เช้าวันรุ่งขึ้น เธอตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่นแจ่มใส สติต่างๆกลับมาเป็นปกติ ทักทายพูดคุยได้อย่างธรรมชาติ อาการแปลกๆหายไปหมด ผมทั้งดีใจและแปลกใจ น้ำมนต์จากสมเด็จโตที่ผมทำเองดีขนาดนี้เลยหรือนี่ ญาติทุกคนต่างก็ดีใจถ้วนหน้ากัน ต่างก็คิดว่า ยาขนานนี้ได้ผลชัดเจนทันใจ
ด้วยความดีใจและโล่งใจ ทำให้ผมนึกถึงหลวงพ่อไก่ (เจ้าอาวาสวัดทุ่งกระบ่ำ จ.กาญจนบุรี) และโทรไปเล่าอาการที่ผ่านมาให้ท่านฟังเพื่อขอคำแนะนำที่เหมาะสมกับเหตุการณ์นี้ เรารู้ว่าท่านไม่ธรรมดา ท่านรู้และเห็นในสิ่งที่วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ถึง
************* ผมขอเล่าเรื่องราวที่ได้พบกับท่านอย่างคร่าวๆนะครับ เมื่อประมาณกลางปี 2557 พระที่มาบิณฑบาตรในหมู่บ้านได้บอกบุญว่า วัดโคกกระบ่ำ จ.กาญจนบุรี ยังขาดหลอดไฟร้อยกว่าดวง ด้วยความดีใจที่หาโอกาสถวายหลอดไฟเพื่อต่ออายุตามคำแนะนำของหลวงพี่อ้วนมาตลอดเกือบสองปี ผมก็เลยขอรับ 108ดวงและบอกบุญไปยังญาติๆ จนได้ครบ เมื่อรวบรวมครบผมก็ขับรถพาเธอไปถวายกับท่านโดยไม่เคยรู้จัก พูดคุยเรื่องใดๆกันมาก่อน
ผมตกลงกับภรรยาว่าต่างคนต่างถามท่านนะว่ามีปัญหาอะไร ติดขัดตรงไหน ทันทีที่ได้พบ ท่านก็เอ่ยว่า พวกโยมไม่ต้องพูดอะไรนะ เดี๋ยวจะคุยให้ฟัง สิ่งที่สงสัยอยู่ในใจโยมก็จะได้หายสงสัย แล้วท่านก็คุยยาวไปเรื่อย ซึ่งน่าแปลกที่ตรงกับสิ่งที่เราติดขัดพอดี ท้ายสุดท่านก็บอกกับภรรยาผมว่าให้เลิกเก่งได้แล้ว ตอนนี้สุขภาพไม่เต็มร้อยนะ เหลือแค่50%เท่านั้น ยาที่ได้ไปไม่ได้ประโยชน์อะไร ช่วยอะไรไม่ได้หรอก ต้องปฏิบัติกรรมฐานเข้าไว้ แล้วยกตัวอย่าง ผู้หญิง อายุ 50เศษ เป็นมะเร็งระยะ 3 ดื้อยาเคโมแล้ว(ตรงกับของเธอทุกอย่าง ทั้งที่เราไม่ได้บอกท่านเลยว่าป่วย หรือเป็นโรคอะไร สรุปว่า ท่านรู้โดยเราไม่ต้องบอก)หมอบอกว่าอยู่ได้ไม่เกินครึ่งปี อย่างมาก 8เดือน แต่มาปฏิบัติกรรมฐาน ตอนนี้ก็ยังอยู่ อยู่มาเกือบจะ 2 ปีแล้ว ทั้งๆที่หมอบอกไม่เกิน 1ปี สำหรับภรรยาผมท่านบอกว่า ให้ใช้หนี้เจ้ากรรมนายเวรให้หมดก็จะหาย และถ้าปฏิบัติจนตัดนิวรณ์ได้ก็จะหายเช่นกัน ตอนนี้เลิกเก่งได้แล้ว ที่เก่งมาตลอดชีวิตนั้นพอแล้ว เลิกเป็น ผบทบ.ซะที (ตรงเด๊ะเลย...สาธุ ...ผมกราบท่านทันทีเลย)
เราถามท่านถึงอริยะสงฆ์และพระอรหันต์ว่าอยู่ที่ไหน เราอยากไปทำบุญด้วย ท่านก็ตอบว่า ให้ฝึกไปเรื่อยๆถึงเวลาอาจารย์มาเอง ไม่ว่าจะรบเร้า เซ้าซี้อย่างไร ท่านก็ย้ำว่า ที่ฝึกมาก็ถือว่าดีแล้วให้รีบปฏิบัติ ถึงเวลาอาจารย์มาเอง ********
