ชีวิตนี้ที่ต่างแดน (นิวซีแลนด์) ตอนที่ 1 กว่าจะได้ไป เฮ้อ !!! by Pla (Pla Gallery )
**ประสบการณ์นี้เกิดขึ้นมาหลายปีแล้วค่ะ ปัจจุบัน จขกท มีครอบครัวแล้ว ลูกสองแล้วค่า

วันนี้อยากเอามาเรียบเรียงเล่าสู่กันฟัง เผื่อว่าจะเป้นประโยชน์กับน้องๆบ้าง ไม่มากก็น้อย
** ถ้าอ่านแล้วชอบ ก็กดโหวตหรือว่าแชร์ เค้าทํากันยังไงน๊า เพิ่งเคยตั้งกระทู้เป็นครั้งแรก ฮ่าๆๆ จะได้แบ่งปันให้คนอื่นได้อ่านด้วยเนอะ

เมื่อคนธรรมดาคนหนึ่งไม่ได้รวยอะไรมาจากไหน พ่อทำงานรัฐวิสาหกิจ แม่เป็นแม่บ้าน พอมีเงินเก็บอยู่นิดหน่อย คิดอยากจะไปเรียนเมืองนอกกับเค้าบ้าง จะเป็นไปได้ไหมเนี่ย?

คำตอบคือ ได้ดิวะ ทำไมจะไม่ได้ ก็ตั้งใจจะไปเรียนจริงๆนี่ แล้วก็อยากไปเห็นเมืองนอกของจริงด้วยว่าจะสวยเหมือนในทีวีไหม

ชีวิตเกิดมาจะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ ตอนนี้มีโอกาสแล้วก็ต้องรีบคว้าไว้
แต่ว่าจะไปไหนดีถึงจะประหยัดทรัพย์ประทับใจ ตอนนั้นคิดอยู่ 2 ประเทศ คือAustralia กับ New Zealand เพราะว่าค่าเงินไม่สูงมากจนเกินไป มีคนหลายคนบอกว่า อย่าไปออสเลย คนไทยเยอะมากๆเดินไปตรงไหนก็เจอ ถ้าไปแล้วจะได้พูดไทยมากกว่าอังกฤษ แล้วสำเนียงก็เพี้ยนด้วย ก็เลยตัดสินใจแบบง่ายๆว่าไป New Zealand แถมค่าเงินยังถูกกว่าออสนิดหน่อย
หลังจากที่ตัดสินใจได้ก็ดำเนินการทันที แต่ต้องทำอะไรก่อนหละเนี่ย

ไม่รู้หละ ก็ไปสถานทูตก่อนเลย ต้องได้อะไรมาบ้างหละ สู้โว้ย

สถานทูตนิวซีแลนด์อยู่ในตึกเอมไทย ชั้น14 แต่คิดว่าโชคดีนิดนึงเพราะก่อนที่สุ่มสี่สุ่มห้าขึ้นไป หันไปเห็นป้ายเค้าบอกว่า มีสถานที่แนะแนวการศึกษาต่อ อยู่ชั้น12 เย้ รอดแล้ว พอขึ้นไปเจ้าหน้าที่ท่านก็ให้คำแนะนำ แล้วก็หนังสือมาเล่มนึง ที่บอกถึงลายละเอียดของโรงเรียนทั้งหมดที่อยู่ในนิวซีแลนด์ อยากจะอยู่ที่ไหน เกาะเหนือ เกาะใต้ก็เลือกเอาเลย แต่ขอกระซิบ บอกนิดนึงว่าใครกลัวความหนาวหละก็ ไปอยู่เกาะเหนือจะดีกว่า จะอุ่นกว่านิดหน่อย

