนเตรตจะสะสมอยู่ในน้ำในตู้หรือบ่อปลา กุ้ง และสัตว์น้ำ แล้วไนเตรตอาจมาจากน้ำประปาหรือน้ำที่ชะล้างปุ๋ยโดยน้ำฝนจากพื้นดินที่ทำการเกษตรรอบๆ มาสู่บ่อได้
การตรวจวัด
ใช้ชุดตรวจวัด โดยน้ำยาทดสอบและเทียบสี
เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ion-specific photometer
ความเป็นพิษ
ไนเตรตเป็นพิษน้อยกว่าแอมโมเนียและไนไตรต์ แต่ปริมาณ 50-300 มิลลกรัม ต่อลิตร อาจทำให้ปลา กุ้ง และสัตว์น้ำบางตัวตายได้
ไนเตรตเป็นพิษมากขึ้นเมื่ออยู่ในน้ำเค็มที่ pH ต่ำ (เป็นกรด)
ปริมาณไนเตรตสูงๆ จะทำให้แพลงก์ตอน ตะไคร่ และสาหร่ายเจริญเติบโตมาก
ไนเตรตจะถูกกำจัดออกจากน้ำได้ง่าย โดยการดูดซึมของพืช (ปลา กุ้ง และสัตว์น้ำก็มักกินพืชเหล่านั้นเป็นอาหาร ทำให้ครบวงจรไนโตรเจน) หรือมีการแปรสภาพเป็นก๊าซไนโตรเจนโดยแบคทีเรีย Denitrification หรือมีการถ่ายน้ำออกจากตู้หรือบ่อปลา กุ้ง และสัตว์น้ำ หรือมีการดึงเอาพืชน้ำออกไป ก็เป็นการกำจัดสารประกอบไนโตรเจนที่เป็นพิษออกจากน้ำแล้ว
การป้องกัน
ถ้าดูวงจรของสารประกอบไนโตรเจนทั้งหมดในระบบเลี้ยงปลา กุ้ง และสัตว์น้ำแล้ว เริ่มจากอาหารที่เราป้อนให้ปลา กุ้ง และสัตว์น้ำกินแล้วขับถ่ายออกมา เปลี่ยนเป็นสารประกอบไนโตรเจนต่างๆ แล้วถูกำจัดออกจากบ่อไปด้วยกระบวนการที่เหมาะสม หากวงจรนี้ดำเนินไปโดยไม่สะดุด ไม่มีการสะสมของสารประกอบไนโตรเจนในขั้นตอนต่างๆ ตู้หรือบ่อปลา กุ้งและสัตว์น้ำก็จะอยู่สุขสงบดี แต่เมื่อไรที่มีสิ่งผิดปกติ เกิดการสะสมในขั้นตอนใดๆ ก็ตาม ปัญหาที่อาจทำให้ปลา กุ้งและสัตว์น้ำป่วยและตายอาจเกิดขึ้นได้
ในช่วงที่ระบบบำบัดของเสียยังทำงานไม่เต็มที่และทำให้เกิดอาการผิดปกติของปลา กุ้ง และสัตว์น้ำ เราเรียกภาวะนี้ว่า กลุ่มอาการบ่อใหม่เป็นพิษ New pond syndrome ซึ่งเป็นผลมาจากคุณภาพน้ำที่แย่ลง แล้วยังทำให้โอกาสเกิดโรคอื่นตามมาได้อีก
ทางหลีกเลี่ยงปัญหานี้คือ ค่อยๆ เพิ่มปริมาณปลา กุ้ง และสัตว์น้ำลงเลี้ยงทีละน้อย อย่าลงปลา กุ้ง และสัตว์น้ำหนาแน่นเต็มความสามารถของบ่อในช่วงที่ยังเป็น "บ่อใหม่" อยู่
ปฏิกิริยาไนตริฟิเคชัน (Nitrification) เป็นกระบวนการเปลี่ยนแอมโมเนียเป็นไนไตรต์ (NO2) และไนไตร์ตเป็นไนเตรต โดยแบคทีเรียไนตริฟายเออร์ (Nitrifier)
