วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 17:00น. ณ บ้านทาวน์เฮ้าส์ย่านสมุทรปราการหลังหนึ่งกับบรรยากาศยามเย็นที่แสนจะอบอ้าว ไม่มีแม้แต่ลมพัดที่จะทำให้รู้สึกสบายกาย แน่นอนครับในบ้านหลังนั้นที่ตอนนี้ได้เปิดแอร์เอาไว้มาตลอด 4 ชั่วโมง มีเด็กหนุ่มอายุ 24 ปีกำลังง่วนอยู่กับการจัดกระเป๋าสำหรับการแบ็กแพ็คในต่างแดนครั้งแรก ถึงแม้เค้าจะมีประสบการณ์การการเดินทางในประเทศมาอยู่บ้าง แต่ทริปนี้ก็เป็นทริปต่างแดนทริปแรกของเด็กหนุ่มคนนี้เหมือนกัน ซึ่งตอนนี้ดูจากสีหน้าของเด็กหนุ่มคนนี้แล้ว บ่งบอกถึงความกังวลมิใช่น้อย แต่ถึงแม้จะมีความกังวลอยู่บ้าง แต่ดูจากสายตาเค้าแล้วยังคงฉายแววแห่งความมุ่งมั่นผสมกับความท้าทายไปในตัว ทำให้ใบหน้าเค้ายิ่งทำให้หน้าค้นหามากขึ้นกว่าเดิมว่า ตอนนี้เค้ารู้สึกยังไง อารมณ์ไหน
หลังจากจัดของเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มคนนั้นก็เหลือบแหงนมองดูนาฟิกาที่แปะอยู่เหนือกำแพง "5 โมงแล้วเหรอวะเนี่ย" ไม่รอช้า เด็กหนุ่มรีบเดินไปยังโต๊ะอาหาร ซึ่งตอนนี้เต็มไปด้วยกับข้าวหลากหลายชนิดที่แม่ของเค้าได้เตรียมไว้ให้ก่อนออกเดินทาง เด็กหนุ่มรีบคว้าจาน ช้อนส้อม และทัพพีมาตักข้าวจนพูนจาน ในใจก็คิดว่านี่คงเป็นมื้อสุดท้ายที่อร่อยที่สุดตอนที่อยู่เมืองไทยแล้วสินะ หลังจากที่ดื่มด่ำกับรสชาติอาหารที่ถูกปากแล้ว เด็กหนุ่มก็รีบจัดแจงเก็บจานข้าวไปวางไว้ในอ่างล้านจานหลังบ้าน ก่อนที่จะเดินมาดูนาฬิกาเรือนเดิมอีกรอบ "5 โมงครึ่งแล้ว" เด็กหนุ่มใช้เวลาอีกครึ่งชั่วโมงที่เหลือ ใช้เวลาอยู่กับตัวเองคนเดียวเงียบๆเงียบๆ นั่งไปได้สักพัก จู่ๆก็มีเสียงภายในใจพูดมาว่า"ทริปนี้ต้องสนุกแน่ๆ" รอยยิ้มแห่งความสุขเริ่มปรากฏบนใบหน้าของเด็กหนุ่มทีละน้อยๆๆ ไม่รอช้าเด็กหนุ่มคว้าเป้สีเหลือง ล็อกกุญแจบ้าน ฝากให้ป้าข้างบ้านช่วยเก็บให้ แล้วพาตัวเองเดินออกจากบ้านทันที
การเดินทางของเด็กหนุ่มกับทริปต่างแดน ณ วังเวียง ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตย ประชาชนลาว ได้เริ่มขึ้นแล้ว
สวัสดีพี่ๆน้องๆชาวพันทิปครับ หลายท่านคงเริ่มรำคาญแล้วว่า ไอ้หมอนี่มันเพ้ออะไรของมัน ยาว

5555 เอาเป็นว่าผมชื่อ บอล ครับ อายุ 24 ปี พักอยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการครับ กระทู้นี้ถือเป็นกระทู้แรกของผมเลยครับที่จะนำข้อมูลและประสบการณ์การเดินทางที่ประเทศลาว มาแบ่งปันให้ชาวพันทิปได้อ่านกัน ถึงแม้ว่าทริปวังเวียงนั้น จะมีคนเข้ามารีวิวค่อนข้างมากแล้ว แต่รีวิวของผมนั้นจะเน้นไปที่การบรรยายบรรยากาศการเดินทางและความรู้สึกของผม รวมไปถึงเพื่อนร่วมเดินทางที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขไปตลอดทั้งทริปนี้ของผมด้วยครับ หวังว่าหลายท่านที่ได้อ่านรีวิวนี้จะได้ความเพลิดเพลิน ผสมกับความเฮฮา และจะดีที่สุดถ้ารีวิวของผมครั้งนี้ทำให้บางท่านที่คิดอยากจะออกเดินทางคนเดียว แต่ยังขาดความกล้าอยู่ ได้ทำให้ท่านก้าวข้ามความกล้ว และออกมาผจญภัยในโลกกว้างได้อย่างเต็มภาคภูมิ แค่นี้ผมก็มีความสุขมากแล้วครับ ว่าแล้วก็ลุยเลยครับ โกๆๆๆๆ
วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ.2558 เวลา 19:00 น.