ผมตัดสินใจโทร.หาท่านหลวงพ่อไก่ ทั้งที่ไม่ได้ติดต่อไปเลยหลังการถวายหลอดไฟเมื่อครึ่งปีก่อน ไม่แน่ใจว่าท่านจะจำเราได้หรือไม่ แต่พอท้าวความท่านก็บอกว่าจำได้ ผมเลยเล่าอาการของเธอให้ฟังโดยตลอด (แต่ยกเว้นเรื่อง Guide Imagery Suggestion) ท่านบอกว่าภรรยาผมหมดอายุแล้ว ผมแย้งว่าตอนนี้อาการเธอดูดีขึ้น รู้ตัวและไม่เจ็บปวดด้วย ท่านบอกว่า ที่จริงเธอไม่น่าที่จะอยู่มาจนพบกับท่านได้เมื่อครึ่งปีก่อน ควรจะจบไปก่อนหน้านั้นแล้ว ท่านเองพอเห็นก็ยังแปลกใจว่ารอดมาได้อย่างไร คงเป็นเพราะผลบุญที่ทำไว้ช่วยยืดเวลาให้ แต่ตอนนี้หมดแล้วจริงๆ ที่เธอเห็นสมเด็จโตถือเป็นนิมิตที่ดี แสดงว่า เวลานี้ครูบาอาจารย์มาโปรด (ผมเพิ่งเข้าใจที่ท่านย้ำนักย้ำหนาว่า ให้เร่งปฏิบัติ ถึงเวลาอาจารย์มาเอง) และช่วยคุ้มครอง เจรจากับเจ้ากรรมนายเวรให้ ที่ไม่เจ็บปวดนั้นเป็นเพราะเจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้แล้ว และครูบาอาจารย์คุ้มครองรักษาอยู่ ทุกขเวทนานั้นจึงหายไป ขอให้โยมทำใจเถอะ เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดาทุกคนต้องเจอหลีกเลี่ยงไม่ได้ โยมผู้หญิงถึงเวลาแล้วจริงๆ อย่าต่อรองอะไรเลย
ผมเรียนท่านว่าผมเข้าใจแต่ก็ทำใจไม่ได้ ท่านก็ขยายความต่อว่า โยมผู้หญิงมีสภาวะธรรมก้าวหน้า ตอนที่เจอกันเมื่ครึ่งปีที่แล้ว สมาธิของเธออยู่ในระดับอุปจารสมาธิ แต่ตอนนี้เป็นอัปปนาสมาธิที่เกือบๆถึงฌาน น้อยคนที่จะได้ขนาดนี้ โยมควรจะอนุโมทนาและเป็นสารถีที่ดีช่วยส่งเสริมให้เธอถึงที่หมายไม่ควรไปเหนี่ยวรั้งเอาไว้ ปล่อยให้เธอไปเถอะ อย่าต่อรองเลย ตัวโยมเองก็ควรเร่งปฏิบัติให้ได้ดีกว่านี้จะดีกว่า
ไม่ว่าท่านจะเกลี้ยกล่อมอย่างไรผมก็ยืนยันแต่ว่าผมเข้าใจ แต่ทำใจไม่ได้ สุดท้ายผมก็เลยขอท่านตรงๆว่า ขอให้ท่านช่วยเธอด้วย ช่วยอะไรก็ได้ แต่ถ้าท่านเห็นว่าไม่สมควรที่จะช่วยหรือช่วยไม่ได้จริงๆ ผมก็ยังกราบขอบพระคุณท่านอยู่ดี เพราะเชื่อว่า ท่านได้กรุณาในสิ่งที่ถูกต้องอย่างที่สุดแล้ว ท่านจึงรับปากว่าจะช่วยเท่าที่ช่วยได้แล้วกัน ให้บอก ชื่อ นามสกุล วันเดือนปีเกิด และอายุ แล้วท่านจะสวดมนต์ให้ ผมก็กราบขอบพระคุณและส่งทาง sms ปรากฎว่า ส่งไม่ไป กี่ครั้งๆก็ติดขัด จึงต้องให้น้องชายเธอช่วยส่งอีกคนหนึ่ง เกือบครึ่งชม.ถึงจะสำเร็จ (เดี๋ยวนี้บาปบุญและเจ้ากรรมนายเวร ก็ใช้ระบบออนไลน์แถมป่วนระบบได้ด้วย)
