การวิจัยทางการแพทย์ ที่มา และประโยชน์ต่อสังคม
มีคำคำหนึ่งที่ผมได้ยินมาตั้งแต่เด็กซึ่งตอนนั้นยังไม่เข้าใจความหมาย จนโตมาแล้วได้มาเรียนและทำงานในสาขาที่ต้องมีการทำวิจัยร่วมด้วย กลับกลายเป็นความไม่ชอบใจส่วนตัวเล็ก ๆ กับคำว่า "หนูทดลอง" หรือ "หนูลองยา" เพราะคนพูดส่วนใหญ่มักจะพูดไปในแนวทางที่ไม่ดีนัก และมองเอาหนูหรืออาจจะเป็นคนที่เข้าร่วมในงานวิจัยนั้น ต้องมาโดนอะไรแปลก ๆ อันตรายโดยไม่ได้มีการรับรองใด ๆ
คำว่า หนูทดลอง ถ้าพูดถึงหนูจริง ๆ ผมขอออกตัวก่อนเลยว่า ผมไม่มีประสบการณ์ด้านนี้ แต่ที่ได้ลองคุยกับคนอื่น ๆ ที่เคยทำการวิจัย กว่าจะมาเป็นการวิจัยนั้น จะต้องมีการพิจารณาถึงความเหมาะสม และได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการตรวจสอบจริยธรรมโดยมักจะมีคำถามที่ว่า ทำไปแล้วจะให้ประโยชน์ใด ๆ หรือไม่ คุ้มค่าต่อการสูญเสียชีวิตของพวกเค้าไหม ใช้จำนวนพวกเค้ามาทดลองน้อยกว่านี้ได้หรือไม่ และที่สำคัญ พวกเค้าต้องไม่ทรมานนะ ซึ่งถ้าคำถามพวกนี้ไม่ผ่าน การวิจัยนั้นก็จะไม่เกิดขึ้นมาครับ
คราวนี้ย้อนกลับมาการวิจัยทางการแพทย์บ้างครับ มาดูว่าก่อนที่จะมีการคิดค้นองค์ความรู้ได้ใหม่มาหนึ่งอย่าง ต้องผ่านกระบวนการใดบ้าง โดยจะพูดเน้นในส่วนของผู้เข้าร่วมทำการวิจัยนะครับ
1. การกำหนดหัวข้อและวัตถุประสงค์ของการทดลอง: อันนี้เป็นขั้นตอนที่ยากที่สุดในความคิดผมครับ เพราะเราจะต้องมีคำถามในหัวซึ่งเป็นสิ่งที่ยังไม่เคยมีใครรู้มาก่อน และต้องถามย้ำกับตัวเองว่า "ทำไปแล้ว ได้ประโยชน์ต่อส่วนรวมหรือไม่" ไม่งั้นจะกลายเป็นคำถามจากคนอื่น ๆ ว่า "ทำไปทำไม"
2. ตรวจสอบจริยธรรม: คล้าย ๆ กับที่ผมกล่าวไปก่อนหน้านี้ครับ แต่ขอเพิ่มเติมในส่วนที่ว่า ผู้เข้าร่วมวิจัย "จะต้องได้รับการรักษาและการปฏิบัติตามมาตรฐานที่มีอยู่" และ "ต้องไม่ได้รับการกระทำใด ๆ ที่ทำให้แย่ลงหรือก่อให้เกิดโทษ" ครับ สรุปคือ ผู้เข้าร่วมงานวิจัย ได้รับการปฏิบัติตามปรกติครับ และที่สำคัญจะต้องไม่ลำบากในด้านอื่น ๆ เช่น การเดินทาง เป็นต้น
3. ขออนุญาตผู้เข้าร่วมวิจัย: ขั้นตอนนี้ผู้ที่จะทำการวิจัยจะต้องอธิบายต่อคนที่จะเข้าร่วม ไม่ใช่กับญาติหรือคนรู้จักใด ๆ โดยอธิบายถึงผลดี ผลเสีย ขั้นตอนต่าง ๆ ถ้าไม่ได้รับการอนุญาตจากคนนั้น ก็จะไม่นำมาเข้าร่วมงานวิจัยครับ
มาถึงจุดนี้มักจะมีคนตั้งคำถามในโรคบางโรคประมาณว่า ทำไปก็เห็นคนตายเท่าเดิม อันนี้ส่วนตัวผมขอเห็นต่างนะครับ ยกตัวอย่างง่าย ๆ โรคมะเร็ง ส่วนมากคนที่เป็นโรคก็เสียชีวิตอยู่แล้ว --> แต่คนไข้กลุ่มนี้เค้ามีอายุที่ยาวมากกว่าแต่ก่อน มีชีวิตที่เหลือแบบสุขสบายมากขึ้น สิ่งที่ช่วยคนไข้กลุ่มนี้ก็คือการคิดค้นยาเคมีบำบัด และก็มะเร็งบางประเภทด้วยนะครับ ที่หายขาดได้ด้วยจากยาเคมีบำบัด
เพราะฉะนั้น อย่าอคติต่อคำว่า การทดลองหรืองานวิจัย เลยครับ เพราะที่เราสบาย มีสุขภาพที่แข็งแรงและยืนยาวมากขึ้น มียาปฏิชีวนะให้เราใช้อยู่ทุกวันนี้ ก็มาจากสิ่งเหล่านี้นั้นแหละครับ
Facebook page: ลูกพี่กบ แห่งหุบเขาเมียวโบคุซัน