ผมออกเดินทางตรงกับวันแรงงานแห่งชาติพอดี ซึ่งแน่นอนว่ารัฐบาลประกาศให้หยุดยาวจนถึงวันที่ 5 เลยครับ ทำให้ช่วงเวลานี้ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมือนกับวันสงกรานต์เลยครับ หรือพูดง่ายๆคือ น้องๆสงกรานต์นั่นแหละครับ ผมจึงต้องเผื่อเวลาการเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง เผื่อเวลารถติดระหว่างทางครับ ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ผมเลือกเดินทางโดยใช้รถไฟเพื่อประชาชน(รถไฟฟรีอะครับ 555) ผมมีแผนคร่าวๆว่าจะเดินทางไปหนองคายโดยใช้รถไฟฟรี เมื่อถึงหนองคายแล้วผมจะเดินทางไปด่านชายแดนไทย-ลาวเพื่อทำเรื่องเข้าประเทศลาว หลังจากนั้นก็จะหารถเมล์นั่งไปวังเวียงครับ แผนคร่าวๆของผมมีแค่นั้นจริงๆ ส่วนเรื่องที่พักนั้นไม่ใช่ปัญหาครับ ผมคิดว่าไป walk in หาที่นั่นเลย (ข้อมูลนี้ผมได้มาจากพี่ๆน้องๆใน pantip ที่เคยตั้งกระทู้เรื่อง การไปเที่ยววังเวียงมาครับ) เริ่มเข้าเรื่องเลยครับ ผมไปถึงที่สถานีรถไฟหัวลำโพงประมาณ 1 ทุ่มครับ โดยทริปนี้มีเพื่อนร่วมทริปของผมที่จะร่วมชะตากรรมไปในครั้งนี้ด้วย 1 คนครับ มันชื่อเดียวกับผมเลย 555(ชื่อโคตรโหลอะ) ต้องบอกเลยว่าบรรยากาศหัวลำโพงในวันนี้น คาคลั่งไปด้วยผู้คนเต็มไปหมดเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นลูกเด็ก เล็กแดง ผู้หญิง ผู้ชาย ฝรั่ง มะคุด ทุเรียน(2 อันหลังไม่เกี่ยวครับ เพลินไปหน่อย 555) แตก่อนที่นี่บริเวณโถงที่รอของผู้โดยสาร รวมไปถึงที่จำหน่ายตั๋ว ยังไม่มีแอร์นะครับ เดี๋ยวนี้ดีหน่อย ติดแอร์ให้ด้วย เย็นเชียว หลังจากที่ผมถึงหัวลำโพงแล้ว ผมก็เดินไปบริเวณที่จำหน่ายตั๋วรถไฟทันทีครับ ต้องบอกลักษณะก่อนว่าบริเวณที่จำหน่ายตั๋วนั้น จะมีลักษณะเป็นห้องกระจกบล็อกเล็กๆที่เรียงติดกัน ไว้สำหรับให้พนักงานนั่งประจำกันในแต่ละบล็อก ส่วนบริเวณที่เป็นบริเวณผู้โดยสารยืนรอซื้อตั๋วนั้น จะมีลักษณะเป็นโครงอลูมิเนียมขนาดความสูงประมาณ 1 เมตร ความยาวน่าจะประมาณ 4-5 เมตรนได้ครับ คั่นเป็นช่องๆเรียงต่อกันไปจนสุดห้องจำหน่ายตั๋วห้องสุดท้าย บรรยากาศตอนนั้นคาคลั่งไปด้วยผู้คนที่ยืนรอซื้อตั๋วกันหนาตาเลยครับ ผมรีบกดโทรศัพท์โทรหาเพื่อนทันทีครับ เพื่อนัดให้มันมาเจอกันที่นี่ เพราะตอนแรกก่อนที่ผมจะมาถึง มันบอกว่าถึงหัวลำโพงก่อนทุ่มอีก (

