สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 5
ด้วยความสามารถในการผลิตลูกเก่งขนาดนี้ บรรดาชาติมุสลิมยังไม่มีประเทศไหนเอา แต่กลับมีมุสลิมไทยหลายๆคนเชียร์กันเหลือเกินให้ไทยรับโรฮินยาเข้ามา จนดูแล้วชวนให้สงสัยเหลือเกินว่าเหมือนเป็นแผนอยากจะให้รับโรฮินยาเข้ามาเยอะๆเพื่อจะมาช่วยกันผลิตลูกหลานเพิ่มจำนวนมุสลิม ต่อไปจำนวนสัดส่วนมุสลิมในไทยจะได้เพิ่มขึ้นจนกลายเป็นคนกลุ่มใหญ่ในประเทศนี้
ความคิดเห็นที่ 28
ปู่เรานะ เป็นแต้จิ๋ว นั่งเรือชักสำเภามาจากแผ่นดินใหญ่ หนีห่ากระสุนรัฐบาล ดั้นด้นมาแดนสยาม ความคิดแรกคือ.. ทำยังไงไม่ให้คนไทยไล่กลับประเทศ ทำยังไงให้คนไทยไม่เกลียดปู่ ทำยังไงให้คนไทยไม่รังเกียจคนจีนแผ่นดินใหญ่แบบปู่ ปู่นี่โคดอยู่อย่างเจียมอ่ะ ไม่เคยแบมือขอข้าวน้ำฟรีๆนะ ปู่ทำงานแลกเงิน เขาให้ทำอะไรก็ทำ ดูดส้วมขัดรองเท้า ผสมอาหารหมู ไม่เคยปริปากบ่น แค่อาหารเหลือๆให้กินปู่ก็ขอบคุณจากใจแล้ว ปู่รักคนไทยมาก พยายามฝึกภาษา ปรับตัว พอเก็บเงินตั้งตัวได้ ค่อยๆเปิดร้านเล็กๆ ถ้อยทีถ้อยอาศัย ช่วยเหลือคนไทยตลอด จนบัดนี้ปู่เราตายไปแล้ว เขาก็ยังรู้สึกขอบคุณประเทศนี้ จนวันสุดท้าย
ที่เล่านี่ไม่ใช่อะไร แค่อยากจะบอกว่า ... การที่มีใครสักคนที่เราไม่รู้จัก ทำดีกับเรา แม้แต่น้อยนิด นั่นคือบุญคุณที่ยิ่งใหญ่ ความรู้สึกสำนึก ความอ่อนน้อม การยอมปรับตัวเข้ากับสังคมส่วนใหญ่เป็นสิ่งสำคัญ บางประเทศถึงขั้นไม่ให้คุณมีสิทธิ์เหยียบผืนแผ่นดินเขาเลยนะ แต่การที่วันนึง มีประเทศเล็กๆที่ก็ไม่ได้ร่ำได้รวยอะไรมากมาย ยอมรับพวกคุณเข้ามา เหยียบผืนแผ่นดิน ให้ข้าวให้น้ำ ถ้าเราเป็นโรฮิงญาคือ เราโคดเจียมตัวอ่ะ มันต้องคิดได้แล้ว ว่าเราต้องปรับปรุงตัวเองยังไง เราต้องไปต่อยังไง เราจะทำอะไรได้บ้าง ... เรามีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์แค่ไหน...
ที่เล่านี่ไม่ใช่อะไร แค่อยากจะบอกว่า ... การที่มีใครสักคนที่เราไม่รู้จัก ทำดีกับเรา แม้แต่น้อยนิด นั่นคือบุญคุณที่ยิ่งใหญ่ ความรู้สึกสำนึก ความอ่อนน้อม การยอมปรับตัวเข้ากับสังคมส่วนใหญ่เป็นสิ่งสำคัญ บางประเทศถึงขั้นไม่ให้คุณมีสิทธิ์เหยียบผืนแผ่นดินเขาเลยนะ แต่การที่วันนึง มีประเทศเล็กๆที่ก็ไม่ได้ร่ำได้รวยอะไรมากมาย ยอมรับพวกคุณเข้ามา เหยียบผืนแผ่นดิน ให้ข้าวให้น้ำ ถ้าเราเป็นโรฮิงญาคือ เราโคดเจียมตัวอ่ะ มันต้องคิดได้แล้ว ว่าเราต้องปรับปรุงตัวเองยังไง เราต้องไปต่อยังไง เราจะทำอะไรได้บ้าง ... เรามีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์แค่ไหน...
