เหตุเกิดที่โรงพยาบาล (วิบากกรรมที่ฉันประสพ เมื่อต้องไปพบกับคุณหมอ )
ฉันป่วยเป็นโรคภูมิแพ้มาหลายปี แม้จะไม่ร้ายแรง แต่ก็เรื้อรัง กินยาก็แล้ว พ่นยาก็แล้ว จนแล้วจนรอดก็ไม่หายสักที ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วโทนโท่ โรคภูมิแพ้ และคนแพ้คือฉัน ไม่ใช่มัน
พูดถึงโรงภูมิแพ้ หรือ allergy บางคนก็แพ้ฝุ่นละออง แพ้เกสรดอกไม้ที่ลอยอยู่ในอากาศ อาหาร เครื่องดื่ม ยา เครื่องสำอาง ขนหมา ขนแมว และอื่นๆอีกมาก อาการที่ตามมา คือ คันจมูก คันตา น้ำมูกไหล บางคนเป็นหนักหอบหืด หายใจไม่ออกก็มี
พูดถึงอาการของฉัน จะว่าไปก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไร แค่คันจมูก คันตา ทุกครั้งเมื่อมันมาเยือนในฤดูกาลของมัน allergy season ซึ่งช่วงที่ว่า จะอยู่ในฤดูใบไม้ผลิ เพราะต้นไม้เริ่มงอกงาม ดอกไม้บานสะพรั่ง เกสรก็ปลิวว่อนมาตามลม พอฉันสูดดมเข้าไป เป็นต้องจามทันที
โรคนี้ไม่หายขาด ทำได้ก็แค่ไปหาหมอ เอายากิน สเปย์มาพ่น รวมทั้งยาหยอดตา เวลาที่อาการกำเริบ คันตายิบๆ แต่ยา ก็ช่วยได้ครู่พัก พอเจอเกสรดอกไม้เข้านิด ได้กลิ่นอะไรหอมๆเข้าหน่อย ตาหูก็จะ คันยิบๆ น้ำตาไหลเผาะๆ
พูดถึงหมอ พูดถึงโรงพยาบาลขึ้นมาทีไร ฉันละสุดแสนจะเซ็ง เพราะไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลที่เมืองไทย หรือ * biloxi,ms usa ที่ฉันอาศัย มันก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่นักหรอก
นัดกับหมอเวลาเท่านั้นเท่านี้ แต่ไปพอถึงโรงพยาบาลก็ต้องไปรอจนอ่อนใจ แล้วบรรยากาศในโรงพยาบาล ไม่ใช่ห้างสรรพสินค้า พอนั่งๆ นึกเบื่อขึ้นมาจะได้ไปเดินชมข้าวของที่สวยๆงามๆ ที่โรงพยาบาล เห็นแต่คนป่วยที่หน้าตาขึ้งเครียดเพราะโรคภัย ขอให้ห็นครั้งคราใด พาใจหดหู่
แต่แม้จะไม่ชอบโรงพยาบาลอย่างที่บอก หากพอป่วยขึ้นมา ฉันก็ต้องไปโรงพยาบาลหาหมออยู่ดี โดยเฉพาะคราวนี้ที่ ฉันเป็นหนัก จนตาข้างซ้ายลืมไม่ขึ้น น้ำตาไหลไม่หยุด
จะว่าไป เรื่องนี้โทษใครไม่ได้ ต้องโทษตัวเอง เรื่องของเรื่อง คิดว่ามันจะเป็นอย่างทุกครั้ง คือวันสองวัน กินยานิด หยอดยาหน่อย เดี๋ยวก็หาย แต่ทำไปทำมาคราวนี้ เป็นตั้งอาทิตย์กว่า คันตายิบๆ ลามเรื่อยมาถึงจมูก จามเอาๆ ยาพ่นก็เอาไม่อยู่ ยากินก็ไม่ได้เรื่อง ฉันเห็นท่าไม่ไหวแน่จริงๆ ฉันก็เลยตัดสินใจโทรนัดหมอ
