บันทึกชีวิต แง้มนิด ปิดหน่อยของคนชื่อต๋อง-2/49 วัยเยาว์อันเย้ายวน ( ต่อ )

นอกจากจะเล่นเกมโน่นนี่นั่นกันหนุกหนานบานตะเกียงแล้ว ( ตามมาตราส่วน 2 บานตะเกียงเป็น 1 บานตะไท ) ก๊วนแก๊งของเรายังคิดหาอะไรแปลก ๆมาเล่นมาทำกันอีกตะหาก อย่างเช่น เล่นสร้างบ้านโดยใช้ท่อนไม้ลังไม้ฉำฉาใหญ่ ๆมาทำเป็นเสาค้ำ แล้วเอากระดาษลังมาฉีกแผ่มุงเป็นหลังคาและล้อมเป็นฝาบ้าน แล้วก็ขุดหลุมทำเตาทอดไข่เจียวหุงข้าวกินกัน

บางทีก็จัดประกวดนางสาวไทยตามแบบในทีวีซะเลย แจกรางวัลเสร็จ เป็นเรื่องเพราะคนที่พลาดรางวัลเกิดไม่ยอม ร้องไห้กลับบ้านไปฟ้องแม่ จนต้องเพิ่มรางวัลกันในปีนั้นเป็นพิเศษ ตัดฉากไปที่การจิ๊กเงินพ่อแม่ เชื่อมั้ยเราไม่เคยจิ๊กเงินพ่อแม่แบบเพื่อน ๆ เลยนะ เพราะเก๊ะเงินทั้งหนักทั้งใหญ่เปิดยากมาก ๆ แต่เราใช้วิธีไปเก็บเศษเหรียญที่หล่นลอดลงมาจากช่องในเก๊ะเงินแทน วันนึง ๆก็ได้หลายหยวนอยู่

พวกเรายังมีวิธีหาเงินอีกแบบนึงด้วย โดยการลอดเข้าไปใต้ยกพื้นร้านค้าที่ข้างล่างเป็นพื้นดิน เราลอดกันตั้งแต่หัวแถวไปจนถึงท้ายแถวทีเดียว สมัยนั้นพื้นร้านค้าจะเป็นไม้กระดานทั้งหมด พวกเศษเหรียญรวมทั้งแบ๊งค์ของลูกค้าบ้างของพ่อค้าแม่ค้าบ้างจะหล่นลอดช่องตารางตอนซื้อ ๆขาย ๆ เลยกลายเป็นขุมทรัพย์ใต้ยกพื้นให้พวกเราได้แย่งชิงกันอย่างหนุกหนานบานใจ ( 2 บานใจเท่ากับ 1 บานตะเกียง ) ลองนึกภาพการนั่งยอง ๆแล้วต้องคืบเท้าเพื่อแซงขึ้นหน้าพรรคพวกเวลาที่เห็นแสงสะท้อนวิบ ๆแวม ๆมาแต่ไกลดูก็แล้วกันว่ามันจะทุลักทุเลทุเรศทุรังปานไหน

แต่นั่นก็เป็นหนึ่งในประสบการณ์วัยเยาว์ที่เย้ายวนให้ถวิลหาอยู่เนือง ๆทีเดียวเชียว อ้อ มีเกล็ดอย่างนึงในเรื่องนี้คือ เวลาที่เราเห็นเหรียญหรือแบ๊งค์ได้ชัดเจนจากด้านบน เราจะเอาไม้ยาว ๆติดก้อนข้าวเหนียวแล้วสอดลงไปติดหนึบมันขึ้นมา แต่ถ้ามันจมอยู่ในน้ำหรือเปียกน้ำอยู่ก็เป็นอันต้องรอขบวนการ " กระดื๊บล่าสมบัติ"ในรอบต่อไปนั่นล่ะ

นอกจากพวกเราจะเล่นกันภาคกลางวันแล้ว เรายังมีภาคกลางคืนต่ออีกด้วย มีทั้งทำกล่องฉายหนัง โดยวาดภาพใส่แผ่นพลาสติกใสแล้วเอามาม้วน ๆกับแกนกระดาษ แล้วเอาไฟฉาย ๆขึ้นจอมุ้ง บางทีก็เล่นเงาจากไฟฉายบ้าง จากแสงไฟรถที่วิ่งผ่านไปผ่านมาบ้าง

สมัยนั้น ไม่รู้ว่าทีวีไม่ค่อยมีอะไรดูหรือว่าโดนพ่อแม่แย่งดูหรือยังไงก็เหลือเดา พวกเราจึงชอบที่จะมาแกร่วมาเล่นหยอกเอินกันมากกว่า และนั่นก็เป็นเหตุให้พวกเราในยุคนั้นต้องคอยคิดหาเกมหรืออะไรมาทำมาเล่นกันอยู่ตลอดเวลา เรียกว่าต้องเป็นครีเอทีฟกันตั้งแต่เล็กแต่น้อยกันทีเดียว

บางวันเราก็ไปเอาก้อนปูนมวลเบาจากตึกร้างมาตัดกระเทาะฝนเป็นพระเครื่องรุ่นนั้นรุ่นนี้ เสร็จแล้วก็เอามาคลุกดินทำให้ดูเก่า ๆแล้วเอาไปทิ้งไว้ริมทางเดิน จากนั้นก็แอบซุ่มดูว่าจะมีใครเป็นเหยื่อเก็บเอาไปบูชาด้วยความเริงโลดยินดีบ้าง
ที่แน่ ๆกิจกรรมทุก ๆเย็นที่เด็กอย่างพวกเราไม่ยอมพลาดคือ การวิ่งไล่เก็บใบปลิวโฆษณาหนังที่รถแห่โปรยลงมาตามทางตอนแห่โฆษณาหนังที่จะฉายในคืนนั้น ๆ เป็นอะไรที่สนุกมาก ๆ แบบที่ทำกันได้ทุกวันไม่มีเบื่อ ส่วนวันไหนที่เรามีโปรแกรมจะไปดูหนังก็จะกินข้าวอาบน้ำแล้วออกมานั่งจับกลุ่ม เม้าท์กันที่หน้าบ้าน พอได้ยินเสียงเพลงมาร์ชอะไรสักอย่างที่โรงหนังเปิด ( ประมาณว่า แถ่นทะและแลนแท้นแทน แทนแถ่น.... ) ก็เป็นอันได้เวลาเคลื่อนลี้พลกันได้

ตอนนั้นโรงหนังเป็นอาคารปูนชั้นเดียว เก้าอี้ไม้ พื้นเป็นดิน ดู ๆไป บางทีก็ต้องคอยหลบหนูหรือไม่ก็กระแสน้ำอุ่นกุมารชิโว หรือกุมารีชิโยไปด้วย ส่วนค่าตั๋ว เท่าที่จำได้น่าจะอยู่ที่ห้าถึงสิบบาทนี่แหละ........มั้ง ( ตอนหลังมีลูกเสี่ยใหญ่โรงสีสร้างอีกโรงขึ้นมาแข่ง เป็นอาคารตึกสองชั้น เก้าอี้บุอย่างดีสีแดง แต่ไม่นานก็พ่ายกระแสร้านเช่าวิดีโอ กลายเป็นโรงหนังร้างไปทั้งสองแห่งนั่นแล )
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่