ในหนังสือบอกถึงหลักสูตรการเรียนการสอน รวมไปถึงค่าใช้จ่าย และเงื่อนไขต่างๆ ถือว่าช่วยได้มากทีเดียว
กลับมาบ้านก็เอาหนังสือมานั่งดู นอนดู ไปไหนดีเนี่ยเรา หลังจากการคำนวณงบประมาณแล้ว ก็เลือกโรงเรียนภาษาแห่งหนึ่งในเกาะใต้ที่ค่าเรียนไม่แพงมาก แต่ละโรงเรียนก็จะมีข้อเสนอต่างๆเช่น ถ้าเราสมัครเรียนเกิน 6 เดือน ก็อาจจะลดจากอาทิตย์ละ$320 เหลือ$270 และยังมีกิจกรรมเสริมต่างๆที่จะพาไปทำในช่วง วันหยุด เช่น ขี่ม้า ปีนเขา ล่องแก่ง และอื่นๆอีกมากมาย
เพราะฉะนั้นก่อนตัดสินใจ จะต้องดูให้ดี เราอาจจะส่งเมลไปคุยกับทางโรงเรียนดูก่อนก็ได้ เผื่อเค้ามี promotion อะไรดีๆ เอาหละพอเลือกได้แล้วว่าเอาโรงเรียนนี้แหละ ก็ทำการสมัคร โดยการส่งเมลไปหาเจ้าของโรงเรียน เขียนไปแบบผิดๆถูกๆแต่ก็ได้รวบรวมปัญญาทั้งหมดที่มีของเด็กจบปริญญาตรีคนนึง เขียนไป ลบแล้วลบอีก ตายหละ

ไวยกรณ์ฉันจะถูกไหม ตอนเรียนก็เรียนภาษาอังกฤษกับครูคนไทย พอจะต้องมาติดต่อกับฝรั่งของจริงตัวเป็นๆ ก็กลัวๆยังไงก็ไม่รู้

รู้อย่างนี้ให้พ่อกับแม่ส่งเรียนโรงเรียนอินเตอร์ซะตั้งแต่เล็กก็ดี (มโนแป๊บ

)
จะให้มาฝึกเอาตอนนี้ลิ้นมันก็แข็งซะแล้ว เขียนจดหมายเสร็จ ก็ได้แต่หวังว่าเค้าจะเข้าใจ เฮ้อ

แต่สุดท้ายที่เรียนมาก็ไม่ได้เสียเปล่า เพราะอีกไม่กี่วันก็มีเมลตอบกลับมาเป็นรายละเอียดทั้งหมด ค่าเรียน ค่าที่พัก รวมไปถึงประกันสุขภาพ ตอนนี้ถ้าใครจะไปเรียนต่อต่างประเทศจะต้องมีประกันสุขภาพทุกคน ขอแนะนำว่าทำไปจากเมืองไทยเลยจะง่ายกว่า และถูกกว่า
ขั้นต่อไปก็คือการโอนเงิน ตอนนั้นค่าเงินอยู่ประมาณ 18บาท ต่อ $1 ถือว่าดีมาก ตอนนี้ประมาณ26 บาทต่อ $1หลังจากนั้นเค้าจะให้
ใบเสร็จและหลักฐานยืนยันที่อยู่มา แล้วเราก็เอาหลักฐานทั้งหมดนี่แหละไปขอวีซ่า
ตอนไปขอวีซ่าเราก็ทำตามขั้นตอนทุกอย่าง แล้วก็รอผล อีกไม่กี่วัน ก็มีโทรศัพท์ มาว่าให้ไปสัมภาษณ์ โอ้ย! อะไรเนี่ย ฉันจะไปเรียนนะ ไม่ได้ไปสมัครงาน พอไปถึง ก็ไปเจอกับเจ้าหน้าที่ เป็นผู้หญิงอายุ ประมาณเกือบสามสิบ หน้าตาบอกบุญไม่รับ (ไม่อยากจะบอกว่าถึงตอนนี้ก็จะยังจำหน้า จำชื่อได้อยู่ เวลาเผาพริก เผากระเทียม จะได้ไม่พลาด)
คำถามแรก นางถามว่า ไม่ทราบว่าคุณจะไปทำไมคะ?
อ้าวถามแบบนี้ ยังไงวะเจ๊