ทุกครั้งที่มีนัดกับหมอ จะต้องไปถึงโรงพยาบาลประมาณครึ่งชั่วโมงล่วงหน้า อันนี้เป็นกฎของเขา เพราะเราต้องไปกรอกแบบฟอร์มคนไข้ จากนั้นก็นั่งรอ ซึ่งส่วนใหญ่ฉันจะไปล่วงหน้าเป็นชั่วโมง เพราะไปเนิ่นๆ ดีกว่าไปช้า
แต่คราวนี้แทนที่หมอจะนัดฉันตอนบ่ายอย่างเคย ดันนัดตอนเช้าตรู่ เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เลยเกิดขึ้นจนได้
เมื่อฉันขับรถออกจากบ้าน ที่ขับรถแค่สิบนาทีกว่าๆก็ถึง พารถวิ่งขึ้นมาถึงสะพาน ติดอยู่แค่คอสะพาน ไม่ทันจะขึ้น สะพานดันเปิด เพราะเรือใบกระโดงสูงลิ่วราวตึกเจ็ดชั้น ดันจะมาแล่นผ่านเอาตอนนั้นพอดี ตายละจะทำอย่างไรดีละเนี่ย เวลานัด 7.45 เวลาตอนนั้น 7.15
แม้โรงพยาบาลจะเห็นอยู่รำไร แค่ลงสะพานเลี้ยวซ้าย เข้าซอยไปนิดก็ถึง แต่เรือเจ้ากรรมแล่นตามลม ไม่ได้ติดเครื่อง จึงเคลื่อนตัวไปอย่างเชื่องช้า ไม่ไปพ้นจากสะพานเสียที ( เครียดว้อย )
ปกติเสียงเพลงจากวิทยุในรถ จะทำให้ฉันชื่นช่ำใจ แต่คราวนี้ฟังแล้วกลับหาความไพเราะมิได้ เรื่องของเรื่อง เพราะกลัวไปไม่ทัน แล้ว

กเลิกนัดละก้อฉันต้องตายแน่ๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด เครียดหนักๆ ก็เลยไม่ฟงไม่ฟังมันแล้วเสียงเพลง จัดแจงปิดวิทยุ แล้วร้องเพลงสมัยยังเป็นเด็กน้อย ดับความเครียด
Row, row, row your boat
Gently down the stream,
Merrily merrily, merrily, merrily
Life is but a dream
ท่อนท้ายของเพลง ช่างเปรียบเปรย อันว่าชีวิตคนเรานั้นหนอ เปรียบได้ ดังความฝัน ซึ่งฉันเองในเวลานี้ ก็กำลังตกอยู่ในความฝันเช่นกัน แต่เผอิญว่าเป็นฝันร้าย มิใช่ฝันดี
ระหว่างที่ฉันนั่งลุ้นให้เรือใบวิ่งผ่านสะพานไปเร็วๆ แต่มันก็ยังช้าเชื่องไม่ทันใจ จู่ๆน้ำตาเจ้ากรรมก็ดันพรั่งพรูออกมา ทำให้แว่นกันแดดพร่ามัว มองเห็นเสากระโดงเรือลางๆ ฉันรีบดึงแว่นกันแดดออกมา เช็ดลวกๆ พร้อมกับสวมกลับเข้าไปเร็วๆ แต่เดี๋ยวเดียว แว่นตาก็มัวอีก เมื่อน้ำตาไหลออกมาอีกระลอกใหญ่
ให้ตายสิพับผ่า ... กระจกรถยังมีที่ปัดน้ำฝน คงจะดีไม่น้อย หากวันหนึ่งแว่นตามีที่ปัดบ้าง เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นละก้อ ฉันคงไม่ต้องคอยถอดแว่นตาเข้าๆออกๆ แต่ใช้ที่ปัดแทนมือ