มาเร็วกว่าตรูอีก 555) ผมรอไปได้สักพัก มันก็มาพอดีครับ ผมนิแทบอึ้งเลยครับ เพราะว่ากระเป๋าที่มันแบกสัมภาระมา เล็กมากครับ เล็กกว่าผมเยอะเลย (ผมเริ่มคิดแล้วครับว่า นี่กุจะแบกห่าอะไรมาเยอะแยะวะ 555) หลังจากที่มองมันอยู่ได้สักพัก ผมกับเพื่อนก็รีบเดินไปตามช่องจำหน่ายตั๋วทันทีครับ เพื่อที่จะหาแถวที่สั้นที่สุด จะได้ไม่ต้องไปรอให้เซ็ง และแล้วผมก็เจอบล็อกจำหน่ายตั๋วอยู่บล็อกนึงครับ ไม่มีคนเลย ไม่รอช้าครับ ผมรีบเดินไปถามพนักงานจำหน่ายตั๋วเลยครับว่า "พี่ครับ ผมจะไปหนองคายขบวนรถไฟฟรีเวลา 20:45 น......."ยังไม่ทันพูดจบเลยครับ พี่พนักงานขายตั๋วก็แทรกขึ้นมาเลยว่า"รถไฟที่จะเป็นหนองคายเต็มหมดแล้วน้อง ทั้งรอบ 2 ทุ่มและ 2 ทุ่มครึ่ง" ผมนิตัวชาหมดเลยครับ 555 ความบรรลัยมันเริ่มตั้งแต่ตอนที่กุจะไปเลยเหรอวะ 5555 หลังจากผมตั้งสติได้ผมก็กล่าวขอบคุณพี่เค้า แล้วค่อยๆถอยออกมาจากบล็อกขายตั๋วกับเพื่อน พวกเรานิ่งกันไปครู่นึง เพื่อนผมมันก็เริ่มเลยครับ "ไม่เป็นไรหรอก โอกาสหน้ายังมี ค่อยไปวันอื่นก็ได้นะ" ที่จริงแล้วผมก็ได้เผื่อใจไว้หน่อยนึงแล้วครับว่า ถ้าหากซวยจริงๆ รถไฟขบวนที่เราจะใช้เดินทางครั้งนี้อาจเต็มได้ เพราะเราเดินทางในช่วงเทศกาล สิ่งเหล่านี้ย่อมเกิดขึ้นได้ แต่ก็แน่หละ ผมก็ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นตอนนี้ 555 "เห้ยย ไม่ได้.....งั้นเราไปยืนกัน"ผมบอกเพื่อนกลับไปพร้อมกับเดินไปนั่งรอเวลาที่ลานพักผู้โดยสาร โดยไม่หันกลับไปมองหน้ามันเลยว่ามันจะทำหน้ายังไง555 (ใช้ระบอบเผด็จการ) ยังไม่ทันที่ผมจะหย่อนตูดลงเหนือเก้าอี้ มันก็บอกผมกลับมาว่า "เอาก็เอา ถือเป็นประสบการณ์" "มันต้องอย่างงี้สิวะ จะได้รู้ว่าการยืนบนรถไฟตลอด 13 ชั่วโมงมันเป็นยังไง555" ผมตอบกลับไปท่ามกลางความรู้สึกที่เข้มแข็งมากขึ้น และแล้วความเป็นตัวตนของผมที่เก็บซ่อนอยู่ในตัวเวลานาน ก็เริ่มออกมาเรื่อยๆๆๆๆ ผมเริ่มรู้สึกเลยว่า หนทางครั้งหน้าต่อให้เจอปัญหาอะไรก็ตาม ผมไม่กล้วมันอีกแล้ว
เวลาเดินทางเริ่มใกล้เข้ามาทุกทีๆๆ ตอนนี้ภาพในหัวที่ว่าเราจะยืนบนรถไฟนั้น มันเริ่มชัดขึ้นๆๆ จนเหมือนกับเป็นเรื่องจริง(ก็แน่หละ เมิงต้องทำอย่างงั้นอยู่แล้ว 555) และแล้วตอนนี้ก็เวลา 20:15น. ได้เวลาที่เราจะต้องไปจองที่ยืนบนรถไฟแล้วสิ 555(ไม่ได้จองที่นั่งนะ ที่นั่งเต็มมม555) ว่าแล้วก็ไม่รอช้า ผมและเพื่อนรีบเดินไปที่ขบวนรถไฟ 133 กรุงเทพ-อุดร-หนองคาย ซึ่งขณะนี้ได้จอดเทียบชานชาลาอยู่ ผมเริ่มเลือกทำเลเลยครับ เอาแบบรถไฟวิ่งแล้วลมเย็นสบาย คนไม่แออัด ยืน-นั่งสะดวก และที่สำคัญอยู่ใกล้ห้องน่ำ จะได้ทำธุระได้สะดวก แน่นอนครับที่ที่ผมเลือกจะเป็นที่อื่นไปไม่ได้ ที่นั้นก็คือ ทางเชื่อมต่อระหว่างโบกี้รถไฟครับ ตรงตามจุดยุทธศาสตร์เป๊ะ 555 ผมและเพื่อนถอดสัมภาระที่เราแบกกันมาทั้งหมด ลงปักหลักจองอาณาเขตเลยครับ 555
