ขอทีเถอะ!!!!! ข้อความส่งต่อทางไลน์ เชื่อถือได้มากขนาดไหน?

กระทู้สนทนา
สวัสดีค่ะ วันนี้มีเรื่องจะมาพูดคุยกันค่ะ

เริ่มเรื่องมาจากว่า เมื่อเย็นนี้เราทานข้าวอยู่ กำลังยกน้ำเย็นขึ้นดื่ม แม่เราก็ทักว่า "นี่ กินน้ำเย็นไม่ดีนะ ยิ่งปวดหลังอยู่เนี่ย ห้ามกินน้ำเย็น" (ก็จริงค่ะที่ว่าเราชอบบ่นว่าปวดหลังบ่อยๆ) ได้ยินดังนั้นเราก็สงสัย เลยถามไปว่า "รู้ได้ไงว่าไม่ดี" แม่ก็ตอบว่า "ก็เนี่ย มีคนส่งมาให้อ่านในไลน์ เดี๋ยวจะส่งให้อ่าน" แล้วแม่ก็ส่งมาให้อ่าน

พออ่านปุ๊ป เราเลยบอกแม่ไปว่า "แม่ เรื่องที่ forward มาในไลน์อ่ะ ไม่ต้องไปเชื่อมากก็ได้ ใครๆ มันก็เขียนแล้วส่งให้อ่านได้ทั้งนั้นแหละ" แม่เราก็ไม่สน ก็บอกว่า "แต่เนี่ย หมอประจำตัวในหลวงเขียนมาเลยนะ" (นั่น มีการเอาเบื้องสูงมาอ้างให้น่าเชื่อถืออีก -_-) เราก็เลยตอบไปว่า "เอาเถอะ หนูไม่เชื่อ ที่เรียนมาไม่ใช่ยังงี้" แม่เราก็โมโห ตะคอกกลับมาเสียงดัง "เรื่องของ  ึง ร่างกายของ  ึง อยากตายไวก็เอา" (เอ้า พูดดีๆก็ได้)

นี่ แคปมาให้อ่านกันเลย (อ่านเสร็จแล้วคิดเห็นยังไงเล่าให้ฟังบ้างนะ รออ่านทุกคอมเม้นเลย)










มันก็ทำให้เราสงสัยว่า ไอ้ข้อความที่ส่งๆๆๆต่อกันมานักหนาเนี่ย จะจริงแค่ไหนกันเชียว ก็เลยไปค้นคว้ามา ไม่ต้องไกลตัวมาก เอาใกล้ๆ หนังสือเรียนชีวะกับเคมี ม.ปลาย นั่นแหละ (จขกท.อายุ 18 อยู่ ม.6)

ทั้งหมดที่เรากำลังจะพูดนี้ เป็นความคิดเห็น อาจไม่ใช่ข้อเท็จจริง แต่เราก็อ้างอิงมาจากหนังสือเรียน และข้อมูลหลายๆเว็บประกอบกัน

มาวิเคราะห์กันเป็นประเด็นๆไป

จากข้อความนะคะ เห็นบอกว่า เป็นโรคอัมพฤกษ์ แล้วผู้ป่วยก็เล่าให้ฟังว่า “ไม่กินผักมาตั้งแต่เล็กๆ รับประทานแค่เนื้อสัตว์ ที่สำคัญชอบดื่มน้ำเย็นเป็นประจำ” เอ้า! โรคอัมพฤกษ์อัมพาตนี่ไม่ใช่เพราะสมองขาดเลือดหรือหลอดเลือดในสมองแตกหรอคะ? เกี่ยวไรกับน้ำเย็น? ผู้รู้ตอบด้วยค่ะ คือ ถ้าบอกว่าเป็นอัมพฤกษ์เพราะขาดสารอาหารจากผักบางชนิด ทำให้..... อะไรก็ว่าไป ยังจะน่าเชื่อถือมากกว่าการบอกว่า เป็นอัมพฤกษ์เพราะดื่มน้ำเย็นทุกวัน

ส่วนสมองขาดเลือดมีสาเหตุหลายอย่าง เช่น “ภาวะเลือดข้น หรือความผิดปกติของหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงสมองตีบหรืออุดตัน” (ก็เพราะว่ามีไขมันในเลือดสูง เลยทำให้ไปอุดตันตามหลอดเลือด) โอเคในข้อความที่แคปมาให้ดูมีตรงกันบ้างตรงที่พูดเกี่ยวกับเรื่องเลือดข้น

แต่ด้วยร่างกายที่อุณหภูมิสูงถึง 37 องศา บวกกับอากาศในปัจจุบันร้อนขนาดนรกยังเรียกพี่ มัวให้กินแต่น้ำอุ่น ร่างกายก็ไม่ได้ระบายความร้อนเลยนะสิ?
แล้วที่บอกว่า “ยิ่งทานน้ำเย็น ก็ยิ่งขาดน้ำ ทำให้เลือดข้น” ...เอ่อ... ทานน้ำเย็น? ขาดน้ำ? คือน้ำที่ดื่มเข้าไป ถูกดูดซึมที่หน่วยไต แล้วอุณหภูมิของน้ำมีผลต่อการดูดกลับของหน่วยไตด้วยหรอคะ? ปกติแล้ว การดูดน้ำกลับที่ท่อหน่วยไตอาศัยวิธีการ passive transport โดยการแพร่ ไม่ต้องอาศัยพลังงาน (อย่าเถียง เรียนมา -_- )  หรือถ้าเกี่ยวกัน ร่างกายอุณหภูมิสูงถึง 37 องศา กว่าน้ำจะไปถึงไต ก็ควรจะหายเย็นได้แล้ว ผู้รู้รบกวนอธิบายด้วยค่ะ