ถึงแม้หลวงพ่อไก่จะบอกว่า แฟนผมถึงวาระแล้ว แต่เนื่องจากวันนี้อาการเธอดีมากตลอดทั้งวัน ผมก็คิดว่าอย่างแย่ๆก็คงอาการค่อยๆทรุดลงไปเรื่อยๆ ซึ่งคงมีวิธีการแก้ไขเป็นเปลาะๆไปทีละเหตุการณ์ วันนี้ก็เลยค่อนข้างผ่อนคลาย ทุกคนพูดคุยกันอย่างสบายใจ จนทุ่มเศษๆก็กลับกันหมด เหลือผมกับเธอ ระหว่างนั้นผมก็พูดคุยเล่าเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมาว่าเธอมีอาการอย่างไร พวกเรามีการปรึกษาวางงาน ทำอะไรไปบ้าง เธอก็พูดจาเป็นปกติ มีแค่อ่อนเพลียเล็กน้อยต้องให้ออกซิเจน 2 ลิตร/นาที ค่าออกซิเจนในเลือดอยู่ที่ 96-98% แต่เมื่อผมคุยไปเรื่อยๆได้พักใหญ่ๆ เธอก็เริ่มหอบ หน้าเริ่มซีดเขียว หมดแรงล้มตัวลงนอน ผมรีบตามพยาบาล เมื่อวัดปลายนิ้วได้ค่าออกซิเจน 72-74% ผมรู้ว่าเธอมีภาวะการหายใจล้มเหลวเนื่องจากน้ำในช่องปอดมากเกินขนาดวิธีเดียวที่จะช่วยได้คือเจาะระบายน้ำออก แต่ อจ.ธีร์ก็บอกแล้วว่า ทำไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ (พี่ว่าน้องทำใจปล่อยเธอไปเถอะ อย่าให้เธอทรมานโดยไม่มีประโยชน์ อย่ายื้อไว้เลย ปล่อยเธอไปเถอะ) แล้วผมจะทำยังไงดี นึกไม่ถึงเลยว่าเวลาที่หลวงพ่อบอกจะเป็นวันนี้ ในขณะที่ผมกับพยาบาลกำลังสับสนละล้าละลัง (ไปไม่เป็น)
ภรรยาผมก็กัดฟันพูดขาดๆหายๆว่า "ไป.. ตาม...หมอ..มา"
ผมถามว่า "ตามมาทำไม?...(ดูมันถามสิ เป็นหมอจริงละเปล่าวะ มันน่า....นัก)
"ทำ..อะไร..ก็ได้..ตามหมอมา"
(เป็นอุทาหรณ์ว่า ถ้าหมอที่อยู่ดูแลคุณ หมดปัญญาที่จะทำอะไรแล้วละก็.... เปลี่ยนหมอด่วน...จำไว้นะ)
แพทย์เวรมาตรวจอาการแล้วบอกว่า มีน้ำในช่องปอดจำนวนมาก ต้องย้ายไป ICU และเจาะปอดด่วน ผมตกลงบอกให้ย้ายทันที อย่าลืมถังออกซิเจนด้วย เมื่อเปลเข็นมารับพอจะต่อออกซิเจน ขั้วต่อหักต้องวิ่งไปเอาขั้วต่อใหม่มาเปลี่ยนเสียเวลาไปอีก ผมยืนกระวนกระวายอยากจะด่าว่าทำไมชุ่ยอย่างนี้ ไม่ตรวจสภาพเลยเรอะแต่ก็กัดฟันกลั้นไว้ ตอนนี้ด่าไปก็ไม่มีประโยชน์ เดี๋ยวรวบยอดดีกว่า
เมื่อไปถึง ICU แพทย์เวร(คนละคนแล้ว)บอกว่าจะขอเจาะระบายน้ำ
ผมถามว่า"เคยเจาะปอดใช่มั้ย ใช้เครื่องอัลตร้าซาวด์ช่วยดูหรือเปล่า เคยทำหรือเปล่า ?"
แพทย์เวร (เด็กๆดูท่าคล้ายจะเพิ่งจบ ) ตอบว่า "เดี๋ยวนี้เขาใช้อัลตร้าซาวด์ทั้งนั้น หมอทุกคนต้องผ่านงานตรงนี้ก่อนจบ"
ผมบอกว่า"ทำไปเลย" (โทดที รุ่นพี่ไม่มีเครื่องแบบนี้ใช้ ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้มันไฮเทค ตกรุ่นไปนาน....ผมคิดในใจ)
สักครู่คุณหมอเดินทำหน้ายุ่งๆออกมาบอก"อาจารย์ครับ มีปัญหาคือ บริเวณที่จะเจาะมีน้อยมาก มีพื้นที่ราวๆเหรียญห้า (ทำมือให้ดู) ซึ่งถ้าเจาะเข้าไปอาจจะโดนตับ หรือสูงอีกนิดก็จะโดนปอด ถ้าโดนละก็เลือดจะออกมาก ไม่มีทางห้ามเลือดได้เลย ผู้ป่วยจะเสียชีวิตแน่ๆครับ จะอนุญาตให้เจาะมั้ยครับ?"