เวลา 20:45 น.เสียงแตรหวูดและระฆังก็นั่งทั่วชานชาลา เพื่อเป็นสัญญาณว่านับแต่นี้ไป เมิงต้องยืนกันตลอดทางเลยนะ 555 ว่าแล้วรถไฟก็ค่อยๆแล่นไปตามรางอย่างช้าๆมุ่งสู่สถานีรถไฟสามเสน และบางซื่อในลำดับต่อไป ลมเย็นๆข้างทางเริ่มพัดเข้ามาปะทะหน้าพวกเรา ซึ่งทำให้เรารู้สึกสดชื่นไม่น้อย ประกอบกับวิวกรุงเทพมหานครตอนกลางคืนระหว่าง 2 ข้างทางซึ่งมีแต่ตึกๆๆๆ และตึก 555 เท่านั้นยังไม่พอ บริเวณใกล้รางรถไฟก็จะมีบ้านคนแนบทั้ง 2 ข้างทาง ถึงขั้นจะจูบกับรางรถไฟเลยทีเดียว ผมก็แอบคิดนะว่าคนแถวนี้เค้าอยู่กันได้ไง เสียงรถไฟเข้า-ออกสถานีตลอดทั้งคืน เป็นผม ผมคงรำคาญ

555 หรือว่าเค้าอาจจะชินแล้วก็ได้มั้ง อย่าไปสนใจเค้าเลย สนใจตัวเราเองดีกว่าเอาให้รอดจากการเดินทางครั้งนี้ก็พอ 555
หลังจากที่รถไฟแล่นไปเรื่อยๆ สลับกับหยุดระหว่างทาง(บ่อยมาก ติดไฟแดงหรือเปล่าก็ไม่รู้555) เรา 2 คนก็เริ่มเก็บแรงไว้ตอนปลายทาง ผมและเพื่อนจัดหาที่นั่งบริเวณนั้นทันที เพราะเราเริ่มตระหนักว่าถ้าเราทำเก่งตอนนี้คงไม่ดีแน่ ปลายทางเมิงอาจไม่มีแรงเหลือก็ได้ 555) หลังจากที่อะไรๆก็เข้าที่ดีแล้ว ผมเริ่มทำการสำรวจบริเวณขบวนรถไฟที่เรานั่งว่าเป็นยังไงบ้าง และแล้วผมก็เริ่มสะดุดตาทันทีเลยครับ โบกี้ที่ผมนั่งนั้นเต็มไปดวยสีส้มบานเลย แน่นอนครับสีส้มที่ผมว่าก็คือ จีวรพระนั่นเอง 555 หลวงพี่ท่านเล่นครองทั้งโบกี้เลยฮะ บางรูปก็นั่งบ้าง นอนบ้าง พูดคุยกันบ้าง(เสียดายผมไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดู) หลวงพี่เต๊มมมมไปหมดเรย หลวงพี่ jam มากกก 555 แต่ก็ดีนะผมรู้สึกอุ่นใจมากเลย ผีสางทำไรตรูไม่ได้แน่นอน 555 โล่ผมเพียบเลยนะฮะ แต่แล้วเรื่องที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีกแล้วครับ สายตาผมเหลือบไปเห็นพี่พนักงานตรวจตั๋วเดินตรวจตั๋วมาเรื่อยๆๆๆ และเรื่อยๆ จนมาถึงพวกเรา "น้อง พี่ขอตรวจตั๋วหน่อย" พี่พนักงานรูปร่างสูง ผิวขาว หน้าตาค่อนข้างรับแขก เดินเข้ามาบอกผม ผมจะบอกก่อนว่าลักษณะพนักงานตรวจตั๋วจะแต่งเครื่องแบบคล้ายๆกับตำรวจครับ ต่างกันตรงที่อาวุธประจำกายเท่านั้นเอง ถ้าเป็นตำรวจจะพกปืน แต่พี่คนที่ตรวจตั๋วนี้ผมไม่แน่ใจในอาวุธของพี่เค้าเลยครับ ผมมองสิ่งที่เค้าถืออยู่ในมือ มันเหมือนกับที่ถอนขนจักแร้แม่ผมเลยครับ 555 แต่