ความคิดเห็นที่ 27
รากเหง้าปัญหาโรฮีนจา เหตุจากอังกฤษยึดครองพม่า ปัญหาที่ไร้ทางออก
ทำไม ทุกประเทศในแถบนี้ ไม่ยอมรับโรฮีนจาให้ขึ้นฝั่งและให้ความช่วยเหลือโดยเฉพาะโรฮีนจาที่มาจากรัฐยะไข่ในพม่า
เพราะพม่าประกาศมาตั้งแต่ได้รับเอกราชมาจากอังกฤษเมื่อ 70 ปีมาแล้ว โรฮีนจาไม่ใช่คนพม่า แม้พม่าจะประกอบด้วยชนเผ่าต่างๆ เกือบ 140 ชนเผ่า ที่รัฐบาลพม่ายอมรับว่าเป็นคนสัญชาติพม่า แต่พม่าไม่เคยยอมรับว่าชนเผ่าโรฮีนจาเป็นหนึ่งในนั้น ในกฎหมายของพม่า ชาวโรฮีนจาไม่ได้รับการนับรวมเป็นชนเผ่าในพม่า ไม่ใช่พลเมือง และไม่ให้สิทธิต่างๆ ในฐานะพลเมือง ยังถือว่าเป็นผู้อาศัยเท่านั้น และกดดันด้วยวิธีต่างๆ อันสบเนื่องมากจากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์
ความไม่พอใจของพม่าที่มีต่อชาวโรฮีนจา มีมาตั้งแต่สงครามกับอังกฤษ รวมสามครั้ง สองครั้งแรก อังกฤษยึดพม่าตอนล่างรวมทั้งกรุงย่างกุ้งและเมืองต่างๆ บริเวณทางใต้ ครั้งที่สามอังกฤษตีเมืองมัณฑะเลย์ จับกษัตริย์พม่าและครอบครัวไปกักตัวไว้ที่เมืองรัตนคีรีในอินเดียจนตาย พร้อมทั้งยึดเอาทับทิม เพชรพลอยและสิ่งของมีค่า (ที่ราชวงศ์กษัตริย์ของพม่าสะสมไว้มากมายหลายหีบ) ไปจากพม่าเกือบหมด (พระเจ้าสีบ่อ กษัตริย์องค์สุดท้ายของพม่า เขียนจดหมายจากเมืองรัตนบุรีไปยังรัฐบาลอังกฤษหลายฉบับ เพื่อทวงคืนทับทิมและเพชรพลอยที่ถูกทหารอังกฤษแย่งเอาไป แต่ไม่ได้การตอบสนองแต่อย่างใด) และอังกฤษยึดพม่าไว้เป็นเมืองขึ้นทั้งประเทศ
ในการรบกับพม่า นอกจากทหารอังกฤษแล้ว อังกฤษยังเอาทหารกูรข่า และพวกโรฮีนจาจากอินเดีย (ปัจจุบันเป็นบังคลาเทศ) มาช่วยอังกฤษรบกับพม่า และเมื่ออังกฤษยึดครองพม่า ก็เปิดให้คนอินเดียอพยพเข้ามาทำมาหากินและค้าขายในพม่าได้สะดวก พวกโรฮีนจาที่มาช่วยรบก็ลงหลักปักฐานในพม่าและอีกจำนวนมากก็อพยพเข้ามาเพิ่มเติม จนปัจจุบันมีคนโรฮิงยาจำนวน 1.6 ถึง 2 ล้านคนในพม่า ซึ่งพม่ายังถือว่าพวกโรฮิงยาไม่ใช่พม่าเดิมและเป็นพวกศัตรู แม้โรฮีนจารุ่นแรกๆ จะล้มหายตายจากไปตามอายุขัยและลูกหลานรุ่นหลังๆ จะเกิดในพม่า แต่พม่าก็ยังถือว่าไม่มีทางที่จะเป็นคนพม่าได้ เป็นเพียงผู้อาศัยชั่วคราว ถ้าออกจากพม่าไปแล้วจะไม่ให้กลับเข้ามาอีกเด็ดขาด
แม้จะถูกกดดันจากพม่า แต่สถานการณ์ในบังคลาเทศก็ยิ่งยากจนกว่า และเป็นประเทศที่มีประชากรหนาแน่น พวกโรฮีนจาที่เกิดในพม่า เมื่อหลบหนีไปประเทศบังคลาเทศ ก็ไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นพลเมือง แม้จะเป็นคนเชื้อชาติเดียวกันและถือศาสนาอิสลามเหมือนกันก็ตาม มีโรฮีนจาจำนวนมากที่หนีไปบังคลาเทศ บังคลาเทศก็ไม่ให้เข้าประเทศ แต่จัดให้อยู่ในแค้มป์ผู้ลี้ภัยตามชายแดนซึ่งยากลำบากมาก และจะกลับเข้าพม่า พม่าก็ไม่ยอมให้กลับเช้ามา และทำทุกวิถีทางที่จะกำจัดคนพวกนี้ออกไปจากพม่า