ปฏิกิริยาไนตริฟิเคชันสามารถเกิดได้ดีในสภาวะที่มีออกซิเจนและแอมโมเนีย เช่น ผิวบนของชั้นตะกอนที่มีออกซิเจน ทำให้บริเวณดังกล่าวมีการลดลงของแอมโมเนียและมีการสะสมตัวของไนเตรต
ชนิดของแบคทีเรียไนตริฟายเออร์ ได้แก่ Bacillus subtilis Nitrosomonas sp. Nitrococcus sp., Nitrobacter sp. ซึ่งแบคทีเรียเหล่านี้ต้องใช้ออกซิเจนในการย่อยสลายของเสียและอินทรียวัตถุในบ่อเลี้ยงทั้งสิ้น ฉะนั้นการควบคุมแอมโมเนีย (NH3) ไนไตรต์ (NO2) ไนเตรต (NO3) ในบ่อเลี้ยงปลา กุ้ง และสัตว์น้ำจำเป็นต้องรักษาระดับค่าออกซิเจนละลายน้ำ (Dissolved oxygen : DO) ให้เหมาะสมและอยู่ในสภาวะสมดุลเสมอ
โดยหลักการนี้จึงสามารถควบคุมสิ่งแวดล้อมในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำได้ด้วยการเพิ่มประชากรของจุลินทรีย์ในน้ำ เช่น เติมแบคทีเรียในกลุ่มไนตริฟายเออร์ลงไปในบ่อ ก็จะช่วยเพิ่มกิจกรรมการย่อยสลายของเสียและอินทรียวัตถุในน้ำได้ แต่ทั้งนี้ต้องมีออกซิเจนและคาร์บอนเพียงพอด้วย
น.สพ.ธวัชชัย สันติกุล
หนังสือพิมพ์เทคโนโลยีชาวบ้าน
ก๊าซพิษในการเลี้ยงสัตว์น้ำมีหลายชนิด ได้แก่ แอมโมเนีย ไนไตรต์ และไนเตรต ก๊าซไข่เน่า มีเทน ฯลฯ แต่ที่สำคัญและเป็นปัญหาในการบำบัดน้ำมากที่สุดมี 3 ชนิด มี แอมโมเนีย ไนไตรต์ และไนเตรต ซึ่งเป็นสารประกอบไนโตรเจนที่เกิดจากการเมตาโบลิซึมสิ่งขับถ่ายจากสิ่งมีชีวิตในน้ำ ซึ่งสิ่งขับถ่ายจากกิจกรรมเมตาโบลิซึม (Metabolic waste) และสารประกอบที่เป็นผลผลิตต่อเนื่องและสะสมอยู่ในน้ำ เป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่สุดในการดำรงชีวิตสำหรับสิ่งมีชีวิตที่อาศัยในน้ำ และทั้งสามชนิดสามารถเปลี่ยนกลับไปกลับมาได้
แอมโมเนีย
แอมโมเนียเป็นสารประกอบที่มีธาตุไนโตรเจนอยู่ด้วยและเป็นหนึ่งในสามของสารประกอบไนโตรเจนที่สำคัญในบ่อปลา กุ้ง และสัตว์น้ำ สารประกอบทั้งสามเกิดขึ้นและเปลี่ยนกลับไปกลับมาได้ ขึ้นอยู่กับสภาพและองค์ประกอบอื่นๆ ทั้งสามชนิดเป็นผลผลิตจากกระบวนการเมตาโบลิซึมของปลา กุ้ง และสัตว์น้ำ
เมื่อปลา กุ้ง และสัตว์น้ำขับถ่ายของเสียออกมา จะเปลี่ยนเป็นแอมโมเนียสะสมอยู่ในน้ำ จากนั้นก็จะมีแบคทีเรียกลุ่มหนึ่งมาเปลี่ยนแอมโมเนียเป็นไนไตรต์ โดยกระบวนการนี้ต้องใช้ออกซิเจนด้วย เมื่อไนไตร์ตมีมากพอจะมีแบคทีเรียอีกกลุ่มหนึ่งมาเปลี่ยนไนโตร์ตเป็นไนเตรต ซึ่งไนเตรตนี้เองเป็นเหมือนปุ๋ยตัวหนึ่งที่พืชสามารถนำไปใช้ได้และมีอันตรายน้อยกว่าแอมโมเนียและไนไตร์ต