ความคิดส่วนตัวนะคะ อาจจะเป็นเพราะคนเขียนข้อความนี้เป็นคนจีน แล้วปกติภูมิอากาศของจีนก็จะหนาวกว่าไทยอยู่แล้ว การดื่มน้ำเย็นประจำทำให้ป่วย เจ็บคอ ไข้ขึ้นได้ง่ายกว่า เพราะอากาศก็เย็น ยังจะกินน้ำเย็นเข้าไปอีก คล้ายๆกับที่แดจังกึมรักษาพระราชาโดยใช้โสมต้มอะไรนั่น ก็เพราะโสมเป็นอาหารร้อน (คล้ายๆทุเรียน) บวกกับเกาหลีอากาศหนาว การกินอาหารร้อนก็ไปปรับอุณหภูมิร่างกายให้ต้านความเย็น ทำให้หายหวัดเร็ว อะไรยังงี้
แต่ปัจจุบันสภาพภูมิอากาศก็เปลี่ยนไป อากาศร้อนขึ้น อากาศก็ร้อน กินน้ำร้อน??? ขุ่นพระะะ

โอเค จากข้อความ อาจจะถูกในบางส่วนค่ะ ที่บอกว่าดื่มน้ำเย็นแล้วเส้นเลือดอุดตันเพิ่มมากขึ้น เพราะไขมันอิ่มตัว (โดยเฉพาะไขมันจากเนื้อสัตว์ที่กิน) สามารถแข็งตัวได้ในอุณหภูมิห้อง หรือต่ำกว่า ตรงนี้อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคอัมพฤกษ์อัมพาตได้ ตรงนี้ถูกต้องค่ะ ข้ามไป

ส่วนเรื่องออกกำลังกายเพื่อให้เลือดไหลอย่างต่อเนื่อง และ ลดการทานเนื้อสัตว์ อาหารที่มีไขมันสูง อันนี้ถูกต้องค่ะ ไม่เถียง ข้ามไป

ประเด็นถัดมา
ข้อความที่แคปมาไม่ได้ระบุว่า สาเหตุที่แท้จริงของอาการปวดหลังจากการดื่มน้ำเย็นเนี่ยมาจากไหน เพียงแค่บอกลอยๆว่า
“ปัสสาวะบ่อยขึ้น อั้นได้ไม่นาน ดื่มน้ำแล้วต้องวิ่งเข้าห้องน้ำบ่อยๆ.. มีอาการปวดหลัง ปวดเอว โดยเฉพาะเวลานั่นนานๆ... ปวดเมื่อยตามข้อและร่างกาย.... บลาๆๆ”
ตรงนี้ไม่เข้าใจจริงๆค่ะว่าทำไม รบกวนผู้รู้ตอบด้วยค่ะว่าเกี่ยวข้องกันยังไง แล้วก็มาสรุปลอยๆว่า “เห้ย กินน้ำเย็นเป็นอัมพาตนะว้อย” แล้วก็เอาชื่อคนดังๆ มาแปะท้ายๆ ให้ข้อความตัวเองส่งต่อไปเยอะๆ เลยพาลทำให้อดกินน้ำเย็น ทรมานกันตลอดหน้าร้อน

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ไม่ได้ต้องการอวดภูมิว่าฉันรู้ ฉันเก่ง ป่าวค่ะ เพียงแค่ว่าข้อมูลที่รู้มา กับข้อความส่งต่อมันไม่ตรงกัน จึงอยากทราบว่ามันจริงเท็จขนาดไหน เพราะถ้าจริง จะได้ปรับข้อมูลในสมอง หรือถ้าไม่จริง จะได้บอกคนใกล้ตัวให้รู้ อย่าเชื่อทุกอย่างในอินเตอร์เน็ตไปหมด ใครบอกไรก็เชื่อไปหมด แล้วก็มามีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตประจำวัน

สุดท้ายนี้ อยากให้ผู้รู้ ใครเรียนมาลึกกว่านี้ หรือมีบทความ ผลงานวิจัย ฯลฯ อะไรก็ได้ที่บอกที่มาที่ไปมากกว่า ใส่ไว้ข้างล่างได้ค่ะ จะได้อ่าน รู้กันไปเลย จริงไหม เพราะเห็นชอบส่งกันจัง ให้ตายเถอะ ส่งสติกเกอร์ฟรีซะยังดีกว่า -..-

ปล. ข้อความใดผิด ข้อเท็จจริงใดไม่ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ รบกวนบอกด้วยค่ะ
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่