แต่ก็เก็บอารมณ์แล้วก็ตอบไปอย่างสุภาพ “ไปเรียนภาษาค่ะ”
ประโยคต่อไปคุณเจ้าหน้าที่บอกว่า “ พูดตรงๆเลยนะ ดิฉันไม่เชื่อหรอกค่ะว่าคุณจะไปเรียนจริงๆ”( ยังจำได้จนถึงทุกวันนี้ )
เจ๊เอ๊ย คิดได้ไงวะเนี่ย เอาสมองส่วนไหนมาคิดมิทราบ เป็นผู้หญิงเหมือนกัน ไม่น่าดูถูกกันเองเลย อยากจะรู้นักถ้าเราเป็นลูกคนใหญ่คนโตมีนามสกุลดังคับฟ้า เค้าจะทำกับเราแบบนี้ไหม ตอนนั้นของเริ่มขึ้น โมโหสุดๆ แต่ก็ตอบไป กัดฟันไป ว่า ไปเรียนจริงๆค่ะ แล้วก็ไปแค่ไม่กี่เดือนเอง เงินในบัญชีนี่ก็น่าจะพอใช้
“ แล้วดิฉันจะติดต่อกลับไป” เจ้าหน้าที่ตอบด้วยสีหน้าที่เฉยชา บอกบุญไม่รับเหมือนเดิม (แถมแววตาดูถูก อีกตะหาก เห็นแล้ว อยากจะรำฟ้อนเล็บแล้วต่อด้วยแม่ไม้มวยไทย ให้ดูจริงๆ)
ตอนหลังไปเจอกับเพื่อนๆคนไทยที่เรียนโรงเรียนเดียวกันหลายคน บอกว่ามีปัญหาเดียวกัน คือเจ้าหน้าที่ ชอบทำหน้าบอกบุญไม่รับเหมือนกับว่าจะไปขอเงินเค้าใช้ยังงั้นแหละ

มีพี่อยู่คนนึง โทรมาร้องไห้กับเจ้าของโรงเรียนว่ามาไม่ได้ เพราะวีซ่าไม่ผ่าน ภาษาอังกฤษก็พูดไม่ค่อยจะได้ต้องให้นักเรียนไทยไปคุย จนได้ความว่าวีซ่าไม่ผ่าน เจ้าหน้าที่บอกว่า อายุเยอะแล้ว ไม่คิดว่าจะไปเรียน ป๊าด!! ให้มันได้อย่างนั้น!! ฟังแล้วของขึ้นอย่างแรง

กลับมาเรื่องวีซ่าต่อ หลังจากนั้นก็รอ รอ รอ ผ่านมาสองอาทิตย์ ก็แล้ว เข้าอาทิตย์ที่สาม ไม่มีการติดต่อกลับแต่อย่างใด ฉันทำอะไรผิดตรงไหนเนี่ยหรือว่าผิดที่ไม่ได้เกิดมาเป็นเศรษฐี มีนามสกุลดัง อะไรๆมันก็เลยไม่ง่าย
ตั๋วเครื่องบินก็ซื้อแล้ว จะบินอยู่อาทิตย์หน้าแล้วเนี่ย วีซ่าก็ยังไม่ได้ เราก็โทรไปหาคุณเจ้าหน้าที่ ได้คุยบ้าง ไม่ได้บ้าง เกือบจะถอดใจแล้ว
แต่ด้วยความกรุณาของคุณเจ้าหน้าที่ (ที่เพี่งจะมี) ผ่านวีซ่าให้วันสุดท้าย(บินวันรุ่งขึ้น) ตอนโมง4เย็น แล้วสถานทูตปิด5โมงเย็น มีการบอกให้รีบๆมาด้วยนะ

แล้วบ้านอยู่จรัญฯ สถานทูตอยู่ถนนวิทยุ คิดดู จะให้บินไปหรือไงเจ๊

ดีนะที่รถไม่ติด เลยไปทัน
ตอนหลังก็ได้มาค้นพบว่า ถ้าคุณเอาวีซ่าไปให้พวกagencyทำให้นั้นง่าย กว่าหลายสิบเท่า หรือจะให้เค้าติดต่อโรงเรียนให้ด้วยก็ได้แต่ในกรณีที่คุณติดต่อโรงเรียนด้วยตัวเอง ก็ให้เตรียมหลักฐานให้พร้อม กับเงินสดอีก1,000บาท แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเท่าไหร่แล้ว แล้วก็กลับไปนอนตีพุงรอที่บ้านได้เลย ไม่เกินสามวันคุณก็จะได้วีซ่ามา โดยที่ไม่ต้องไปเองให้เสียอารมณ์ เสียเวลาและเสียสายตา