คมมากอะ หนีบตั๋วขาดเลยในทีเดียว จนปัจจุบันผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ใครรู้ช่วยบอกผมด้วยนะครับ ^^! "พี่ครับ พวกเราไม่มีตั๋วครับ" ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ พี่เค้ามองหน้าผมเลยครับ 55 แล้วบอกว่า"ไม่ได้น้อง ถ้าน้องไม่มีตั๋วพี่คงต้องให้น้องลงสถานีป้ายหน้าแล้วแหละ ไม่ว่าน้องจะยืนหรือนั่ง ยังไงน้องก็ต้องมีตั๋วเพื่อแสดงตัวตนของน้องนะ" อันที่จริงเรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะความมโนของผมไปเองแหละครับ 555 ผมคิดว่าถ้าหากเรายืน เราก็ไม่ต้องมีตั๋วก็ได้นิ คิดแบบกำปั้นทุบดินเลยครับ 555 เนี่ยแหละครับ เป็นที่มาของความบรรลัยในครั้งนี้
"ไม่เป็นไรน้อง เนี่ย...ข้างหน้าสถานีบางซื่อ น้องไปขอตั๋วที่นั่นได้ เสร็จแล้วก็เอามาให้พี่ตรวจละ รีบๆหน่อยๆละกัน" พี่คนที่ตรวจตั๋วคนเดิมพูดกับพวกเรา เหมือนสวรรค์มาโปรดเลยครับ 555 หลังจากที่รถไฟจอดเทียบสถานีบางซื่อ ผมกับเพื่อนไม่รอช้าครับ รีบวิ่งไปที่จำหน่ายตั๋วทันที พร้อมยื่นบัตรประชาชนให้เค้าเป็นหลักฐานในการขอตั๋วรถไฟฟรี หลังจากที่ผมได้ตั๋วมาแล้ว พวกเราก็รีบจ้ำอ้าวไปที่รถไฟทันที เพื่อไปจับจองที่ยืนของเราที่เดิม เพราะกลัวว่าจะมีคนแย่งที่เราอะสิครับ 555 (รอบคอบเอาไว้ก่อน) หลังจากนั้นไม่นานครับ รถไฟก็เริ่มออกจากสถานีบางซื่อ มุ่งสู่สถานีดอนเมือง รังสิต และอยุธยาในลำดับต่อไป หลังจากที่เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นผมก็ได้เรียนรู้ว่า 1) ในขบวนรถไฟฟรี ไม่ว่าเมิงจะยืนหรือนั่ง เมิงก็ต้องมีตั๋วอยู่ดีเพื่อยืนยันตัวตนนะจ๊ะ
จะ 10,000 คำแระ งั้นเดี๋ยวต่ออีกคอลัมน์ 2 ละกันเด้อ^^
[SR] THE ADVENTURE TRIP ep1 กับวังเวียง ดินแดนอ้อมกอดแห่งขุนเขา 360 องศา ณ ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 17:00น. ณ บ้านทาวน์เฮ้าส์ย่านสมุทรปราการหลังหนึ่งกับบรรยากาศยามเย็นที่แสนจะอบอ้าว ไม่มีแม้แต่ลมพัดที่จะทำให้รู้สึกสบายกาย แน่นอนครับในบ้านหลังนั้นที่ตอนนี้ได้เปิดแอร์เอาไว้มาตลอด 4 ชั่วโมง มีเด็กหนุ่มอายุ 24 ปีกำลังง่วนอยู่กับการจัดกระเป๋าสำหรับการแบ็กแพ็คในต่างแดนครั้งแรก ถึงแม้เค้าจะมีประสบการณ์การการเดินทางในประเทศมาอยู่บ้าง แต่ทริปนี้ก็เป็นทริปต่างแดนทริปแรกของเด็กหนุ่มคนนี้เหมือนกัน ซึ่งตอนนี้ดูจากสีหน้าของเด็กหนุ่มคนนี้แล้ว บ่งบอกถึงความกังวลมิใช่น้อย แต่ถึงแม้จะมีความกังวลอยู่บ้าง แต่ดูจากสายตาเค้าแล้วยังคงฉายแววแห่งความมุ่งมั่นผสมกับความท้าทายไปในตัว ทำให้ใบหน้าเค้ายิ่งทำให้หน้าค้นหามากขึ้นกว่าเดิมว่า ตอนนี้เค้ารู้สึกยังไง อารมณ์ไหน
หลังจากจัดของเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มคนนั้นก็เหลือบแหงนมองดูนาฟิกาที่แปะอยู่เหนือกำแพง "5 โมงแล้วเหรอวะเนี่ย" ไม่รอช้า เด็กหนุ่มรีบเดินไปยังโต๊ะอาหาร ซึ่งตอนนี้เต็มไปด้วยกับข้าวหลากหลายชนิดที่แม่ของเค้าได้เตรียมไว้ให้ก่อนออกเดินทาง เด็กหนุ่มรีบคว้าจาน ช้อนส้อม และทัพพีมาตักข้าวจนพูนจาน ในใจก็คิดว่านี่คงเป็นมื้อสุดท้ายที่อร่อยที่สุดตอนที่อยู่เมืองไทยแล้วสินะ หลังจากที่ดื่มด่ำกับรสชาติอาหารที่ถูกปากแล้ว เด็กหนุ่มก็รีบจัดแจงเก็บจานข้าวไปวางไว้ในอ่างล้านจานหลังบ้าน ก่อนที่จะเดินมาดูนาฬิกาเรือนเดิมอีกรอบ "5 โมงครึ่งแล้ว" เด็กหนุ่มใช้เวลาอีกครึ่งชั่วโมงที่เหลือ ใช้เวลาอยู่กับตัวเองคนเดียวเงียบๆเงียบๆ นั่งไปได้สักพัก จู่ๆก็มีเสียงภายในใจพูดมาว่า"ทริปนี้ต้องสนุกแน่ๆ" รอยยิ้มแห่งความสุขเริ่มปรากฏบนใบหน้าของเด็กหนุ่มทีละน้อยๆๆ ไม่รอช้าเด็กหนุ่มคว้าเป้สีเหลือง ล็อกกุญแจบ้าน ฝากให้ป้าข้างบ้านช่วยเก็บให้ แล้วพาตัวเองเดินออกจากบ้านทันที
การเดินทางของเด็กหนุ่มกับทริปต่างแดน ณ วังเวียง ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตย ประชาชนลาว ได้เริ่มขึ้นแล้ว
สวัสดีพี่ๆน้องๆชาวพันทิปครับ หลายท่านคงเริ่มรำคาญแล้วว่า ไอ้หมอนี่มันเพ้ออะไรของมัน ยาว
วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ.2558 เวลา 19:00 น.
ผมออกเดินทางตรงกับวันแรงงานแห่งชาติพอดี ซึ่งแน่นอนว่ารัฐบาลประกาศให้หยุดยาวจนถึงวันที่ 5 เลยครับ ทำให้ช่วงเวลานี้ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมือนกับวันสงกรานต์เลยครับ หรือพูดง่ายๆคือ น้องๆสงกรานต์นั่นแหละครับ ผมจึงต้องเผื่อเวลาการเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง เผื่อเวลารถติดระหว่างทางครับ ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ผมเลือกเดินทางโดยใช้รถไฟเพื่อประชาชน(รถไฟฟรีอะครับ 555) ผมมีแผนคร่าวๆว่าจะเดินทางไปหนองคายโดยใช้รถไฟฟรี เมื่อถึงหนองคายแล้วผมจะเดินทางไปด่านชายแดนไทย-ลาวเพื่อทำเรื่องเข้าประเทศลาว หลังจากนั้นก็จะหารถเมล์นั่งไปวังเวียงครับ แผนคร่าวๆของผมมีแค่นั้นจริงๆ ส่วนเรื่องที่พักนั้นไม่ใช่ปัญหาครับ ผมคิดว่าไป walk in หาที่นั่นเลย (ข้อมูลนี้ผมได้มาจากพี่ๆน้องๆใน pantip ที่เคยตั้งกระทู้เรื่อง การไปเที่ยววังเวียงมาครับ) เริ่มเข้าเรื่องเลยครับ ผมไปถึงที่สถานีรถไฟหัวลำโพงประมาณ 1 ทุ่มครับ โดยทริปนี้มีเพื่อนร่วมทริปของผมที่จะร่วมชะตากรรมไปในครั้งนี้ด้วย 1 คนครับ มันชื่อเดียวกับผมเลย 555(ชื่อโคตรโหลอะ) ต้องบอกเลยว่าบรรยากาศหัวลำโพงในวันนี้น