ปัญหาจึงอยู่ตรงนี้ว่า คนโรฮีนจาจึงไม่เหมือนผู้ลี้ภัยกลุ่มอื่น และมีจำนวนมากเกือบสองล้านคน ที่อยู่ในความกดดันของพม่าอยู่ตลอดเวลา คนลี้ภัยหรือหนีภัยสงครามจากประเทศลาว เขมร เวียดนาม หรือพวกกะเหรียง หรือชนกลุ่มน้อยอื่น ที่เป็นผู้ลี้ภัยชั่วคราว เมื่อภัยนั้นพ้นไป ก็สามารถส่งกลับประเทศได้ เป็นการให้ที่พักพิงลี้ภัยชั่วคราว (แต่ก็เป็นภาระหนักมาก และอย่าไปหวังว่าประเทศอื่นจะเข้ามาช่วย แม้การรับพวกผู้อพยพไปประเทศที่สาม ก็ใช้เวลานานประมาณ 20 ปี โดยคัดเอาแต่คนหนุ่มสาวที่ไปเป็นกำลังแรงงานได้และมีความรู้ไป ทิ้งประชากรที่ด้อยคุณภาพไว้ให้ประเทศไทยรับเป็นภาระต่อมาจนทุกวันนี้) แต่ผู้ลี้ภัยโรฮีนจาจะเป็นผู้ลี้ภัยถาวร ไม่ว่าประเทศใดที่รับไว้ หมายความว่าต้องรับไว้ตลอดชีวิตตลอดจนลูกหลานที่จะเกิดตามมาในอนาคต ไม่มีทางที่จะส่งกลับไปได้ และ UNHCR ก็ไม่กล้าออกมาสนับสนุนเงินทุนเหมือนกรณีอื่น เพราะกรณีนี้หากมีการตั้งค่าย จะต้องเป็นค่ายถาวรไปไม่รู้ว่าจะจัดการส่งกลับต้นทางได้หรือไม่ (ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางทำได้) และจะตั้งค่ายไปตลอดชีวิตจนถึงชั้นลูกหลานได้อย่างไร ใครจะรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่าย ในที่สุดก็ต้องกดดันประเทศที่รับไว้ให้หาทางเลี้ยงคนพวกนี้ไปจนตายหรือยอมให้กลายเป็นพลเมือง
ด้วยเหตุนี้ ทั้งสามประเทศ คือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย จึงไม่กล้าที่จะรับชาวโรฮีนจามาไว้ในประเทศ ที่เข้ามาแล้วก็ผลักดันกันไปด้วยวิธีการนอกระบบ ด้วยการส่งออกไปทางชายแดนพม่า แต่ทั้งสามประเทศไม่ยอมให้เข้ามาในน่านน้ำตัวเอง ได้แต่ส่งน้ำ ส่งอาหารและซ่อมเรือให้ แล้วผลักดันออกไปในเขตทะเลสากล หรือในน่านน้ำของต่างประเทศ เพราะไม่มีใครที่กล้ารับภาระที่ไม่รู้จบในขณะที่ประเทศเหล่านี้ยังมีปัญหาประชาชนที่ยากจนและเศรษฐกิจที่ย่ำแย่อยู่
ทางตะวันตกที่เคยเสียงแข็งเรื่องสิทธิมนุษยชน ก็ไม่กล้าเอ่ยปากมากนัก เพราะในยุโรปเอง อิตาลีก็ใช้วิธีกันเรือผู้อพยพไม่ให้เข้ามาในน่านน้ำ เพราะอิตาลีเองก็เจอปัญหาผู้อพยพจากอาฟริกาเข้ามาในอิตาลีจำนวนมาก และได้ร้องขอให้ชาติในยูโรช่วย แต่ก็ถูกทอดทิ้งให้รับภาระตามลำพัง
ออสเตรเลียที่มักเน้นด้านมนุษยธรรมสูง ก็เจอปัญหาผู้อพยพทางเรือเข้าออสเตรเลียมากมาย จนออสเตรเลียต้องใช้ทหารเรื่อกันไม่ให้เรือผู้อพยพเข้ามาในน่านน้ำ และใช้วิธีลากเรือผู้อพยพออกนอกเขตน่านน้ำของตนเช่นเดียวกัน หากผู้อพยพจมเรือ ก็จะเอาไปกักกันไว้ในเกาะคริสต์มาส ซึ่งออสเตรเลียถือว่าไม่ได้อยู่ในดินแดนของตน และสร้างค่ายอพยพให้คนเหล่านี้ไว้ และเมื่อไม่ถือว่าอยู่ในดินแดนของตน คนเหล่านี้จึงไม่ได้สิทธิในฐานะผู้ลี้ภัยตามอนุสัญญาว่าด้วยผู้ลี้ภัย (ที่ทั้งออสเตรเลียและอิตาลี เป็นภาคีอนุสัญญานี้ แต่ประเทศในอาเซียนทั้งหมดไม่มีใครกล้าเป็นภาคี เพราะอนุสัญญานี้ให้สิทธิผู้ลี้ภัยมากมาย และกำหนดให้รัฐบาลที่รับผู้ลี้ภัยไว้ต้องดูแลผู้ลี้ภัยดีกว่าที่ดูแลประชาชนของตัวเองเสียอีก)
ประเทศที่เคยทำตัวเป็นผู้ที่มีมนุษยธรรมสูงและชอบตำหนิประเทศอื่นว่าไม่ยอมรับผู้ลี้ภัย ในยุคที่เศรษฐกิจตกต่ำเช่นนี้ ก็ไม่กล้ามีปากเสียงออกมาอย่างเต็มที่ เพราะหากออกหน้ามาจะถูกสวนทันทีว่า ประเทศนั้นจะรับผิดชอบด้านการเงินไหม และจะรับคนพวกนี้ไปประเทศตัวเองไหม จะได้ส่งให้ทันที
UN ก็ไม่มีศักยภาพพอ เพราะมองเห็นแล้วว่าหากเข้าไปรับภาระเต็มๆ ด้วยตัว UN เอง ก็ต้องรับภาระทั้งหมด โดยเฉพาะด้านการเงิน ทั้งๆ ที UN ก็มีปัญหาด้านการเงินอยู่มากแล้ว จะหาเงินมาใช้แต่ละปีต้องรอประเทศผู้บริจาคซึ่งมีปัญหามากในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ถ้ามารับงานนี้เต็มตัว UN จะไม่มีเงินมาจ่าย ต้องตัดเนื้อตัวเอง และจะไปไม่รอดในที่สุด