เอาหละ!!! ในที่สุดก็ได้ไปซักที การไปต่างประเทศครั้งแรกในชีวิตกับภาษาอังกฤษที่มีอย่างจำกัด เอาวะ ไปตายเอาดาบหน้า วันรุ่งขึ้น ก็ไปสนามบิน เอากระเป๋าไปชั่ง เค้าจะให้ประมาณ20 kg สำหรับeconomy class น้าหนักดันเกินไป3โล ตามปกติแล้วเค้าจะคิดเงินเพิ่มตามน้าหนักที่เพิ่มขึ้น โลละประมาณ 500บาท แต่ด้วยความเมตตาและเห็นใจของคุณเจ้าหน้าที่ ที่เห็นว่าเราจะไปเรียน เลยอนุโลมให้ รอดไปไม่เสียตังค์
พอใกล้เวลาก็สั่งลาพ่อแม่พี่น้องที่มาส่ง คิดๆไปใจก็หายหลังจากที่เดินเข้าประตูไปแล้ว ก็จะเหลือเราแค่คนเดียว

กลัวไปหมด ตอนนี้ยังไม่เท่าไหร่ แต่ตอนไปต่อเครื่องที่สิงคโปรนี่ ฉันจะรอดไหมเนี่ย ถ้าตกเครื่องละก็ เหอๆ พอขึ้นไปนั่งบนเครื่องบิน ก็คิดหวั่นๆดันไปคิดถึงหนังสยองทั้งหลายแหล่ ที่เกี่ยวกับเครื่องบินตก ว่าแล้วก็ยกมือขึ้นพนม กับหลวงปู่ที่แม่ให้มา “ ขอให้ลูกรอดไป อย่างปลอดภัยด้วยเถอด สาธุ ” [:อมยิ้ม17:]
ก่อนเครื่องจะออกพนักงานบนเครื่องก็จะมาอธิบายอะไรก็ไม่รู้ แต่ก็เดาได้ว่า เป็นทางออกฉุกเฉินอยู่ตรงไหน กับวิธีใช้ร่มชูชีพ พออธิบายเสร็จพวกนางก็เดินมาตรวจความเรียบร้อยอีกครั้งหนึ่ง ซักพัก เครื่องบินก็เรี่มออก ลาก่อนเมืองไทย ฉันจะไป New Zealand แล้ว
จาก กรุงเทพ ถึง Christchurch airport ใช้เวลารวมประมาณ 12 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้นส่วนมากจะต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่ใดที่หนึ่ง อาจจะเป็นSingapore หรือ Auckland นั่งไปก็เกร็งไป แต่ก็จะดีหน่อยที่มีมีTV ส่วนตัว สามารถดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมส์ได้ แบบไม่ต้องเกรงใจใคร อาหารบนเครื่องก็จะมีหลายตัวเลือก ปลา เนื้อ ไก่ หมู และตบท้ายด้วยของหวาน อาจจะเป็น ผลไม้รวมหรือไม่ก็ไอศกรีม
พอถึงตอนนอน ก็หลับๆตื่น ๆเครื่องบินตกหลุมอากาศทีก็สะดุ้งที เป็นแบบนี้ไปตลอดจนถึงสิงคโปร์ พอเครื่องจอดปุ๊ป เราก็เดินไปหาประตูที่เราจะต้องขึ้นเครื่องก่อนเลยว่าอยู่ตรงไหนจะได้ไม่พลาด พอมีเวลาเหลือก็ไปเดินดูของในสนามบิน และ ที่Duty freeสินค้าปลอดภาษี แต่อย่าเดินจนเพลินหละ ใกล้เวลาแล้วไปรอที่ประตูทางออกดีกว่า กลับขึ้นเครื่องอีกที คราวนี้ใช้เวลาบิน อย่างน้อย 10ชั่วโมง นั่งๆนอนๆ กินๆ บนเครื่องจะมีบอกตลอดว่า ใช้เวลาบินไปเท่าไหร่แล้ว และต้องบินอีกนานเท่าไหร่และเวลาปลายทางนั้น ช้าหรือเร็วกว่ากี่ชั่วโมง พอใกล้จะถึงแล้วก็อย่าลืมปรับนาฬิกา
ว้าว อีกไม่กี่นาทีเราก็จะได้เหยียบผืนแผ่นดิน ที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดแห่งหนึ่งในโลกแล้ว ตื่นเต้นจริงๆเลย