“ขอบคุณสวรรค์” ฉันร้องแรกออกมาดังๆ เมื่อเรือแล่นผ่านไป ครู่ต่อมา สะพานก็เปิดขึ้นช้าๆ ช้ามาก รถที่ติดยาว เคลื่อนตัวอีกครั้ง อย่างเชื่องช้า ฉันดีใจที่หลุดพ้นจากสะพานมาได้ แต่ก็รู้สึกอย่างนั้นได้ไม่นาน เพราะพอลงจากสะพาน ไอ้ตอนที่เลี้ยวจะเข้าซอยโรงพยาบาล รถดันติดหนึบเป็นแพไม่ขยับเขยื้อนไปไหน
ฉันเห็นแล้วก็อึ้ง พูดอะไรไม่ออก ไอ้ครั้นจะร้องเพลง Raw your boat ก็ใช่ที่ เพราะที่ติดเป็นพรืดคือรถ ไม่ใช่เรือ
ทำได้อย่างเดียวคือเอาความนิ่งสยบทุกสิ่ง พร้อมกับท่องประโยคฮิตที่ว่าไปมาอยู่ในใจ
ใจเย็นไว้แม่อนันต์ กุ๊กๆ ( แม่จำเนียร นั่นพ่อปลาไหล ส่วนแม่อนันต์ คนเขียนค่ะ)
เมื่อฉันพารถมาจอดภายในลานจอดของโรงพยาบาล เหลืออีกห้านาทีจะถึงเวลานัด ฉันลงจากรถได้ฉันวิ่งบ้างเดินบ้าง เข้าไปในโรงพยาบาลที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงหน้า
เข้าไปห้องรอ ก็วิ่งพรวดไปที่ฝ่ายติดต่อ เมื่อไปยืนหอบแฮกๆ พนักงานหญิง เวลาขณะนั้น 7.45 พอดีพอดิบ
ฉันหอบเสร็จ ก็บอกชื่อเสียงเรียงนาม บอกว่ามีนัดตอน 7.45 และรีบบอกเหตุผลก่อนที่หล่อนจะถาม ว่าที่มาเอาเสียกระชั้นชิดแบบนี้ ก็เพราะสะพานดันเปิดพอดี
พนักงานรับฟังไปงั้น ไม่พูดอะไรสักคำ แค่ส่งแบบฟอร์มคนไข้ให้ฉัน พร้อมกับบอกเสียงห้วนๆ
“เอาแบบฟอร์มคนไข้ ไปกรอกซะ”
ตายแล้ว ฉันร้องแรกในใจ จะไม่ตายยังไงไหว ทันทีที่นั่งแปะลงบนเก้าอี้ เปิดกระเป๋าถือ หาแว่นสายตา ดันลืมเอามา จะกรอกอย่างไรล่ะทีนี้ ขนาดหนังสือตัวธรรมดายังอ่านยาก แล้วนี่ตัวนิดเดียว แถมมีคำถามเต็มๆถึงหนึ่งหน้า
แม้จะคุ้นเคยกับคำถามซ้ำๆที่ว่า แต่ความลางเลือนของมัน ทำให้ฉันไม่กล้าที่จะกรอกอะไรลงไปในนั้น
ระหว่างที่ฉันกำลังเป็นทุกข์เป็นร้อน เพราะกรอกแบบฟอร์มคนไข้ไม่ได้ เพราะดันลืมสายตา พนักงานชายร่างสูงเฉียดเสาไฟก็ปรากฏตัวตรงหน้า พร้อมกับเรียกชื่อฉัน
“คุณอนันต์ อยู่ไหมครับ ”
“อยู่นี่ค่ะ “ฉันขานรับ ลุกขึ้นเดินไปหา แล้วบอกเขาก่อนที่เขาจะพูดอะไร
“ฉัน เพิ่งจะมาถึง จะกรอกแบบฟอร์ม ดันลืมแว่น กรอกไม่ได้ “
พนักงานมองฉันแบบเซ็งๆ ก่อนจะบอกฉัน ด้วยน้ำเสียงเนือยๆ
“โอ.เค ตามมา อิป้า ( อิป้า นี่พูดเองค่ะ เขาไม่ได้พูด)
ในห้องตรวจ คำถามแรกที่เขาถามฉันก็คือ มาวันนี้ เพราะเหตุใด ฉันก็ตอบเขาไปว่า ภูมิแพ้กำเริบ พร้อมกับชี้ ตาข้างซ้ายที่บวมเป่งให้เขาดู