ไนเตรตจะถูกกำจัดออกจากน้ำได้ง่าย โดยการดูดซึมของพืช การแปรสภาพเป็นก๊าซไนโตรเจน หรือการถ่ายน้ำออกจากตู้ ซึ่งถือว่าครบวงจรของสารประกอบไนโตรเจนที่เข้ามาในบ่อปลา กุ้ง และสัตว์น้ำ โดยอาหารที่เราป้อนให้ปลา กุ้ง และสัตว์น้ำกินแล้วขับถ่ายออกมา เปลี่ยนเป็นสารประกอบไนโตรเจนต่างๆ แล้วถูกกำจัดออกจากบ่อไปด้วยกระบวนการที่เหมาะสม หากวงจรนี้ดำเนินไปโดยไม่สะดุด ไม่มีการสะสมของสารประกอบไนโตรเจนในขั้นตอนต่างๆ ปลา กุ้ง และสัตว์น้ำก็จะอยู่สุขสงบดี แต่เมื่อไรที่มีสิ่งผิดปกติ เกิดการสะสมในขั้นตอนใดๆ ก็ตาม ปัญหาที่อาจทำให้ปลา กุ้ง และสัตว์น้ำป่วยและตายอาจเกิดขึ้นได้
แอมโมเนียละลายในน้ำและแตกตัวเป็นอิออนของแอมโมเนีย (NH4) อย่างรวดเร็ว แต่ก็สามารถเปลี่ยนกลับไปกลับมาเป็นแอมโมเนียอิสระและอิออนของแอมโมเนียได้จนเข้าสู่สมดุล แต่สมดุลจะเปลี่ยนไปเมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยน ซึ่งสภาพแวดล้อมที่ทำให้เกิดแอมโมเนียอิสระมากขึ้น ได้แก่
- pH สูงขึ้น
- อุณหภูมิสูงขึ้น
- ความเค็มต่ำ (เช่น ในน้ำจืด)
แอมโมเนียอิสระจะมีอันตรายมากกว่าอิออนของแอมโมเนียหลายเท่า เครื่องมือวัดแอมโมเนียส่วนใหญ่จะวัดค่าผลรวมระหว่างแอมโมเนียทั้งสองรูปแบบ ซึ่งเราแยกไม่ออกว่าเป็นแอมโมเนียตัวไหน การคำนวณหาค่าแอมโมเนียอิสระจึงต้องใช้ค่า pH และอุณหภูมิประกอบกันไปด้วย
การวัดปริมาณแอมโมเนีย
ใช้ชุดตรวจวัด โดยน้ำยาทดสอบและเทียบสี
เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ion-specific photometer
พิษของแอมโมเนีย
เมื่อน้ำมีความเป็นกรด-ด่างมากขึ้นคือ ค่า pH สูงขึ้น หรืออุณหภูมิสูงขึ้น แอมโมเนียจะเป็นพิษมากขึ้น โดยเฉพาะในน้ำจืด ทั้งนี้เนื่องจากปริมาณแอมโมเนียอิสระที่มากขึ้นนั่นเอง
ปลาแต่ละชนิดมีความไวต่อพิษของแอมโมเนียแตกต่างกันออกไป ไข่ปลาและตัวอ่อนของปลา กุ้งและสัตว์น้ำมีความไวต่อพิษของแอมโมเนียมากแม้จะมีปริมาณไม่มาก ปริมาณที่ฆ่าปลา กุ้ง และสัตว์น้ำส่วนใหญ่ได้อยู่ที่ 0.2-0.5 มิลลิกรัม ต่อลิตร ถึงปริมาณแอมโมเนียที่ต่ำกว่าอย่างนั้นก็เถอะ ปลา กุ้ง และสัตว์น้ำอาจมีชีวิตอยู่ได้ แต่ก็อยู่ในสภาพความเครียดสูงเและพร้อมจะป่วยเป็นโรคที่มากับเชื้อโรคฉวยโอกาสทั้งหลายได้ ดังนั้น ระดับปริมาณแอมโมเนียที่ปลอดภัยสำหรับปลา กุ้ง และสัตว์น้ำทุกชนิดควรอยู่ที่ 0 มิลลิกรัม ต่อลิตร