เครื่องค่อยๆบินผ่านกลุ่มเมฆลงไป มองลงไปจากหน้าต่าง ก็เริ่มจะมองเห็นภูเขาบ้างแล้ว ตอนที่ไปนั้นเป็นหน้าหนาวพอดี จึงได้เห็นภูเขาสีขาวปกคลุมไปด้วยหิมะ เหมือนกับภาพวาดเลย พอเครื่องลงอีก ก็จะเห็นพื้นที่สีเขียวมากมายเแบ่งเป็นสี่เหลี่ยมๆ สีเขียวเข้มอ่อน ต่างกันไปเหมือนกับเอาสนามกอลฟเป็นพันๆมาต่อกัน
พอเครื่องลงใกล้พื้นดินอีกนิด ก็จะเห็นจุดสีขาวๆเต็มไปหมด เอ๊ะ อะไรหว่า โอ้ว!! มันคือบรรดาฝูงแกะนั่นเอง


คนที่นี่เค้าจะนิยมเลี้ยงแกะกันมาก ถือว่าเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของประเทศนี้เลยก็ว่าได้
อีกไม่ถึงอึดใจเครื่องก็ลงจอดสนิท และแล้วก็ถึงซักที ....New Zealand ดินแดนในฝัน






ตอนต่อไป : โดนค้นที่ด่านตรวจ
ชีวิตนี้ต่างแดน (นิวซีแลนด์) ตอนที่ 1 กว่าจะได้ไป เฮ้อ !!! by Pla
**ประสบการณ์นี้เกิดขึ้นมาหลายปีแล้วค่ะ ปัจจุบัน จขกท มีครอบครัวแล้ว ลูกสองแล้วค่า
** ถ้าอ่านแล้วชอบ ก็กดโหวตหรือว่าแชร์ เค้าทํากันยังไงน๊า เพิ่งเคยตั้งกระทู้เป็นครั้งแรก ฮ่าๆๆ จะได้แบ่งปันให้คนอื่นได้อ่านด้วยเนอะ
เมื่อคนธรรมดาคนหนึ่งไม่ได้รวยอะไรมาจากไหน พ่อทำงานรัฐวิสาหกิจ แม่เป็นแม่บ้าน พอมีเงินเก็บอยู่นิดหน่อย คิดอยากจะไปเรียนเมืองนอกกับเค้าบ้าง จะเป็นไปได้ไหมเนี่ย?
คำตอบคือ ได้ดิวะ ทำไมจะไม่ได้ ก็ตั้งใจจะไปเรียนจริงๆนี่ แล้วก็อยากไปเห็นเมืองนอกของจริงด้วยว่าจะสวยเหมือนในทีวีไหม
แต่ว่าจะไปไหนดีถึงจะประหยัดทรัพย์ประทับใจ ตอนนั้นคิดอยู่ 2 ประเทศ คือAustralia กับ New Zealand เพราะว่าค่าเงินไม่สูงมากจนเกินไป มีคนหลายคนบอกว่า อย่าไปออสเลย คนไทยเยอะมากๆเดินไปตรงไหนก็เจอ ถ้าไปแล้วจะได้พูดไทยมากกว่าอังกฤษ แล้วสำเนียงก็เพี้ยนด้วย ก็เลยตัดสินใจแบบง่ายๆว่าไป New Zealand แถมค่าเงินยังถูกกว่าออสนิดหน่อย
หลังจากที่ตัดสินใจได้ก็ดำเนินการทันที แต่ต้องทำอะไรก่อนหละเนี่ย