"ทำไปเลยครับ" (เจาะอาจจะตาย แต่ไม่เจาะตายแน่ๆ ไม่ต้องคิดมากเลย......)
"เสี่ยงที่จะโดน ตับกับปอดนะครับ"
"ถ้าเจาะตรงๆแล้วเสี่ยง น้องลองเบนเข็มเจาะเฉียงๆหลีกเลี่ยงตับกับปอดดูสิ น่าจะลดความเสี่ยงลงได้นะ"
"เอ่อ..จะเฉียงจากนอกเข้าในหรือครับ ?" คุณหมอน่าจะงงๆกับความคิดของผม คงเป็นช่องว่างระหว่างวัย..เอ๊ย..ระหว่างรุ่นน่ะ แค่ 20กว่าปีเอง
"จากในเฉียงออกนอกครับ" (เจาะเฉียงเข้าก็โดนตับไม่ก็ปอดสิ แค่นี้ก็งงไปได้ พอกันกับผมเลย)
"อ้อ..ครับ อาจารย์ลองเข้าไปดูอัลตร้าซาวด์มั้ยครับ เวลาคนไข้หายใจ ปอดจะขยับและสั่นพริ้วๆเลย"... (สงสัยจะหาตัวช่วย)
"ไม่ครับ หมอทำไปเลยระวังมากๆหน่อย ทำให้ดีที่สุดแล้วกัน อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดครับ แล้วแต่บุญของเธอ"..(แค่นี้ผมก็เข่าอ่อนใจสั่นจะทรุดอยู่แล้ว ถ้าเข้าไปดูมีหวังสลบแน่ๆ )
แล้วผมก็เดินโซเซกลับห้อง แล้วโทรหานายสาที่เพิ่งพาแม่กลับไปไม่นาน เห็นคุณแม่บอกว่าพรุ่งนี้จะกลับไปทำธุระที่ตจว.
"สา พรุ่งนี้เช้าพาแม่มาพบเจ๊เค้านะ ยังไม่ต้องกลับตจว.หรอก"
"ทำไมเหรอพี่รงค์"
"ไม่มีอะไรหรอก อยากให้แม่มาคุยอะไรหน่อย"
"เสียงพี่รงค์ฟังดูแปลกๆไปนะ เกิดอะไรขึ้นเหรอ"
เท่านั้นเอง ผมหมดความอดทนเล่าทุกอย่างให้สาฟังจนหมด เขาก็เลยบอกว่าเดี๋ยวจะมารพ. ผมก็บอกว่าไม่จำเป็นหรอก มาก็ช่วยอะไรไม่ได้ แต่จะมาก็ตามใจ จะบอกใครบ้างก็ตามใจ...
หลังจากนอนหมดแรงอยู่พักหนึ่ง ผมก็หันไปเห็นชุดไตรจีวรที่เตรียมไว้ ในช่วงที่เธอรู้ว่าเป็นโรคร้าย ผมบอกกับเธอว่า ถ้าเธอจากไปผมจะบวชไม่สึก ถ้าหายก็จะบวช 1 พรรษา ตอนที่เธอเข้ารพ.และอยู่ในภาวะเลื่อนลอยนั้นผมได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินทั้งหมดให้ญาติแล้ว และ ผมได้เตรียมไตรจีวรมาให้เธออธิษฐานโดยบอกว่า ผมเชื่อว่าในจิตระดับนี้และมีพุทธคุณและสมเด็จโตคุ้มครอง ผมเชื่อว่าเธอเลือกได้ว่าจะไปหรืออยู่ เธอบอกว่าจะกลับมาสร้างบุญต่อ ผมก็อนุโมทนา แต่ตอนนี้ที่อาการเธอเลวร้ายลง อาจเป็นเพราะเธอหมดบุญจริงๆ สิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงช่วยไม่ได้ เบื้องบนคงมีเหตุผลที่จะนำเธอไป คิดแล้วผมก็เลยอุ้มไตรจีวรกลับไปที่ ICU เพื่อให้เธอได้เห็น(หรืออาจจะไม่เห็น)และรับรู้ว่า ผมเตรียมทำตามสัญญาแน่นอน
เมื่อถึงICU ผมเห็นห้องของเธอปิดม่านอยู่ พยาบาลบอกว่า "คุณหมอกำลังเจาะปอดอยู่ค่ะ"
"แล้วเป็นไงบ้างครับ" ผมถามลอยๆแบบไม่หวังอะไรมากนัก เพราะระดับ อจ.ธีร์บอกแล้วว่า เจาะไปก็ไม่ช่วยอะไร แต่เมื่อถามออกไปแล้ว ก็กลั้นใจฟังคำตอบจากคุณพยาบาล