นอกจากนั้น UN เองก็ไม่มีปัญญาที่จะไปจัดการกับประเทศพม่าให้ลดการกดดันโรฮีนจา และให้รับพวกโรฮีนจากลับ หากพม่ายอมรับกลับ และอยู่ร่วมกันโดยไม่กดดันชาวโรฮีนจา ปัญหาคงจะน้อยไปกว่านี้เยอะมาก
อีกประเด็นหนึ่งที่ประเทศในแถบนี้ไม่กล้ารับโรฮีนจาไว้และดูแลตามมาตรฐานที่ UN กำหนด เพราะยังมีชาวโรฮีนจาอีกล้านกว่าคนที่รอดูอยู่ หากเห็นว่าได้รับการดูแลดี อีกล้านกว่าคน หรืออย่างน้อยหลายแสนคนพร้อมที่จะเดินทางมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพม่าที่ต้องการไล่ชาวโรฮิงยาออกนอกประเทศอยู่แล้ว
ปัญหานี้จึงเป็นปัญหาที่ไม่มีทางออก แต่ประเทศในแถบนี้ (อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย สิงคโปร์ บรูไน) ไม่มีใครกล้ารับพวกนี้ไว้และปกป้องน่านน้ำของตนเองอย่างหนาแน่น
ปัญหาต่อไปคือคนกลุ่มนี้ คือพวกเหยื่อจากการค้ามนุษย์หรือไม่ คำตอบคือไม่ใช่ หลักๆ คือผู้ที่หลบหนีเข้าเมือง ที่ไปจ้างพวกขบวนการลักลอบพาคนเช้าเมืองให้พาเข้ามายังประเทศที่สาม ซึ่งชาวโรฮีนจาอยากไปมาเลเซียและอินโดนีเซียมากกว่าเนื่องจากเป็นประเทศมุสลิมด้วยกัน การจ้างพวกนี้พาเข้าเมืองโดยมีค่าจ้าง กรณีจึงไม่เป็นการค้ามนุษย์ แต่เป็นการลักลอบพาคนเข้าเมือง ตามข้อสัญญาและพิธีสารว่าด้วยการลักลอบพาคนเช้าเมืองของสหประชาชาติ (Smuggling of Migrants Protocol) เว้นแต่บางคนที่ถูกนำไปค้าประเวณีหรือไปบังคับใช้แรงงาน จึงจะเป็นเหยื่อจากการค้ามนุษย์ ซึ่งมีจำนวนน้อย แม้แต่การที่ถูกจับไปเรียกค่าไถ่ก็ไม่เข้าข่ายการเป็นเหยื่อในการค้ามนุษย์ แต่เป็นเหยื่ออาชญากรรมข้ามชาติ
กรณีนี้จึงอยู่ที่ความร่วมมือของทั้งสามชาติหลัก คือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย ที่จะต้องร่วมมือกันกำจัดกลุ่มที่ร่วมเป็นเครือข่ายการลักลอบพาคนเข้าเมือง ซึ่งมีทั้ง คนพม่า คนโรฮีนจา คนไทย คนมาเลเซีย และคนอินโดนีเซียอย่างเด็ดขาด โดยใช้กฎหมายใหม่ของไทย คือ พระราชบัญญัติ ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ อย่างเด็ดขาด เพราะคนพวกนี้เป็นต้นตอในการนำคนเหล้านี้ให้ลงทะเลข้ามมา และมาตกระกำลำบากอยู่ในเวลานี้ รัฐบาลต้องเอาจริงเอาจังในการปราบปรามและการกำจัดเจ้าหน้าที่ที่ทุจริต และเจ้าหน้าที่ต้องไม่เห็นแก่ได้ ต้องไม่รับเงิน และต้องจัดการปราบปรามอย่างจริงจัง ต้องกวาดล้างให้สิ้น เงินเล็กน้อยที่พวกนี้ได้มาจากการทุจริต แต่จะสร้างภาระให้ประเทศไทยไปชั่วลูกชั่วหลาน
กรณีนี้จึงเป็นการขัดกับความรู้สึกด้านมนุษยธรรมอย่างมาก เพราะมีชาวโรฮีนจาลอยคออยู่ แต่ไม่ประเทศไหนกล้าที่จะรับไว้ เว้นแต่ UN จะสามารถเจรจากับพม่าให้รับกลับคนเหล่านี้กลับไปอยู่ยังแผ่นดินเกิดของตนได้
วิเคราะห์แล้วก็เหนื่อยแทนครับ กับรัฐบาลคนที่ต้องแก้ปัญหาเหล่านี้ เพราะเป็นปัญหาที่ยากมาก เป็นปัญหาที่ไม่มีทางออก และเป็นปัญหาที่อังกฤษทิ้งไว้ให้เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว จริงๆ แล้วอังกฤษทิ้งปัญหาไว้ให้พม่าอีกหลายเรื่อง เรื่องหนึ่งที่มีผลต่อเนื่องจนเห็นได้ชัดคือเรื่องสนธิสัญญาปางหลวง ที่อังกฤษเข้ามาจัดการ จนทำให้พม่าต้องรบกับชนกลุ่มน้อยมา 70 กว่าปีแล้ว