สถานทูตนิวซีแลนด์อยู่ในตึกเอมไทย ชั้น14 แต่คิดว่าโชคดีนิดนึงเพราะก่อนที่สุ่มสี่สุ่มห้าขึ้นไป หันไปเห็นป้ายเค้าบอกว่า มีสถานที่แนะแนวการศึกษาต่อ อยู่ชั้น12 เย้ รอดแล้ว พอขึ้นไปเจ้าหน้าที่ท่านก็ให้คำแนะนำ แล้วก็หนังสือมาเล่มนึง ที่บอกถึงลายละเอียดของโรงเรียนทั้งหมดที่อยู่ในนิวซีแลนด์ อยากจะอยู่ที่ไหน เกาะเหนือ เกาะใต้ก็เลือกเอาเลย แต่ขอกระซิบ บอกนิดนึงว่าใครกลัวความหนาวหละก็ ไปอยู่เกาะเหนือจะดีกว่า จะอุ่นกว่านิดหน่อย
ในหนังสือบอกถึงหลักสูตรการเรียนการสอน รวมไปถึงค่าใช้จ่าย และเงื่อนไขต่างๆ ถือว่าช่วยได้มากทีเดียว
กลับมาบ้านก็เอาหนังสือมานั่งดู นอนดู ไปไหนดีเนี่ยเรา หลังจากการคำนวณงบประมาณแล้ว ก็เลือกโรงเรียนภาษาแห่งหนึ่งในเกาะใต้ที่ค่าเรียนไม่แพงมาก แต่ละโรงเรียนก็จะมีข้อเสนอต่างๆเช่น ถ้าเราสมัครเรียนเกิน 6 เดือน ก็อาจจะลดจากอาทิตย์ละ$320 เหลือ$270 และยังมีกิจกรรมเสริมต่างๆที่จะพาไปทำในช่วง วันหยุด เช่น ขี่ม้า ปีนเขา ล่องแก่ง และอื่นๆอีกมากมาย
เพราะฉะนั้นก่อนตัดสินใจ จะต้องดูให้ดี เราอาจจะส่งเมลไปคุยกับทางโรงเรียนดูก่อนก็ได้ เผื่อเค้ามี promotion อะไรดีๆ เอาหละพอเลือกได้แล้วว่าเอาโรงเรียนนี้แหละ ก็ทำการสมัคร โดยการส่งเมลไปหาเจ้าของโรงเรียน เขียนไปแบบผิดๆถูกๆแต่ก็ได้รวบรวมปัญญาทั้งหมดที่มีของเด็กจบปริญญาตรีคนนึง เขียนไป ลบแล้วลบอีก ตายหละ
จะให้มาฝึกเอาตอนนี้ลิ้นมันก็แข็งซะแล้ว เขียนจดหมายเสร็จ ก็ได้แต่หวังว่าเค้าจะเข้าใจ เฮ้อ
ขั้นต่อไปก็คือการโอนเงิน ตอนนั้นค่าเงินอยู่ประมาณ 18บาท ต่อ $1 ถือว่าดีมาก ตอนนี้ประมาณ26 บาทต่อ $1หลังจากนั้นเค้าจะให้
ใบเสร็จและหลักฐานยืนยันที่อยู่มา แล้วเราก็เอาหลักฐานทั้งหมดนี่แหละไปขอวีซ่า
ตอนไปขอวีซ่าเราก็ทำตามขั้นตอนทุกอย่าง แล้วก็รอผล อีกไม่กี่วัน ก็มีโทรศัพท์ มาว่าให้ไปสัมภาษณ์ โอ้ย! อะไรเนี่ย ฉันจะไปเรียนนะ ไม่ได้ไปสมัครงาน พอไปถึง ก็ไปเจอกับเจ้าหน้าที่ เป็นผู้หญิงอายุ ประมาณเกือบสามสิบ หน้าตาบอกบุญไม่รับ (ไม่อยากจะบอกว่าถึงตอนนี้ก็จะยังจำหน้า จำชื่อได้อยู่ เวลาเผาพริก เผากระเทียม จะได้ไม่พลาด)
คำถามแรก นางถามว่า ไม่ทราบว่าคุณจะไปทำไมคะ?
อ้าวถามแบบนี้ ยังไงวะเจ๊
ประโยคต่อไปคุณเจ้าหน้าที่บอกว่า “ พูดตรงๆเลยนะ ดิฉันไม่เชื่อหรอกค่ะว่าคุณจะไปเรียนจริงๆ”( ยังจำได้จนถึงทุกวันนี้ )