ภรรยาผมเป็นมะเร็ง หลวงพ่อบอกว่าเธอหมดอายุแล้วปล่อยเธอไปเถอะ
ด้วยความดีใจและโล่งใจ ทำให้ผมนึกถึงหลวงพ่อไก่ (เจ้าอาวาสวัดทุ่งกระบ่ำ จ.กาญจนบุรี) และโทรไปเล่าอาการที่ผ่านมาให้ท่านฟังเพื่อขอคำแนะนำที่เหมาะสมกับเหตุการณ์นี้ เรารู้ว่าท่านไม่ธรรมดา ท่านรู้และเห็นในสิ่งที่วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ถึง
************* ผมขอเล่าเรื่องราวที่ได้พบกับท่านอย่างคร่าวๆนะครับ เมื่อประมาณกลางปี 2557 พระที่มาบิณฑบาตรในหมู่บ้านได้บอกบุญว่า วัดโคกกระบ่ำ จ.กาญจนบุรี ยังขาดหลอดไฟร้อยกว่าดวง ด้วยความดีใจที่หาโอกาสถวายหลอดไฟเพื่อต่ออายุตามคำแนะนำของหลวงพี่อ้วนมาตลอดเกือบสองปี ผมก็เลยขอรับ 108ดวงและบอกบุญไปยังญาติๆ จนได้ครบ เมื่อรวบรวมครบผมก็ขับรถพาเธอไปถวายกับท่านโดยไม่เคยรู้จัก พูดคุยเรื่องใดๆกันมาก่อน
ผมตกลงกับภรรยาว่าต่างคนต่างถามท่านนะว่ามีปัญหาอะไร ติดขัดตรงไหน ทันทีที่ได้พบ ท่านก็เอ่ยว่า พวกโยมไม่ต้องพูดอะไรนะ เดี๋ยวจะคุยให้ฟัง สิ่งที่สงสัยอยู่ในใจโยมก็จะได้หายสงสัย แล้วท่านก็คุยยาวไปเรื่อย ซึ่งน่าแปลกที่ตรงกับสิ่งที่เราติดขัดพอดี ท้ายสุดท่านก็บอกกับภรรยาผมว่าให้เลิกเก่งได้แล้ว ตอนนี้สุขภาพไม่เต็มร้อยนะ เหลือแค่50%เท่านั้น ยาที่ได้ไปไม่ได้ประโยชน์อะไร ช่วยอะไรไม่ได้หรอก ต้องปฏิบัติกรรมฐานเข้าไว้ แล้วยกตัวอย่าง ผู้หญิง อายุ 50เศษ เป็นมะเร็งระยะ 3 ดื้อยาเคโมแล้ว(ตรงกับของเธอทุกอย่าง ทั้งที่เราไม่ได้บอกท่านเลยว่าป่วย หรือเป็นโรคอะไร สรุปว่า ท่านรู้โดยเราไม่ต้องบอก)หมอบอกว่าอยู่ได้ไม่เกินครึ่งปี อย่างมาก 8เดือน แต่มาปฏิบัติกรรมฐาน ตอนนี้ก็ยังอยู่ อยู่มาเกือบจะ 2 ปีแล้ว ทั้งๆที่หมอบอกไม่เกิน 1ปี สำหรับภรรยาผมท่านบอกว่า ให้ใช้หนี้เจ้ากรรมนายเวรให้หมดก็จะหาย และถ้าปฏิบัติจนตัดนิวรณ์ได้ก็จะหายเช่นกัน ตอนนี้เลิกเก่งได้แล้ว ที่เก่งมาตลอดชีวิตนั้นพอแล้ว เลิกเป็น ผบทบ.ซะที (ตรงเด๊ะเลย...สาธุ ...ผมกราบท่านทันทีเลย)
เราถามท่านถึงอริยะสงฆ์และพระอรหันต์ว่าอยู่ที่ไหน เราอยากไปทำบุญด้วย ท่านก็ตอบว่า ให้ฝึกไปเรื่อยๆถึงเวลาอาจารย์มาเอง ไม่ว่าจะรบเร้า เซ้าซี้อย่างไร ท่านก็ย้ำว่า ที่ฝึกมาก็ถือว่าดีแล้วให้รีบปฏิบัติ ถึงเวลาอาจารย์มาเอง ********