คาคลั่งไปด้วยผู้คนเต็มไปหมดเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นลูกเด็ก เล็กแดง ผู้หญิง ผู้ชาย ฝรั่ง มะคุด ทุเรียน(2 อันหลังไม่เกี่ยวครับ เพลินไปหน่อย 555) แตก่อนที่นี่บริเวณโถงที่รอของผู้โดยสาร รวมไปถึงที่จำหน่ายตั๋ว ยังไม่มีแอร์นะครับ เดี๋ยวนี้ดีหน่อย ติดแอร์ให้ด้วย เย็นเชียว หลังจากที่ผมถึงหัวลำโพงแล้ว ผมก็เดินไปบริเวณที่จำหน่ายตั๋วรถไฟทันทีครับ ต้องบอกลักษณะก่อนว่าบริเวณที่จำหน่ายตั๋วนั้น จะมีลักษณะเป็นห้องกระจกบล็อกเล็กๆที่เรียงติดกัน ไว้สำหรับให้พนักงานนั่งประจำกันในแต่ละบล็อก ส่วนบริเวณที่เป็นบริเวณผู้โดยสารยืนรอซื้อตั๋วนั้น จะมีลักษณะเป็นโครงอลูมิเนียมขนาดความสูงประมาณ 1 เมตร ความยาวน่าจะประมาณ 4-5 เมตรนได้ครับ คั่นเป็นช่องๆเรียงต่อกันไปจนสุดห้องจำหน่ายตั๋วห้องสุดท้าย บรรยากาศตอนนั้นคาคลั่งไปด้วยผู้คนที่ยืนรอซื้อตั๋วกันหนาตาเลยครับ ผมรีบกดโทรศัพท์โทรหาเพื่อนทันทีครับ เพื่อนัดให้มันมาเจอกันที่นี่ เพราะตอนแรกก่อนที่ผมจะมาถึง มันบอกว่าถึงหัวลำโพงก่อนทุ่มอีก (
เวลาเดินทางเริ่มใกล้เข้ามาทุกทีๆๆ ตอนนี้ภาพในหัวที่ว่าเราจะยืนบนรถไฟนั้น มันเริ่มชัดขึ้นๆๆ จนเหมือนกับเป็นเรื่องจริง(ก็แน่หละ เมิงต้องทำอย่างงั้นอยู่แล้ว 555) และแล้วตอนนี้ก็เวลา 20:15น. ได้เวลาที่เราจะต้องไปจองที่ยืนบนรถไฟแล้วสิ 555(ไม่ได้จองที่นั่งนะ ที่นั่งเต็มมม555) ว่าแล้วก็ไม่รอช้า ผมและเพื่อนรีบเดินไปที่ขบวนรถไฟ 133 กรุงเทพ-อุดร-หนองคาย ซึ่งขณะนี้ได้จอดเทียบชานชาลาอยู่ ผมเริ่มเลือกทำเลเลยครับ เอาแบบรถไฟวิ่งแล้วลมเย็นสบาย คนไม่แออัด ยืน-นั่งสะดวก และที่สำคัญอยู่ใกล้ห้องน่ำ จะได้ทำธุระได้สะดวก แน่นอนครับที่ที่ผมเลือกจะเป็นที่อื่นไปไม่ได้ ที่นั้นก็คือ ทางเชื่อมต่อระหว่างโบกี้รถไฟครับ ตรงตามจุดยุทธศาสตร์เป๊ะ 555 ผมและเพื่อนถอดสัมภาระที่เราแบกกันมาทั้งหมด ลงปักหลักจองอาณาเขตเลยครับ 555
เวลา 20:45 น.เสียงแตรหวูดและระฆังก็นั่งทั่วชานชาลา เพื่อเป็นสัญญาณว่านับแต่นี้ไป เมิงต้องยืนกันตลอดทางเลยนะ 555 ว่าแล้วรถไฟก็ค่อยๆแล่นไปตามรางอย่างช้าๆมุ่งสู่สถานีรถไฟสามเสน และบางซื่อในลำดับต่อไป ลมเย็นๆข้างทางเริ่มพัดเข้ามาปะทะหน้าพวกเรา ซึ่งทำให้เรารู้สึกสดชื่นไม่น้อย ประกอบกับวิวกรุงเทพมหานครตอนกลางคืนระหว่าง 2 ข้างทางซึ่งมีแต่ตึกๆๆๆ และตึก 555 เท่านั้นยังไม่พอ บริเวณใกล้รางรถไฟก็จะมีบ้านคนแนบทั้ง 2 ข้างทาง ถึงขั้นจะจูบกับรางรถไฟเลยทีเดียว ผมก็แอบคิดนะว่าคนแถวนี้เค้าอยู่กันได้ไง เสียงรถไฟเข้า-ออกสถานีตลอดทั้งคืน เป็นผม ผมคงรำคาญ