เจ๊เอ๊ย คิดได้ไงวะเนี่ย เอาสมองส่วนไหนมาคิดมิทราบ เป็นผู้หญิงเหมือนกัน ไม่น่าดูถูกกันเองเลย อยากจะรู้นักถ้าเราเป็นลูกคนใหญ่คนโตมีนามสกุลดังคับฟ้า เค้าจะทำกับเราแบบนี้ไหม ตอนนั้นของเริ่มขึ้น โมโหสุดๆ แต่ก็ตอบไป กัดฟันไป ว่า ไปเรียนจริงๆค่ะ แล้วก็ไปแค่ไม่กี่เดือนเอง เงินในบัญชีนี่ก็น่าจะพอใช้
“ แล้วดิฉันจะติดต่อกลับไป” เจ้าหน้าที่ตอบด้วยสีหน้าที่เฉยชา บอกบุญไม่รับเหมือนเดิม (แถมแววตาดูถูก อีกตะหาก เห็นแล้ว อยากจะรำฟ้อนเล็บแล้วต่อด้วยแม่ไม้มวยไทย ให้ดูจริงๆ)
ตอนหลังไปเจอกับเพื่อนๆคนไทยที่เรียนโรงเรียนเดียวกันหลายคน บอกว่ามีปัญหาเดียวกัน คือเจ้าหน้าที่ ชอบทำหน้าบอกบุญไม่รับเหมือนกับว่าจะไปขอเงินเค้าใช้ยังงั้นแหละ
กลับมาเรื่องวีซ่าต่อ หลังจากนั้นก็รอ รอ รอ ผ่านมาสองอาทิตย์ ก็แล้ว เข้าอาทิตย์ที่สาม ไม่มีการติดต่อกลับแต่อย่างใด ฉันทำอะไรผิดตรงไหนเนี่ยหรือว่าผิดที่ไม่ได้เกิดมาเป็นเศรษฐี มีนามสกุลดัง อะไรๆมันก็เลยไม่ง่าย
ตั๋วเครื่องบินก็ซื้อแล้ว จะบินอยู่อาทิตย์หน้าแล้วเนี่ย วีซ่าก็ยังไม่ได้ เราก็โทรไปหาคุณเจ้าหน้าที่ ได้คุยบ้าง ไม่ได้บ้าง เกือบจะถอดใจแล้ว
แต่ด้วยความกรุณาของคุณเจ้าหน้าที่ (ที่เพี่งจะมี) ผ่านวีซ่าให้วันสุดท้าย(บินวันรุ่งขึ้น) ตอนโมง4เย็น แล้วสถานทูตปิด5โมงเย็น มีการบอกให้รีบๆมาด้วยนะ
ตอนหลังก็ได้มาค้นพบว่า ถ้าคุณเอาวีซ่าไปให้พวกagencyทำให้นั้นง่าย กว่าหลายสิบเท่า หรือจะให้เค้าติดต่อโรงเรียนให้ด้วยก็ได้แต่ในกรณีที่คุณติดต่อโรงเรียนด้วยตัวเอง ก็ให้เตรียมหลักฐานให้พร้อม กับเงินสดอีก1,000บาท แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเท่าไหร่แล้ว แล้วก็กลับไปนอนตีพุงรอที่บ้านได้เลย ไม่เกินสามวันคุณก็จะได้วีซ่ามา โดยที่ไม่ต้องไปเองให้เสียอารมณ์ เสียเวลาและเสียสายตา
เอาหละ!!! ในที่สุดก็ได้ไปซักที การไปต่างประเทศครั้งแรกในชีวิตกับภาษาอังกฤษที่มีอย่างจำกัด เอาวะ ไปตายเอาดาบหน้า วันรุ่งขึ้น ก็ไปสนามบิน เอากระเป๋าไปชั่ง เค้าจะให้ประมาณ20 kg สำหรับeconomy class น้าหนักดันเกินไป3โล ตามปกติแล้วเค้าจะคิดเงินเพิ่มตามน้าหนักที่เพิ่มขึ้น โลละประมาณ 500บาท แต่ด้วยความเมตตาและเห็นใจของคุณเจ้าหน้าที่ ที่เห็นว่าเราจะไปเรียน เลยอนุโลมให้ รอดไปไม่เสียตังค์