ที่มา http://www.isranews.org/isra-news/item/38606-aa_38606.html
ทำไม ทุกประเทศในแถบนี้ ไม่ยอมรับโรฮีนจาให้ขึ้นฝั่งและให้ความช่วยเหลือโดยเฉพาะโรฮีนจาที่มาจากรัฐยะไข่ในพม่า
เพราะพม่าประกาศมาตั้งแต่ได้รับเอกราชมาจากอังกฤษเมื่อ 70 ปีมาแล้ว โรฮีนจาไม่ใช่คนพม่า แม้พม่าจะประกอบด้วยชนเผ่าต่างๆ เกือบ 140 ชนเผ่า ที่รัฐบาลพม่ายอมรับว่าเป็นคนสัญชาติพม่า แต่พม่าไม่เคยยอมรับว่าชนเผ่าโรฮีนจาเป็นหนึ่งในนั้น ในกฎหมายของพม่า ชาวโรฮีนจาไม่ได้รับการนับรวมเป็นชนเผ่าในพม่า ไม่ใช่พลเมือง และไม่ให้สิทธิต่างๆ ในฐานะพลเมือง ยังถือว่าเป็นผู้อาศัยเท่านั้น และกดดันด้วยวิธีต่างๆ อันสบเนื่องมากจากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์
ความไม่พอใจของพม่าที่มีต่อชาวโรฮีนจา มีมาตั้งแต่สงครามกับอังกฤษ รวมสามครั้ง สองครั้งแรก อังกฤษยึดพม่าตอนล่างรวมทั้งกรุงย่างกุ้งและเมืองต่างๆ บริเวณทางใต้ ครั้งที่สามอังกฤษตีเมืองมัณฑะเลย์ จับกษัตริย์พม่าและครอบครัวไปกักตัวไว้ที่เมืองรัตนคีรีในอินเดียจนตาย พร้อมทั้งยึดเอาทับทิม เพชรพลอยและสิ่งของมีค่า (ที่ราชวงศ์กษัตริย์ของพม่าสะสมไว้มากมายหลายหีบ) ไปจากพม่าเกือบหมด (พระเจ้าสีบ่อ กษัตริย์องค์สุดท้ายของพม่า เขียนจดหมายจากเมืองรัตนบุรีไปยังรัฐบาลอังกฤษหลายฉบับ เพื่อทวงคืนทับทิมและเพชรพลอยที่ถูกทหารอังกฤษแย่งเอาไป แต่ไม่ได้การตอบสนองแต่อย่างใด) และอังกฤษยึดพม่าไว้เป็นเมืองขึ้นทั้งประเทศ
ในการรบกับพม่า นอกจากทหารอังกฤษแล้ว อังกฤษยังเอาทหารกูรข่า และพวกโรฮีนจาจากอินเดีย (ปัจจุบันเป็นบังคลาเทศ) มาช่วยอังกฤษรบกับพม่า และเมื่ออังกฤษยึดครองพม่า ก็เปิดให้คนอินเดียอพยพเข้ามาทำมาหากินและค้าขายในพม่าได้สะดวก พวกโรฮีนจาที่มาช่วยรบก็ลงหลักปักฐานในพม่าและอีกจำนวนมากก็อพยพเข้ามาเพิ่มเติม จนปัจจุบันมีคนโรฮิงยาจำนวน 1.6 ถึง 2 ล้านคนในพม่า ซึ่งพม่ายังถือว่าพวกโรฮิงยาไม่ใช่พม่าเดิมและเป็นพวกศัตรู แม้โรฮีนจารุ่นแรกๆ จะล้มหายตายจากไปตามอายุขัยและลูกหลานรุ่นหลังๆ จะเกิดในพม่า แต่พม่าก็ยังถือว่าไม่มีทางที่จะเป็นคนพม่าได้ เป็นเพียงผู้อาศัยชั่วคราว ถ้าออกจากพม่าไปแล้วจะไม่ให้กลับเข้ามาอีกเด็ดขาด
แม้จะถูกกดดันจากพม่า แต่สถานการณ์ในบังคลาเทศก็ยิ่งยากจนกว่า และเป็นประเทศที่มีประชากรหนาแน่น พวกโรฮีนจาที่เกิดในพม่า เมื่อหลบหนีไปประเทศบังคลาเทศ ก็ไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นพลเมือง แม้จะเป็นคนเชื้อชาติเดียวกันและถือศาสนาอิสลามเหมือนกันก็ตาม มีโรฮีนจาจำนวนมากที่หนีไปบังคลาเทศ บังคลาเทศก็ไม่ให้เข้าประเทศ แต่จัดให้อยู่ในแค้มป์ผู้ลี้ภัยตามชายแดนซึ่งยากลำบากมาก และจะกลับเข้าพม่า พม่าก็ไม่ยอมให้กลับเช้ามา และทำทุกวิถีทางที่จะกำจัดคนพวกนี้ออกไปจากพม่า