จากคำถามแรก เขาก็ถามฉันอีกหลายคำถาม ที่อยู่ในฟอร์ม แต่ฉันไม่ได้กรอกลงไป เพราะเหตุขัดข้องทางเทคนิค หมดจากคำถามซีเรียส เขาก็ถามฉันถึงส่วนสูง
ฉันตอบเขาอ้อมแอ้มๆ ไม่เต็มเสียง ห้าฟุตสอง ความจริงห้าฟุตหนึ่ง กว่านิดๆ แต่สำหรับฉัน ถ้าเป็นความสูง จะปัดขึ้น แต่ถ้าเป็นอายุ จะปัดลง เช่นเดียวกับน้ำหนัก
พนักงานถามคำถามเรียบร้อย ก็วัดความดัน กับวัดอุณหภูมิ เสร็จสรรพก็ออกไป ครู่ต่อมาคุณหมอก็เข้ามาในห้อง เธอแนะนำตัวเองว่า ชื่อ คุณหมออลิซ มาแทนคุณหมอ มิมี เอ้ย มีมี่ คุณหมอประจำตัวฉันที่เกิดมีงานด่วนขึ้นมาพอดี
ฉันว่าคุณหมอมีมี่ ใจดีแล้วนะ แต่พอมาเจอคุณหมออลิซ ขานี้ใจดีกว่าเป็นไหนๆ เพราะแค่วินาทีแรกที่เธอก้าวเข้ามาในห้อง เธอก็แจกรอยยิ้มใส่ฉันเป็นชุด แถมตอนที่เดินผ่านฉันที่นั่งสงบเสงี่ยมที่เก้าอี้ ไปยังยังโต๊ะทำงานตรงหน้า เธอตบบ่าฉันเสียจนเกือบตกเก้าอี้ดีนะว่าฉันยึดเก้าอี้ได้ทัน ผู้หญิงอะไรไม่รู้มือหนักเป็นบ้า
แต่ถึงคุณหมออลิซ จะมือหนัก แต่ก็เฟรนด์ลี่ ยิ้มเก่ง พูดเก่ง มิหนำซ้ำยังพกเอาความใส่ใจ มาเป็นกระบุงจนฉันคาดไม่ถึง
“ตายแล้ว ทำไมปล่อยให้ตาบวมฉึ่งขนาดนี้ ดีนะที่อีกข้างไม่พลอยอักเสบไปด้วย “คุณหมอพูดจบ ก็จัดแจงเอาเอาเครื่องมือตรวจหู ส่องหูฉัน
“พระเจ้า หูเธอก็อีกเสบด้วยนะ นี่เธอไม่รู้หรือว่า รู้แต่ไม่สนใจ” ระหว่างที่พูด ตาก็สำรวจสรีระฉันไปพลางๆ คุณหมอไม่จำเป็นต้องพูด ฉันก็อ่านสายตาคุณหมอออก ที่หมอมองฉัน ก็เพื่อให้แน่ใจ ว่าไม่มีโรคร้ายในกายฉัน หลุดรอดไปจากสายตาคุณหมอแน่ๆ ฉัน ยิ้มแห้งๆให้คุณหมอ พร้อมกับคิดไปถึงคุณหมอประจำตัว
ทุกครั้งที่เจอ คุณหมอมีมี่ เธอจะทักทายยิ้มๆ แล้วก็สั่งยาตัวเดิม หรือไม่ก็ส่งไปเจาะเลือด วนอยู่อย่างนั้น ผิดกับคุณหมอตัวสำรอง เอ้ยคุณหมออลิซ
แวบหนึ่ง ฉันอดคิดถึงแม่ของฉันไม่ได้ นี่ถ้าแม่พบกับคุณหมออลิซ แม่ต้องแฮปปี้แน่ๆ เพราะแม่ฉัน เป็นอะไรนิดหน่อย ไม่ได้เป็นต้องแล่นไปหาหมอ และทั้งที่ไม่ได้ปวดหัว หรือเป็นไข้ แม่ก็กินยาดักไว้ก่อนที่จะเป็น ตรงกันข้ามกับฉัน