พอใกล้เวลาก็สั่งลาพ่อแม่พี่น้องที่มาส่ง คิดๆไปใจก็หายหลังจากที่เดินเข้าประตูไปแล้ว ก็จะเหลือเราแค่คนเดียว
ก่อนเครื่องจะออกพนักงานบนเครื่องก็จะมาอธิบายอะไรก็ไม่รู้ แต่ก็เดาได้ว่า เป็นทางออกฉุกเฉินอยู่ตรงไหน กับวิธีใช้ร่มชูชีพ พออธิบายเสร็จพวกนางก็เดินมาตรวจความเรียบร้อยอีกครั้งหนึ่ง ซักพัก เครื่องบินก็เรี่มออก ลาก่อนเมืองไทย ฉันจะไป New Zealand แล้ว
จาก กรุงเทพ ถึง Christchurch airport ใช้เวลารวมประมาณ 12 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้นส่วนมากจะต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่ใดที่หนึ่ง อาจจะเป็นSingapore หรือ Auckland นั่งไปก็เกร็งไป แต่ก็จะดีหน่อยที่มีมีTV ส่วนตัว สามารถดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมส์ได้ แบบไม่ต้องเกรงใจใคร อาหารบนเครื่องก็จะมีหลายตัวเลือก ปลา เนื้อ ไก่ หมู และตบท้ายด้วยของหวาน อาจจะเป็น ผลไม้รวมหรือไม่ก็ไอศกรีม
พอถึงตอนนอน ก็หลับๆตื่น ๆเครื่องบินตกหลุมอากาศทีก็สะดุ้งที เป็นแบบนี้ไปตลอดจนถึงสิงคโปร์ พอเครื่องจอดปุ๊ป เราก็เดินไปหาประตูที่เราจะต้องขึ้นเครื่องก่อนเลยว่าอยู่ตรงไหนจะได้ไม่พลาด พอมีเวลาเหลือก็ไปเดินดูของในสนามบิน และ ที่Duty freeสินค้าปลอดภาษี แต่อย่าเดินจนเพลินหละ ใกล้เวลาแล้วไปรอที่ประตูทางออกดีกว่า กลับขึ้นเครื่องอีกที คราวนี้ใช้เวลาบิน อย่างน้อย 10ชั่วโมง นั่งๆนอนๆ กินๆ บนเครื่องจะมีบอกตลอดว่า ใช้เวลาบินไปเท่าไหร่แล้ว และต้องบินอีกนานเท่าไหร่และเวลาปลายทางนั้น ช้าหรือเร็วกว่ากี่ชั่วโมง พอใกล้จะถึงแล้วก็อย่าลืมปรับนาฬิกา
ว้าว อีกไม่กี่นาทีเราก็จะได้เหยียบผืนแผ่นดิน ที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดแห่งหนึ่งในโลกแล้ว ตื่นเต้นจริงๆเลย
พอเครื่องลงใกล้พื้นดินอีกนิด ก็จะเห็นจุดสีขาวๆเต็มไปหมด เอ๊ะ อะไรหว่า โอ้ว!! มันคือบรรดาฝูงแกะนั่นเอง
อีกไม่ถึงอึดใจเครื่องก็ลงจอดสนิท และแล้วก็ถึงซักที ....New Zealand ดินแดนในฝัน
ตอนต่อไป : โดนค้นที่ด่านตรวจ