ปลา กุ้ง และสัตว์น้ำขนาดเล็กถูกผลกระทบจากแอมโมเนียมากกว่าปลา กุ้ง และสัตว์น้ำใหญ่ และมักจะมีอาการก่อนปลา กุ้ง และสัตว์น้ำใหญ่
การที่ปลา กุ้ง และสัตว์น้ำต้องเจอกับปริมาณแอมโมเนียในปริมาณไม่มาก อาจทำให้แค่เกิดการระคายเคืองของเหงือก และอักเสบเล็กน้อย ในขณะที่การสัมผัสกับแอมโมเนียเป็นระยะเวลานานๆ ทำให้เนื้อเยื่อเหงือกหนาตัวขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของเซลล์เหงือกหรือเซลล์เหงือกบวมขึ้น
อาการที่ปลา กุ้ง และสัตว์น้ำแสดงออก หายใจขัดหรือหายใจผิดจังหวะ จะพบได้ในปลา กุ้ง และสัตว์น้ำที่กำลังเจอแอมโมเนีย และอาจพบการตายอย่างฉับพลัน ถ้ามีปริมาณแอมโมเนียปริมาณสูง
สาเหตุที่ทำให้เกิดพิษจากแอมโมเนีย
มีหลายสาเหตุที่ทำให้ปริมาณแอมโมเนียสะสมมากขึ้นในบ่อปลา กุ้ง และสัตว์น้ำ เช่น
- ระบบกรองที่ยังไม่ทำงานเต็มที่ คือ ยังมีปริมาณจุลินทรีย์ที่จะมาทำหน้าที่ย่อยสลายแอมโมเนียไม่มากพอกับปริมาณแอมโมเนียที่เกิดขึ้นในตู้
- ปล่อยปลา กุ้ง และสัตว์น้ำหนาแน่นเกินไป มีปลา กุ้ง และสัตว์น้ำมากเกินไป หรือปลา กุ้ง และสัตว์น้ำผลิตของเสียเร็วเกินไป หรือขับของเสียมามากเกินไป
- มีการเน่าเสียในตู้ เช่น มีปลา กุ้ง และสัตว์น้ำตายมีต้นไม้ตาย แพลงก์ตอนตาย ให้อาหารมากเกิน ปลา กุ้ง และสัตว์น้ำกินหมด โดยเร็วจนอาหารเน่าเสียในตู้
- การให้อาหารมากเกินไปอย่างไม่สม่ำเสมอ การผลิตแอมโมเนียก็ไม่สม่ำเสมอตามไปด้วย
- มีการทำลายระบบกรองชีวภาพ เช่น มีการใช้ยาปฏิชีวนะ ระบบส่งน้ำขัดข้องหรือมีการขัดขวางทางเดินน้ำที่ไปสู่ระบบกรอง ทำให้ระบบกรองขาดออกซิเจน การบำรุงรักษากรองที่ไม่ถูกต้อง ฯลฯ
ในกรณีของตู้หรือบ่อใหม่ๆ ก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน เนื่องจากระบบบำบัดตามธรรมชาติยังไม่ทำงาน เรียกภาวะนี้ว่า New pond syndrome ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อลงปลา กุ้ง และสัตว์น้ำในบ่อสร้างใหม่แอมโมเนียจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการขับถ่ายของเสียของปลา