ปัญหาจึงอยู่ตรงนี้ว่า คนโรฮีนจาจึงไม่เหมือนผู้ลี้ภัยกลุ่มอื่น และมีจำนวนมากเกือบสองล้านคน ที่อยู่ในความกดดันของพม่าอยู่ตลอดเวลา คนลี้ภัยหรือหนีภัยสงครามจากประเทศลาว เขมร เวียดนาม หรือพวกกะเหรียง หรือชนกลุ่มน้อยอื่น ที่เป็นผู้ลี้ภัยชั่วคราว เมื่อภัยนั้นพ้นไป ก็สามารถส่งกลับประเทศได้ เป็นการให้ที่พักพิงลี้ภัยชั่วคราว (แต่ก็เป็นภาระหนักมาก และอย่าไปหวังว่าประเทศอื่นจะเข้ามาช่วย แม้การรับพวกผู้อพยพไปประเทศที่สาม ก็ใช้เวลานานประมาณ 20 ปี โดยคัดเอาแต่คนหนุ่มสาวที่ไปเป็นกำลังแรงงานได้และมีความรู้ไป ทิ้งประชากรที่ด้อยคุณภาพไว้ให้ประเทศไทยรับเป็นภาระต่อมาจนทุกวันนี้) แต่ผู้ลี้ภัยโรฮีนจาจะเป็นผู้ลี้ภัยถาวร ไม่ว่าประเทศใดที่รับไว้ หมายความว่าต้องรับไว้ตลอดชีวิตตลอดจนลูกหลานที่จะเกิดตามมาในอนาคต ไม่มีทางที่จะส่งกลับไปได้ และ UNHCR ก็ไม่กล้าออกมาสนับสนุนเงินทุนเหมือนกรณีอื่น เพราะกรณีนี้หากมีการตั้งค่าย จะต้องเป็นค่ายถาวรไปไม่รู้ว่าจะจัดการส่งกลับต้นทางได้หรือไม่ (ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางทำได้) และจะตั้งค่ายไปตลอดชีวิตจนถึงชั้นลูกหลานได้อย่างไร ใครจะรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่าย ในที่สุดก็ต้องกดดันประเทศที่รับไว้ให้หาทางเลี้ยงคนพวกนี้ไปจนตายหรือยอมให้กลายเป็นพลเมือง
ด้วยเหตุนี้ ทั้งสามประเทศ คือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย จึงไม่กล้าที่จะรับชาวโรฮีนจามาไว้ในประเทศ ที่เข้ามาแล้วก็ผลักดันกันไปด้วยวิธีการนอกระบบ ด้วยการส่งออกไปทางชายแดนพม่า แต่ทั้งสามประเทศไม่ยอมให้เข้ามาในน่านน้ำตัวเอง ได้แต่ส่งน้ำ ส่งอาหารและซ่อมเรือให้ แล้วผลักดันออกไปในเขตทะเลสากล หรือในน่านน้ำของต่างประเทศ เพราะไม่มีใครที่กล้ารับภาระที่ไม่รู้จบในขณะที่ประเทศเหล่านี้ยังมีปัญหาประชาชนที่ยากจนและเศรษฐกิจที่ย่ำแย่อยู่
ทางตะวันตกที่เคยเสียงแข็งเรื่องสิทธิมนุษยชน ก็ไม่กล้าเอ่ยปากมากนัก เพราะในยุโรปเอง อิตาลีก็ใช้วิธีกันเรือผู้อพยพไม่ให้เข้ามาในน่านน้ำ เพราะอิตาลีเองก็เจอปัญหาผู้อพยพจากอาฟริกาเข้ามาในอิตาลีจำนวนมาก และได้ร้องขอให้ชาติในยูโรช่วย แต่ก็ถูกทอดทิ้งให้รับภาระตามลำพัง
ออสเตรเลียที่มักเน้นด้านมนุษยธรรมสูง ก็เจอปัญหาผู้อพยพทางเรือเข้าออสเตรเลียมากมาย จนออสเตรเลียต้องใช้ทหารเรื่อกันไม่ให้เรือผู้อพยพเข้ามาในน่านน้ำ และใช้วิธีลากเรือผู้อพยพออกนอกเขตน่านน้ำของตนเช่นเดียวกัน หากผู้อพยพจมเรือ ก็จะเอาไปกักกันไว้ในเกาะคริสต์มาส ซึ่งออสเตรเลียถือว่าไม่ได้อยู่ในดินแดนของตน และสร้างค่ายอพยพให้คนเหล่านี้ไว้ และเมื่อไม่ถือว่าอยู่ในดินแดนของตน คนเหล่านี้จึงไม่ได้สิทธิในฐานะผู้ลี้ภัยตามอนุสัญญาว่าด้วยผู้ลี้ภัย (ที่ทั้งออสเตรเลียและอิตาลี เป็นภาคีอนุสัญญานี้ แต่ประเทศในอาเซียนทั้งหมดไม่มีใครกล้าเป็นภาคี เพราะอนุสัญญานี้ให้สิทธิผู้ลี้ภัยมากมาย และกำหนดให้รัฐบาลที่รับผู้ลี้ภัยไว้ต้องดูแลผู้ลี้ภัยดีกว่าที่ดูแลประชาชนของตัวเองเสียอีก)
ประเทศที่เคยทำตัวเป็นผู้ที่มีมนุษยธรรมสูงและชอบตำหนิประเทศอื่นว่าไม่ยอมรับผู้ลี้ภัย ในยุคที่เศรษฐกิจตกต่ำเช่นนี้ ก็ไม่กล้ามีปากเสียงออกมาอย่างเต็มที่ เพราะหากออกหน้ามาจะถูกสวนทันทีว่า ประเทศนั้นจะรับผิดชอบด้านการเงินไหม และจะรับคนพวกนี้ไปประเทศตัวเองไหม จะได้ส่งให้ทันที
UN ก็ไม่มีศักยภาพพอ เพราะมองเห็นแล้วว่าหากเข้าไปรับภาระเต็มๆ ด้วยตัว UN เอง ก็ต้องรับภาระทั้งหมด โดยเฉพาะด้านการเงิน ทั้งๆ ที UN ก็มีปัญหาด้านการเงินอยู่มากแล้ว จะหาเงินมาใช้แต่ละปีต้องรอประเทศผู้บริจาคซึ่งมีปัญหามากในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ถ้ามารับงานนี้เต็มตัว UN จะไม่มีเงินมาจ่าย ต้องตัดเนื้อตัวเอง และจะไปไม่รอดในที่สุด