หลังจากที่รถไฟแล่นไปเรื่อยๆ สลับกับหยุดระหว่างทาง(บ่อยมาก ติดไฟแดงหรือเปล่าก็ไม่รู้555) เรา 2 คนก็เริ่มเก็บแรงไว้ตอนปลายทาง ผมและเพื่อนจัดหาที่นั่งบริเวณนั้นทันที เพราะเราเริ่มตระหนักว่าถ้าเราทำเก่งตอนนี้คงไม่ดีแน่ ปลายทางเมิงอาจไม่มีแรงเหลือก็ได้ 555) หลังจากที่อะไรๆก็เข้าที่ดีแล้ว ผมเริ่มทำการสำรวจบริเวณขบวนรถไฟที่เรานั่งว่าเป็นยังไงบ้าง และแล้วผมก็เริ่มสะดุดตาทันทีเลยครับ โบกี้ที่ผมนั่งนั้นเต็มไปดวยสีส้มบานเลย แน่นอนครับสีส้มที่ผมว่าก็คือ จีวรพระนั่นเอง 555 หลวงพี่ท่านเล่นครองทั้งโบกี้เลยฮะ บางรูปก็นั่งบ้าง นอนบ้าง พูดคุยกันบ้าง(เสียดายผมไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดู) หลวงพี่เต๊มมมมไปหมดเรย หลวงพี่ jam มากกก 555 แต่ก็ดีนะผมรู้สึกอุ่นใจมากเลย ผีสางทำไรตรูไม่ได้แน่นอน 555 โล่ผมเพียบเลยนะฮะ แต่แล้วเรื่องที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีกแล้วครับ สายตาผมเหลือบไปเห็นพี่พนักงานตรวจตั๋วเดินตรวจตั๋วมาเรื่อยๆๆๆ และเรื่อยๆ จนมาถึงพวกเรา "น้อง พี่ขอตรวจตั๋วหน่อย" พี่พนักงานรูปร่างสูง ผิวขาว หน้าตาค่อนข้างรับแขก เดินเข้ามาบอกผม ผมจะบอกก่อนว่าลักษณะพนักงานตรวจตั๋วจะแต่งเครื่องแบบคล้ายๆกับตำรวจครับ ต่างกันตรงที่อาวุธประจำกายเท่านั้นเอง ถ้าเป็นตำรวจจะพกปืน แต่พี่คนที่ตรวจตั๋วนี้ผมไม่แน่ใจในอาวุธของพี่เค้าเลยครับ ผมมองสิ่งที่เค้าถืออยู่ในมือ มันเหมือนกับที่ถอนขนจักแร้แม่ผมเลยครับ 555 แต่
"ไม่เป็นไรน้อง เนี่ย...ข้างหน้าสถานีบางซื่อ น้องไปขอตั๋วที่นั่นได้ เสร็จแล้วก็เอามาให้พี่ตรวจละ รีบๆหน่อยๆละกัน" พี่คนที่ตรวจตั๋วคนเดิมพูดกับพวกเรา เหมือนสวรรค์มาโปรดเลยครับ 555 หลังจากที่รถไฟจอดเทียบสถานีบางซื่อ ผมกับเพื่อนไม่รอช้าครับ รีบวิ่งไปที่จำหน่ายตั๋วทันที พร้อมยื่นบัตรประชาชนให้เค้าเป็นหลักฐานในการขอตั๋วรถไฟฟรี หลังจากที่ผมได้ตั๋วมาแล้ว พวกเราก็รีบจ้ำอ้าวไปที่รถไฟทันที เพื่อไปจับจองที่ยืนของเราที่เดิม เพราะกลัวว่าจะมีคนแย่งที่เราอะสิครับ 555 (รอบคอบเอาไว้ก่อน) หลังจากนั้นไม่นานครับ รถไฟก็เริ่มออกจากสถานีบางซื่อ มุ่งสู่สถานีดอนเมือง รังสิต และอยุธยาในลำดับต่อไป หลังจากที่เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นผมก็ได้เรียนรู้ว่า 1) ในขบวนรถไฟฟรี ไม่ว่าเมิงจะยืนหรือนั่ง เมิงก็ต้องมีตั๋วอยู่ดีเพื่อยืนยันตัวตนนะจ๊ะ
จะ 10,000 คำแระ งั้นเดี๋ยวต่ออีกคอลัมน์ 2 ละกันเด้อ^^
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น