ผมตัดสินใจโทร.หาท่านหลวงพ่อไก่ ทั้งที่ไม่ได้ติดต่อไปเลยหลังการถวายหลอดไฟเมื่อครึ่งปีก่อน ไม่แน่ใจว่าท่านจะจำเราได้หรือไม่ แต่พอท้าวความท่านก็บอกว่าจำได้ ผมเลยเล่าอาการของเธอให้ฟังโดยตลอด (แต่ยกเว้นเรื่อง Guide Imagery Suggestion) ท่านบอกว่าภรรยาผมหมดอายุแล้ว ผมแย้งว่าตอนนี้อาการเธอดูดีขึ้น รู้ตัวและไม่เจ็บปวดด้วย ท่านบอกว่า ที่จริงเธอไม่น่าที่จะอยู่มาจนพบกับท่านได้เมื่อครึ่งปีก่อน ควรจะจบไปก่อนหน้านั้นแล้ว ท่านเองพอเห็นก็ยังแปลกใจว่ารอดมาได้อย่างไร คงเป็นเพราะผลบุญที่ทำไว้ช่วยยืดเวลาให้ แต่ตอนนี้หมดแล้วจริงๆ ที่เธอเห็นสมเด็จโตถือเป็นนิมิตที่ดี แสดงว่า เวลานี้ครูบาอาจารย์มาโปรด (ผมเพิ่งเข้าใจที่ท่านย้ำนักย้ำหนาว่า ให้เร่งปฏิบัติ ถึงเวลาอาจารย์มาเอง) และช่วยคุ้มครอง เจรจากับเจ้ากรรมนายเวรให้ ที่ไม่เจ็บปวดนั้นเป็นเพราะเจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้แล้ว และครูบาอาจารย์คุ้มครองรักษาอยู่ ทุกขเวทนานั้นจึงหายไป ขอให้โยมทำใจเถอะ เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดาทุกคนต้องเจอหลีกเลี่ยงไม่ได้ โยมผู้หญิงถึงเวลาแล้วจริงๆ อย่าต่อรองอะไรเลย
ผมเรียนท่านว่าผมเข้าใจแต่ก็ทำใจไม่ได้ ท่านก็ขยายความต่อว่า โยมผู้หญิงมีสภาวะธรรมก้าวหน้า ตอนที่เจอกันเมื่ครึ่งปีที่แล้ว สมาธิของเธออยู่ในระดับอุปจารสมาธิ แต่ตอนนี้เป็นอัปปนาสมาธิที่เกือบๆถึงฌาน น้อยคนที่จะได้ขนาดนี้ โยมควรจะอนุโมทนาและเป็นสารถีที่ดีช่วยส่งเสริมให้เธอถึงที่หมายไม่ควรไปเหนี่ยวรั้งเอาไว้ ปล่อยให้เธอไปเถอะ อย่าต่อรองเลย ตัวโยมเองก็ควรเร่งปฏิบัติให้ได้ดีกว่านี้จะดีกว่า
ไม่ว่าท่านจะเกลี้ยกล่อมอย่างไรผมก็ยืนยันแต่ว่าผมเข้าใจ แต่ทำใจไม่ได้ สุดท้ายผมก็เลยขอท่านตรงๆว่า ขอให้ท่านช่วยเธอด้วย ช่วยอะไรก็ได้ แต่ถ้าท่านเห็นว่าไม่สมควรที่จะช่วยหรือช่วยไม่ได้จริงๆ ผมก็ยังกราบขอบพระคุณท่านอยู่ดี เพราะเชื่อว่า ท่านได้กรุณาในสิ่งที่ถูกต้องอย่างที่สุดแล้ว ท่านจึงรับปากว่าจะช่วยเท่าที่ช่วยได้แล้วกัน ให้บอก ชื่อ นามสกุล วันเดือนปีเกิด และอายุ แล้วท่านจะสวดมนต์ให้ ผมก็กราบขอบพระคุณและส่งทาง sms ปรากฎว่า ส่งไม่ไป กี่ครั้งๆก็ติดขัด จึงต้องให้น้องชายเธอช่วยส่งอีกคนหนึ่ง เกือบครึ่งชม.ถึงจะสำเร็จ (เดี๋ยวนี้บาปบุญและเจ้ากรรมนายเวร ก็ใช้ระบบออนไลน์แถมป่วนระบบได้ด้วย)