กุ้ง และสัตว์น้ำ จากนั้นก็จะลดลงและมีปริมาณไนไตรต์สูงขึ้นมาแทน เนื่องจากจุลินทรีย์ที่ย่อยสลายแอมโมเนียจะเพิ่มปริมาณขึ้น เปลี่ยนแอมโมเนียเป็นไนไตรต์ แต่จุลินทรีย์ที่ย่อยสลายไนไตรต์ยังมีไม่มากพอ เมื่อผ่านไปสักระยะหนึ่งจุลินทรีย์ที่ย่อยสลายไนไตร์ตเพิ่มปริมาณมากพอระดับไนไตร์ตจึงลดลง แต่ในระหว่างนั้นถ้าปลา กุ้ง และสัตว์น้ำไม่แข็งแรงก็อาจป่วยได้
การแก้ไข
เมื่อทราบว่าปลา กุ้ง และสัตว์น้ำในบ่อได้รับพิษจากแอมโมเนียเราสามารถแก้ไขได้โดยการเปลี่ยนถ่ายน้ำที่มีแอมโมเนียเข้มข้นออกไปแล้วนำน้ำที่ปลอดภัยกว่าเข้ามาแทน แต่ถ้ายังไม่สามารถเปลี่ยนถ่ายน้ำได้ให้ทำตามวิธีต่อไปนี้ ซึ่งสามารถชะลอพิษของแอมโมเนียลงได้บ้างคือ
- เติมเกลือ อิออนของเกลือจะช่วยลดพิษของแอมโมเนียได้
- ใช้ซีโอไลต์ มีลักษณะเป็นเกล็ดที่มีรูพรุนสามารถดูดซับก๊าซต่างๆ รวมทั้งแอมโมเนียได้ดี
- เพิ่ม pH หรือรักษาน้ำให้อยู่ในระดับเป็นกลางหรือกรดอ่อนๆ จะช่วยลดปริมาณของแอมโมเนียอิสระได้
จากแอมโมเนีย แบคทีเรียกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในน้ำหรือบนพื้นผิวของเครื่องกรองน้ำ จะทำหน้าที่เปลี่ยนแอมโมเนียเป็นไนไตรต์ (NO2) โดยกระบวนการนี้ต้องมีออกซิเจนด้วย ซึ่งไนไตรต์เป็นพิษต่อปลา กุ้ง และสัตว์น้ำมาก
เมื่อไนไตรต์มีมากพอ แบคทีเรียอีกกลุ่มหนึ่งเปลี่ยนไนไตรต์เป็นไนเตรต ซึ่งไนเตรตนี้เองเป็นเหมือนปุ๋ยตัวหนึ่งที่พืชสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ และมีอันตรายน้อยกว่าแอมโมเนียและไนไตรต์
ไนไตรต์
แอมโมเนียถูกออกซิเดชันไปเป็นไนไตรต์ด้วยแบคทีเรียไนโตรโซโมนาส (Nitrosomonas bacteria) และไนโตรคอคคัส (Nitrococcus bacteria) บ่อหรือตู้ปลา กุ้ง และสัตว์น้ำใหม่ๆ มักประสบปัญหามีปริมาณไนโตรต์สูง เนื่องจากการเพิ่มจำนวนช้าและจำนวนแบคทีเรียไนโตรแบคเตอร์ (Nitrobacter) ไม่เพียงพอที่จะเปลี่ยนไนไตร์ตเป็นไนเตรต ปริมาณแอมโมเนียสูงๆ ยังขัดขวางการเจริญเติบโตของไนโตรแบคเตอร์ด้วย
การตรวจวัด
ใช้ชุดตรวจวัดโดยน้ำยาทดสอบและเทียบสี
เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ion-specific photometer
ความเป็นพิษ
ไนโตรต์เป็นพิษน้อยกว่าแอมโมเนีย ปริมาณที่ทำให้เกิดการตายอยู่ที่ 10 ถึง 20 มิลลิกรัม ต่อลิตร