นอกจากนั้น UN เองก็ไม่มีปัญญาที่จะไปจัดการกับประเทศพม่าให้ลดการกดดันโรฮีนจา และให้รับพวกโรฮีนจากลับ หากพม่ายอมรับกลับ และอยู่ร่วมกันโดยไม่กดดันชาวโรฮีนจา ปัญหาคงจะน้อยไปกว่านี้เยอะมาก
อีกประเด็นหนึ่งที่ประเทศในแถบนี้ไม่กล้ารับโรฮีนจาไว้และดูแลตามมาตรฐานที่ UN กำหนด เพราะยังมีชาวโรฮีนจาอีกล้านกว่าคนที่รอดูอยู่ หากเห็นว่าได้รับการดูแลดี อีกล้านกว่าคน หรืออย่างน้อยหลายแสนคนพร้อมที่จะเดินทางมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพม่าที่ต้องการไล่ชาวโรฮิงยาออกนอกประเทศอยู่แล้ว
ปัญหานี้จึงเป็นปัญหาที่ไม่มีทางออก แต่ประเทศในแถบนี้ (อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย สิงคโปร์ บรูไน) ไม่มีใครกล้ารับพวกนี้ไว้และปกป้องน่านน้ำของตนเองอย่างหนาแน่น
ปัญหาต่อไปคือคนกลุ่มนี้ คือพวกเหยื่อจากการค้ามนุษย์หรือไม่ คำตอบคือไม่ใช่ หลักๆ คือผู้ที่หลบหนีเข้าเมือง ที่ไปจ้างพวกขบวนการลักลอบพาคนเช้าเมืองให้พาเข้ามายังประเทศที่สาม ซึ่งชาวโรฮีนจาอยากไปมาเลเซียและอินโดนีเซียมากกว่าเนื่องจากเป็นประเทศมุสลิมด้วยกัน การจ้างพวกนี้พาเข้าเมืองโดยมีค่าจ้าง กรณีจึงไม่เป็นการค้ามนุษย์ แต่เป็นการลักลอบพาคนเข้าเมือง ตามข้อสัญญาและพิธีสารว่าด้วยการลักลอบพาคนเช้าเมืองของสหประชาชาติ (Smuggling of Migrants Protocol) เว้นแต่บางคนที่ถูกนำไปค้าประเวณีหรือไปบังคับใช้แรงงาน จึงจะเป็นเหยื่อจากการค้ามนุษย์ ซึ่งมีจำนวนน้อย แม้แต่การที่ถูกจับไปเรียกค่าไถ่ก็ไม่เข้าข่ายการเป็นเหยื่อในการค้ามนุษย์ แต่เป็นเหยื่ออาชญากรรมข้ามชาติ
กรณีนี้จึงอยู่ที่ความร่วมมือของทั้งสามชาติหลัก คือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย ที่จะต้องร่วมมือกันกำจัดกลุ่มที่ร่วมเป็นเครือข่ายการลักลอบพาคนเข้าเมือง ซึ่งมีทั้ง คนพม่า คนโรฮีนจา คนไทย คนมาเลเซีย และคนอินโดนีเซียอย่างเด็ดขาด โดยใช้กฎหมายใหม่ของไทย คือ พระราชบัญญัติ ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ อย่างเด็ดขาด เพราะคนพวกนี้เป็นต้นตอในการนำคนเหล้านี้ให้ลงทะเลข้ามมา และมาตกระกำลำบากอยู่ในเวลานี้ รัฐบาลต้องเอาจริงเอาจังในการปราบปรามและการกำจัดเจ้าหน้าที่ที่ทุจริต และเจ้าหน้าที่ต้องไม่เห็นแก่ได้ ต้องไม่รับเงิน และต้องจัดการปราบปรามอย่างจริงจัง ต้องกวาดล้างให้สิ้น เงินเล็กน้อยที่พวกนี้ได้มาจากการทุจริต แต่จะสร้างภาระให้ประเทศไทยไปชั่วลูกชั่วหลาน
กรณีนี้จึงเป็นการขัดกับความรู้สึกด้านมนุษยธรรมอย่างมาก เพราะมีชาวโรฮีนจาลอยคออยู่ แต่ไม่ประเทศไหนกล้าที่จะรับไว้ เว้นแต่ UN จะสามารถเจรจากับพม่าให้รับกลับคนเหล่านี้กลับไปอยู่ยังแผ่นดินเกิดของตนได้
วิเคราะห์แล้วก็เหนื่อยแทนครับ กับรัฐบาลคนที่ต้องแก้ปัญหาเหล่านี้ เพราะเป็นปัญหาที่ยากมาก เป็นปัญหาที่ไม่มีทางออก และเป็นปัญหาที่อังกฤษทิ้งไว้ให้เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว จริงๆ แล้วอังกฤษทิ้งปัญหาไว้ให้พม่าอีกหลายเรื่อง เรื่องหนึ่งที่มีผลต่อเนื่องจนเห็นได้ชัดคือเรื่องสนธิสัญญาปางหลวง ที่อังกฤษเข้ามาจัดการ จนทำให้พม่าต้องรบกับชนกลุ่มน้อยมา 70 กว่าปีแล้ว