ถึงแม้หลวงพ่อไก่จะบอกว่า แฟนผมถึงวาระแล้ว แต่เนื่องจากวันนี้อาการเธอดีมากตลอดทั้งวัน ผมก็คิดว่าอย่างแย่ๆก็คงอาการค่อยๆทรุดลงไปเรื่อยๆ ซึ่งคงมีวิธีการแก้ไขเป็นเปลาะๆไปทีละเหตุการณ์ วันนี้ก็เลยค่อนข้างผ่อนคลาย ทุกคนพูดคุยกันอย่างสบายใจ จนทุ่มเศษๆก็กลับกันหมด เหลือผมกับเธอ ระหว่างนั้นผมก็พูดคุยเล่าเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมาว่าเธอมีอาการอย่างไร พวกเรามีการปรึกษาวางงาน ทำอะไรไปบ้าง เธอก็พูดจาเป็นปกติ มีแค่อ่อนเพลียเล็กน้อยต้องให้ออกซิเจน 2 ลิตร/นาที ค่าออกซิเจนในเลือดอยู่ที่ 96-98% แต่เมื่อผมคุยไปเรื่อยๆได้พักใหญ่ๆ เธอก็เริ่มหอบ หน้าเริ่มซีดเขียว หมดแรงล้มตัวลงนอน ผมรีบตามพยาบาล เมื่อวัดปลายนิ้วได้ค่าออกซิเจน 72-74% ผมรู้ว่าเธอมีภาวะการหายใจล้มเหลวเนื่องจากน้ำในช่องปอดมากเกินขนาดวิธีเดียวที่จะช่วยได้คือเจาะระบายน้ำออก แต่ อจ.ธีร์ก็บอกแล้วว่า ทำไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ (พี่ว่าน้องทำใจปล่อยเธอไปเถอะ อย่าให้เธอทรมานโดยไม่มีประโยชน์ อย่ายื้อไว้เลย ปล่อยเธอไปเถอะ) แล้วผมจะทำยังไงดี นึกไม่ถึงเลยว่าเวลาที่หลวงพ่อบอกจะเป็นวันนี้ ในขณะที่ผมกับพยาบาลกำลังสับสนละล้าละลัง (ไปไม่เป็น)
ภรรยาผมก็กัดฟันพูดขาดๆหายๆว่า "ไป.. ตาม...หมอ..มา"
ผมถามว่า "ตามมาทำไม?...(ดูมันถามสิ เป็นหมอจริงละเปล่าวะ มันน่า....นัก)
"ทำ..อะไร..ก็ได้..ตามหมอมา"
(เป็นอุทาหรณ์ว่า ถ้าหมอที่อยู่ดูแลคุณ หมดปัญญาที่จะทำอะไรแล้วละก็.... เปลี่ยนหมอด่วน...จำไว้นะ)
แพทย์เวรมาตรวจอาการแล้วบอกว่า มีน้ำในช่องปอดจำนวนมาก ต้องย้ายไป ICU และเจาะปอดด่วน ผมตกลงบอกให้ย้ายทันที อย่าลืมถังออกซิเจนด้วย เมื่อเปลเข็นมารับพอจะต่อออกซิเจน ขั้วต่อหักต้องวิ่งไปเอาขั้วต่อใหม่มาเปลี่ยนเสียเวลาไปอีก ผมยืนกระวนกระวายอยากจะด่าว่าทำไมชุ่ยอย่างนี้ ไม่ตรวจสภาพเลยเรอะแต่ก็กัดฟันกลั้นไว้ ตอนนี้ด่าไปก็ไม่มีประโยชน์ เดี๋ยวรวบยอดดีกว่า
เมื่อไปถึง ICU แพทย์เวร(คนละคนแล้ว)บอกว่าจะขอเจาะระบายน้ำ
ผมถามว่า"เคยเจาะปอดใช่มั้ย ใช้เครื่องอัลตร้าซาวด์ช่วยดูหรือเปล่า เคยทำหรือเปล่า ?"
แพทย์เวร (เด็กๆดูท่าคล้ายจะเพิ่งจบ ) ตอบว่า "เดี๋ยวนี้เขาใช้อัลตร้าซาวด์ทั้งนั้น หมอทุกคนต้องผ่านงานตรงนี้ก่อนจบ"
ผมบอกว่า"ทำไปเลย" (โทดที รุ่นพี่ไม่มีเครื่องแบบนี้ใช้ ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้มันไฮเทค ตกรุ่นไปนาน....ผมคิดในใจ)
สักครู่คุณหมอเดินทำหน้ายุ่งๆออกมาบอก"อาจารย์ครับ มีปัญหาคือ บริเวณที่จะเจาะมีน้อยมาก มีพื้นที่ราวๆเหรียญห้า (ทำมือให้ดู) ซึ่งถ้าเจาะเข้าไปอาจจะโดนตับ หรือสูงอีกนิดก็จะโดนปอด ถ้าโดนละก็เลือดจะออกมาก ไม่มีทางห้ามเลือดได้เลย ผู้ป่วยจะเสียชีวิตแน่ๆครับ จะอนุญาตให้เจาะมั้ยครับ?"