ไนไตร์ตจะถูกดูดซึมเข้าไปทางเหงือกของปลา กุ้ง และสัตว์น้ำ ซึ่งกระบวนการนี้ถูกยับยั้งได้ด้วยอิออนของคลอไรด์ในเกลือแกง ไนไตร์ตเป็นพิษน้อยลงเมื่ออยู่ในน้ำเค็มหรือน้ำกระด้าง
ไนไตรต์จะออกซิไดซ์ฮีโมโกลบินในเลือดปลาให้กลายเป็นเมททีโมโกลบิน (Methaemoglobin) ซึ่งไม่สามารถขนส่งออกซิเจนไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปริมาณไนไตร์ตควรอยู่ต่ำกว่า 0.1 มิลลิกรัม ต่อลิตร แต่ปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการเลี้ยงปลา กุ้ง และสัตว์น้ำ ก็คือ 0 มิลลิกรัม ต่อลิตร
ไนเตรต
ไนไตรต์ถูกออกซิไดซ์ไปเป็นไนไตรตด้วยแบคทีเรียไนโตรแบคเตอร์ (Nitrobacter bacteria) และจุลินทรีย์อื่นๆ
ในกรณีที่ไม่มีการเปลี่ยนถ่ายน้ำอย่างสม่ำเสมอ ไนเตรตจะสะสมอยู่ในน้ำในตู้หรือบ่อปลา กุ้ง และสัตว์น้ำ แล้วไนเตรตอาจมาจากน้ำประปาหรือน้ำที่ชะล้างปุ๋ยโดยน้ำฝนจากพื้นดินที่ทำการเกษตรรอบๆ มาสู่บ่อได้
การตรวจวัด
ใช้ชุดตรวจวัด โดยน้ำยาทดสอบและเทียบสี
เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ion-specific photometer
ความเป็นพิษ
ไนเตรตเป็นพิษน้อยกว่าแอมโมเนียและไนไตรต์ แต่ปริมาณ 50-300 มิลลกรัม ต่อลิตร อาจทำให้ปลา กุ้ง และสัตว์น้ำบางตัวตายได้
ไนเตรตเป็นพิษมากขึ้นเมื่ออยู่ในน้ำเค็มที่ pH ต่ำ (เป็นกรด)
ปริมาณไนเตรตสูงๆ จะทำให้แพลงก์ตอน ตะไคร่ และสาหร่ายเจริญเติบโตมาก
ไนเตรตจะถูกกำจัดออกจากน้ำได้ง่าย โดยการดูดซึมของพืช (ปลา กุ้ง และสัตว์น้ำก็มักกินพืชเหล่านั้นเป็นอาหาร ทำให้ครบวงจรไนโตรเจน) หรือมีการแปรสภาพเป็นก๊าซไนโตรเจนโดยแบคทีเรีย Denitrification หรือมีการถ่ายน้ำออกจากตู้หรือบ่อปลา กุ้ง และสัตว์น้ำ หรือมีการดึงเอาพืชน้ำออกไป ก็เป็นการกำจัดสารประกอบไนโตรเจนที่เป็นพิษออกจากน้ำแล้ว
การป้องกัน
ถ้าดูวงจรของสารประกอบไนโตรเจนทั้งหมดในระบบเลี้ยงปลา กุ้ง และสัตว์น้ำแล้ว เริ่มจากอาหารที่เราป้อนให้ปลา กุ้ง และสัตว์น้ำกินแล้วขับถ่ายออกมา เปลี่ยนเป็นสารประกอบไนโตรเจนต่างๆ แล้วถูกำจัดออกจากบ่อไปด้วยกระบวนการที่เหมาะสม หากวงจรนี้ดำเนินไปโดยไม่สะดุด ไม่มีการสะสมของสารประกอบไนโตรเจนในขั้นตอนต่างๆ ตู้หรือบ่อปลา กุ้งและสัตว์น้ำก็จะอยู่สุขสงบดี แต่เมื่อไรที่มีสิ่งผิดปกติ เกิดการสะสมในขั้นตอนใดๆ ก็ตาม ปัญหาที่อาจทำให้ปลา กุ้งและสัตว์น้ำป่วยและตายอาจเกิดขึ้นได้