การวิจัยทางการแพทย์ ที่มา และประโยชน์ต่อสังคม
มีคำคำหนึ่งที่ผมได้ยินมาตั้งแต่เด็กซึ่งตอนนั้นยังไม่เข้าใจความหมาย จนโตมาแล้วได้มาเรียนและทำงานในสาขาที่ต้องมีการทำวิจัยร่วมด้วย กลับกลายเป็นความไม่ชอบใจส่วนตัวเล็ก ๆ กับคำว่า "หนูทดลอง" หรือ "หนูลองยา" เพราะคนพูดส่วนใหญ่มักจะพูดไปในแนวทางที่ไม่ดีนัก และมองเอาหนูหรืออาจจะเป็นคนที่เข้าร่วมในงานวิจัยนั้น ต้องมาโดนอะไรแปลก ๆ อันตรายโดยไม่ได้มีการรับรองใด ๆ
คำว่า หนูทดลอง ถ้าพูดถึงหนูจริง ๆ ผมขอออกตัวก่อนเลยว่า ผมไม่มีประสบการณ์ด้านนี้ แต่ที่ได้ลองคุยกับคนอื่น ๆ ที่เคยทำการวิจัย กว่าจะมาเป็นการวิจัยนั้น จะต้องมีการพิจารณาถึงความเหมาะสม และได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการตรวจสอบจริยธรรมโดยมักจะมีคำถามที่ว่า ทำไปแล้วจะให้ประโยชน์ใด ๆ หรือไม่ คุ้มค่าต่อการสูญเสียชีวิตของพวกเค้าไหม ใช้จำนวนพวกเค้ามาทดลองน้อยกว่านี้ได้หรือไม่ และที่สำคัญ พวกเค้าต้องไม่ทรมานนะ ซึ่งถ้าคำถามพวกนี้ไม่ผ่าน การวิจัยนั้นก็จะไม่เกิดขึ้นมาครับ
คราวนี้ย้อนกลับมาการวิจัยทางการแพทย์บ้างครับ มาดูว่าก่อนที่จะมีการคิดค้นองค์ความรู้ได้ใหม่มาหนึ่งอย่าง ต้องผ่านกระบวนการใดบ้าง โดยจะพูดเน้นในส่วนของผู้เข้าร่วมทำการวิจัยนะครับ
1. การกำหนดหัวข้อและวัตถุประสงค์ของการทดลอง: อันนี้เป็นขั้นตอนที่ยากที่สุดในความคิดผมครับ เพราะเราจะต้องมีคำถามในหัวซึ่งเป็นสิ่งที่ยังไม่เคยมีใครรู้มาก่อน และต้องถามย้ำกับตัวเองว่า "ทำไปแล้ว ได้ประโยชน์ต่อส่วนรวมหรือไม่" ไม่งั้นจะกลายเป็นคำถามจากคนอื่น ๆ ว่า "ทำไปทำไม"
2. ตรวจสอบจริยธรรม: คล้าย ๆ กับที่ผมกล่าวไปก่อนหน้านี้ครับ แต่ขอเพิ่มเติมในส่วนที่ว่า ผู้เข้าร่วมวิจัย "จะต้องได้รับการรักษาและการปฏิบัติตามมาตรฐานที่มีอยู่" และ "ต้องไม่ได้รับการกระทำใด ๆ ที่ทำให้แย่ลงหรือก่อให้เกิดโทษ" ครับ สรุปคือ ผู้เข้าร่วมงานวิจัย ได้รับการปฏิบัติตามปรกติครับ และที่สำคัญจะต้องไม่ลำบากในด้านอื่น ๆ เช่น การเดินทาง เป็นต้น
3. ขออนุญาตผู้เข้าร่วมวิจัย: ขั้นตอนนี้ผู้ที่จะทำการวิจัยจะต้องอธิบายต่อคนที่จะเข้าร่วม ไม่ใช่กับญาติหรือคนรู้จักใด ๆ โดยอธิบายถึงผลดี ผลเสีย ขั้นตอนต่าง ๆ ถ้าไม่ได้รับการอนุญาตจากคนนั้น ก็จะไม่นำมาเข้าร่วมงานวิจัยครับ
มาถึงจุดนี้มักจะมีคนตั้งคำถามในโรคบางโรคประมาณว่า ทำไปก็เห็นคนตายเท่าเดิม อันนี้ส่วนตัวผมขอเห็นต่างนะครับ ยกตัวอย่างง่าย ๆ โรคมะเร็ง ส่วนมากคนที่เป็นโรคก็เสียชีวิตอยู่แล้ว --> แต่คนไข้กลุ่มนี้เค้ามีอายุที่ยาวมากกว่าแต่ก่อน มีชีวิตที่เหลือแบบสุขสบายมากขึ้น สิ่งที่ช่วยคนไข้กลุ่มนี้ก็คือการคิดค้นยาเคมีบำบัด และก็มะเร็งบางประเภทด้วยนะครับ ที่หายขาดได้ด้วยจากยาเคมีบำบัด
เพราะฉะนั้น อย่าอคติต่อคำว่า การทดลองหรืองานวิจัย เลยครับ เพราะที่เราสบาย มีสุขภาพที่แข็งแรงและยืนยาวมากขึ้น มียาปฏิชีวนะให้เราใช้อยู่ทุกวันนี้ ก็มาจากสิ่งเหล่านี้นั้นแหละครับ
Facebook page: ลูกพี่กบ แห่งหุบเขาเมียวโบคุซัน