"ทำไปเลยครับ" (เจาะอาจจะตาย แต่ไม่เจาะตายแน่ๆ ไม่ต้องคิดมากเลย......)
"เสี่ยงที่จะโดน ตับกับปอดนะครับ"
"ถ้าเจาะตรงๆแล้วเสี่ยง น้องลองเบนเข็มเจาะเฉียงๆหลีกเลี่ยงตับกับปอดดูสิ น่าจะลดความเสี่ยงลงได้นะ"
"เอ่อ..จะเฉียงจากนอกเข้าในหรือครับ ?" คุณหมอน่าจะงงๆกับความคิดของผม คงเป็นช่องว่างระหว่างวัย..เอ๊ย..ระหว่างรุ่นน่ะ แค่ 20กว่าปีเอง
"จากในเฉียงออกนอกครับ" (เจาะเฉียงเข้าก็โดนตับไม่ก็ปอดสิ แค่นี้ก็งงไปได้ พอกันกับผมเลย)
"อ้อ..ครับ อาจารย์ลองเข้าไปดูอัลตร้าซาวด์มั้ยครับ เวลาคนไข้หายใจ ปอดจะขยับและสั่นพริ้วๆเลย"... (สงสัยจะหาตัวช่วย)
"ไม่ครับ หมอทำไปเลยระวังมากๆหน่อย ทำให้ดีที่สุดแล้วกัน อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดครับ แล้วแต่บุญของเธอ"..(แค่นี้ผมก็เข่าอ่อนใจสั่นจะทรุดอยู่แล้ว ถ้าเข้าไปดูมีหวังสลบแน่ๆ )
แล้วผมก็เดินโซเซกลับห้อง แล้วโทรหานายสาที่เพิ่งพาแม่กลับไปไม่นาน เห็นคุณแม่บอกว่าพรุ่งนี้จะกลับไปทำธุระที่ตจว.
"สา พรุ่งนี้เช้าพาแม่มาพบเจ๊เค้านะ ยังไม่ต้องกลับตจว.หรอก"
"ทำไมเหรอพี่รงค์"
"ไม่มีอะไรหรอก อยากให้แม่มาคุยอะไรหน่อย"
"เสียงพี่รงค์ฟังดูแปลกๆไปนะ เกิดอะไรขึ้นเหรอ"
เท่านั้นเอง ผมหมดความอดทนเล่าทุกอย่างให้สาฟังจนหมด เขาก็เลยบอกว่าเดี๋ยวจะมารพ. ผมก็บอกว่าไม่จำเป็นหรอก มาก็ช่วยอะไรไม่ได้ แต่จะมาก็ตามใจ จะบอกใครบ้างก็ตามใจ...
หลังจากนอนหมดแรงอยู่พักหนึ่ง ผมก็หันไปเห็นชุดไตรจีวรที่เตรียมไว้ ในช่วงที่เธอรู้ว่าเป็นโรคร้าย ผมบอกกับเธอว่า ถ้าเธอจากไปผมจะบวชไม่สึก ถ้าหายก็จะบวช 1 พรรษา ตอนที่เธอเข้ารพ.และอยู่ในภาวะเลื่อนลอยนั้นผมได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินทั้งหมดให้ญาติแล้ว และ ผมได้เตรียมไตรจีวรมาให้เธออธิษฐานโดยบอกว่า ผมเชื่อว่าในจิตระดับนี้และมีพุทธคุณและสมเด็จโตคุ้มครอง ผมเชื่อว่าเธอเลือกได้ว่าจะไปหรืออยู่ เธอบอกว่าจะกลับมาสร้างบุญต่อ ผมก็อนุโมทนา แต่ตอนนี้ที่อาการเธอเลวร้ายลง อาจเป็นเพราะเธอหมดบุญจริงๆ สิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงช่วยไม่ได้ เบื้องบนคงมีเหตุผลที่จะนำเธอไป คิดแล้วผมก็เลยอุ้มไตรจีวรกลับไปที่ ICU เพื่อให้เธอได้เห็น(หรืออาจจะไม่เห็น)และรับรู้ว่า ผมเตรียมทำตามสัญญาแน่นอน
เมื่อถึงICU ผมเห็นห้องของเธอปิดม่านอยู่ พยาบาลบอกว่า "คุณหมอกำลังเจาะปอดอยู่ค่ะ"
"แล้วเป็นไงบ้างครับ" ผมถามลอยๆแบบไม่หวังอะไรมากนัก เพราะระดับ อจ.ธีร์บอกแล้วว่า เจาะไปก็ไม่ช่วยอะไร แต่เมื่อถามออกไปแล้ว ก็กลั้นใจฟังคำตอบจากคุณพยาบาล