ในช่วงที่ระบบบำบัดของเสียยังทำงานไม่เต็มที่และทำให้เกิดอาการผิดปกติของปลา กุ้ง และสัตว์น้ำ เราเรียกภาวะนี้ว่า กลุ่มอาการบ่อใหม่เป็นพิษ New pond syndrome ซึ่งเป็นผลมาจากคุณภาพน้ำที่แย่ลง แล้วยังทำให้โอกาสเกิดโรคอื่นตามมาได้อีก
ทางหลีกเลี่ยงปัญหานี้คือ ค่อยๆ เพิ่มปริมาณปลา กุ้ง และสัตว์น้ำลงเลี้ยงทีละน้อย อย่าลงปลา กุ้ง และสัตว์น้ำหนาแน่นเต็มความสามารถของบ่อในช่วงที่ยังเป็น "บ่อใหม่" อยู่
ปฏิกิริยาไนตริฟิเคชัน (Nitrification) เป็นกระบวนการเปลี่ยนแอมโมเนียเป็นไนไตรต์ (NO2) และไนไตร์ตเป็นไนเตรต โดยแบคทีเรียไนตริฟายเออร์ (Nitrifier)
ปฏิกิริยาไนตริฟิเคชันสามารถเกิดได้ดีในสภาวะที่มีออกซิเจนและแอมโมเนีย เช่น ผิวบนของชั้นตะกอนที่มีออกซิเจน ทำให้บริเวณดังกล่าวมีการลดลงของแอมโมเนียและมีการสะสมตัวของไนเตรต
ชนิดของแบคทีเรียไนตริฟายเออร์ ได้แก่ Bacillus subtilis Nitrosomonas sp. Nitrococcus sp., Nitrobacter sp. ซึ่งแบคทีเรียเหล่านี้ต้องใช้ออกซิเจนในการย่อยสลายของเสียและอินทรียวัตถุในบ่อเลี้ยงทั้งสิ้น ฉะนั้นการควบคุมแอมโมเนีย (NH3) ไนไตรต์ (NO2) ไนเตรต (NO3) ในบ่อเลี้ยงปลา กุ้ง และสัตว์น้ำจำเป็นต้องรักษาระดับค่าออกซิเจนละลายน้ำ (Dissolved oxygen : DO) ให้เหมาะสมและอยู่ในสภาวะสมดุลเสมอ
โดยหลักการนี้จึงสามารถควบคุมสิ่งแวดล้อมในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำได้ด้วยการเพิ่มประชากรของจุลินทรีย์ในน้ำ เช่น เติมแบคทีเรียในกลุ่มไนตริฟายเออร์ลงไปในบ่อ ก็จะช่วยเพิ่มกิจกรรมการย่อยสลายของเสียและอินทรียวัตถุในน้ำได้ แต่ทั้งนี้ต้องมีออกซิเจนและคาร์บอนเพียงพอด้วย
น.สพ.ธวัชชัย สันติกุล
หนังสือพิมพ์เทคโนโลยีชาวบ้าน
แสดงความคิดเห็น
ปลาคาร์ฟในบ่อตายหมด สาเหตุจากอะไรได้บ้างครับ
ที่รอดก็มี ปลาแรดเผือก ปลาออสการ์ ปลาหางนกยูง ปลาเทพา ปลาดุก เต่าหับ เต่าดำ เต่าญี่ปุ่น
น้ำในบ่อค่อนข้างเขียว แต่คิดว่า ยังไม่เน่า ตอนนี้ลองเปลี่ยนน้ำใหม่ ตักเศษใบไม้ออกให้มากที่สุด
ถ้าสาเหตุจากน้ำเน่า ทำไมมันเลือกตายบางชนิดของปลา หรือว่า มันเป็นโรคอะไรหรือเปล่าครับ