ที่มา http://www.isranews.org/isra-news/item/38606-aa_38606.html
ความคิดเห็นที่ 14
เคยดูสารคดีของฝรั่ง พูดถึงบังคลาเทศว่าเขาเริ่มยอมรับการคุมกำเนิด พร้อมกับมีความหวังว่าจะสามารถมีชีวิตที่ดีขึ้น
เด็กๆก็ได้รับการส่งเสริมจากพ่อแม่ให้แสวงหาการศึกษาเพื่อพัฒนาตนเอง
ตอนดูผมก็กังขาว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า เพราะบังคลาเทศมีประชากรเยอะมากๆ
แล้วก็เพราะเคยได้ยินได้ฟังมาว่าสังคมมุสลิมหลายที่ล้าหลัง คนไม่รู้จักการคุมกำเนิด ไม่รับการศึกษา ต่อต้านการศึกษา จะเรียนแต่ศาสนา
ถ้าบังคลาเทศเป็นประเทศที่พยายามพัฒนาตัวเองอย่างที่ว่าก็น่าเห็นใจเขา เพราะตัวเขาเองพยายามคุมกำเนิดแต่กลับมีใครไม่รู้มาอยู่
แล้วไม่ทำตามมาตรฐานของสังคมเขา
เด็กๆก็ได้รับการส่งเสริมจากพ่อแม่ให้แสวงหาการศึกษาเพื่อพัฒนาตนเอง
ตอนดูผมก็กังขาว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า เพราะบังคลาเทศมีประชากรเยอะมากๆ
แล้วก็เพราะเคยได้ยินได้ฟังมาว่าสังคมมุสลิมหลายที่ล้าหลัง คนไม่รู้จักการคุมกำเนิด ไม่รับการศึกษา ต่อต้านการศึกษา จะเรียนแต่ศาสนา
ถ้าบังคลาเทศเป็นประเทศที่พยายามพัฒนาตัวเองอย่างที่ว่าก็น่าเห็นใจเขา เพราะตัวเขาเองพยายามคุมกำเนิดแต่กลับมีใครไม่รู้มาอยู่
แล้วไม่ทำตามมาตรฐานของสังคมเขา
แสดงความคิดเห็น
บทเรียนการตั้งแค้มป์ชาวโรฮิงยาในบังคลาเทศ
Population growth rate and the family size of the Rohingya refugees are much higher than those of the Bangladeshis.
According to the 2011 census, the average family size in the country is 4.4. But local officials say the figure is over 8 in the Rohingya refugee camps. Bangladesh’s population growth rate is 1.34%; but the Rohingyas are growing at about 4% annually.
http://www.dhakatribune.com/bangladeshis/2014/jul/11/bangladeshis-can%E2%80%99t-marry-rohingya-refugees
ปัญหาสำคัญคือ ชาวโรฮิงยาขนาดอยู่ในแค้มป์อพยพ เล่นออกลูกออกหลานมากันเต็มไปหมด ปกติครอบครัวคนบังคลาเทศก็เป็นครอบครัวใหญ่อยู่แล้ว มีสมาชิกในบ้านเฉลี่ย 4.4 คน แต่ชาวโรฮิงยา"ในแค้มป์"สร้างครอบครัวที่อบอุ่นมีสมาชิกกันมโหฬาร มากกว่า 8 คนต่อครอบครัว ทำให้จำนวนประชากรโรฮิงยาเพิ่มขึ้นปีละ 4% จากการสำรวจในปี 2011 ขณะที่ประชากรของบังคลาเทศเองเพิ่มแค่ 1% กว่าๆ (เทียบกับประเทศไทย ช่วงเวลาเดียวกันเพิ่มไม่ถึง 1%)
อ่านจากข่าว ทางการบังคลาเทศเป็นห่วงปัญหาการเพิ่มประชากรของชาวโรฮิงยานี้มาก เพราะนอกจากจะมีครอบครัวกันเอง ชาวโรฮิงยายังไปแต่งกับคนบังคลาเทศเพื่อให้ได้สัญชาติ พอได้สัญชาติก็ไปเอาญาติพี่น้องมาอยู่อีก บังคลาเทศถึงกับออกมาตรการ ห้ามคนโรฮิงยาแต่งงานกับคนในประเทศอย่างเด็ดขาด ถือเป็นนโยบาย zero tolerance
อ่านแล้วก็เห็นใจบังคลาเทศไม่น้อย ปกติบังคลาเทศก็เป็นประเทศที่มีประชากรหนาแน่นมากเป็นอันดับต้นๆของโลกอยู่แล้ว เจอแบบนี้เข้าไปก็คงไม่ไหว
ข่าวนี้เป็นข่าวของปีที่แล้ว ปีนี้ถึงมีข่าวบังคลาเทศไม่ค่อยอยากรับชาวโรฮิงยาอีกต่อไป ใครที่หงุดหงิดที่เห็นบังคลาเทศไม่ช่วยชาวโรฮิงยา ทั้งๆที่เป็นคนเชื้อชาติเดียวกัน คงเข้าใจเขามากขึ้น