ถ้าไม่ไหวจริงๆ ถึงจะหาหมอ ส่วนยา จะกิน ก็เมื่อหนักหนาสาหัสจริง เพราะฉันเชื่อตลอดมา ถ้าเราทำอะไรซ้ำๆ มันจะติด อย่างแม่ฉันนี่ไงคะ ความที่กินยาไม่หยุด สุดท้ายเลยเห็นยาเป็นขนม กินเอาๆ และเพราะเหตุนี้นี่แหละ แม่ก็เลยทำให้ฉันทึ่งสุดๆในวันนั้น ที่ฉันไม่เคยลืม และยังไงก็คงจะลืมไม่ลง
วันที่ว่า อยู่ดีๆฉันก็ปวดหัวขึ้นมา ปวดจนน้ำตาไหล ระหว่างที่ลังเลๆ ว่าจะกินยาดี หรือว่ารอให้มันหายเอง แม่เห็นแล้วคงจะรำคาญ เลยบอกว่า ถ้าไม่อยากกิน เดี๋ยวจะกินแทนให้ก็ได้ คำพูดของแม่ ทำเอาฉันพูดไม่ออก ได้แต่มองหน้าแม่ นึกว่าแม่ล้อเล่น แต่แม่กลับยืนยันกับฉันยิ้มๆ
“แม่พูดจริงๆนะคุณหนู เผื่อแม่กินแทน คุณหนูอาจจะหายปวดหัวยังไงละ”
“อย่าดีกว่าแม่ เพราะถ้าแม่กินยาแทนหนู แล้วเกิดหนูหายขึ้นมา แม่อาจจะต้องกินยาแทนหนู ไปตลอดชีวิต ก็ได้นะ”
แม่ได้ยินฉันว่า ก็หัวเราะอย่างขบขัน ผิดกับฉัน ที่อย่าว่าแต่จะหัวเราะเลย แม้แต่ยิ้มก็ยิ้มไม่ออก เพราะงุนงง กับตรรกะของแม่อย่างที่สุด
“คุณอนันต์ “
เสียงของคุณหมอดึงความคิดฉันกลับมา ฉันส่งยิ้มให้คุณหมอ ขยับท่านั่งตรง บอกให้หมอรู้ ฉันพร้อมจะรับฟังคุณหมอว่า ขาข้างซ้ายที่อยู่ใต้โต๊ะไขว้ทับขาขวา วันก่อนฉันทำสวนหกล้ม หัวเข่าแตก แล้วแทนที่จะใส่กางเกงขายาว อย่างทุกครั้งที่มาพบหมอ ฉันดันสวมกระโปรงความยาวเพียงหัวเข่า ฉันก็เลยเกรงว่าถ้าเกิดหมอเห็นว่าหัวเข่าฉันแตก ดีไม่ดีอาจจะส่งฉันไปหาหมอกระดูก ( คิดมาก จิตตก)
ฉันไม่เอาด้วยหรอกนะ ไปหาหมอกระดูก สู้กลับไปนอนดูละครที่บ้านสบายใจกว่าเป็นไหนๆ
“ฉันสั่งยาตัวเดิมที่คุณหมอประจำตัวเธอเคยสั่งให้ ส่วนอาการหูอักเสบของเธอ ฉันให้ยากิน กับยาหยอด กินตามเวลา ห้ามเบี้ยวนะ เพราะเกิดไม่หายขึ้นมา จะมาว่าหมอไม่ได้ อ้อ ว่าแต่ก่อนมาพบหมอ เธอ ทานข้าวมาหรือยัง”
“ยังเลยค่ะ”
“วิเศษเลย งั้นเดี๋ยวเธอรีบไป ที่แลป เจาะเลือดเสียหน่อย “
“ค่ะ” ฉันรับเสียงอ่อน เกือบจะปล่อยโฮออกมา เมื่อนึกไปถึงวิบากกรรมที่ผ่านมาแต่หนหลัง….
ฉันจะมีปัญหาทุกครั้งที่ต้องเจาะเลือด คนอื่นอาจจะเจาะครั้ง สองครั้ง ผิดกับฉันที่เส้นเลือดเล็กผิดปกติ กว่าจะเจอเส้นเลือดได้ ก็ต้องเจาะแล้วเจาะอีก มีอยู่คราวหนึ่งที่ฉันไม่เคยลืม เมื่อคนไข้ดวงฉันจู๋อย่างฉัน โคจรไปพบกับเด็กอินเทิร์น เข้าให้
เธอเป็นเด็กวัยรุ่นที่มาฝึกงาน และคนไข้คนแรกของเธอคือฉัน เพราะอ่อนด้วยประสบการณ์ เธอก็เลยเจาะผิดเจาะถูก โดยมีรุ่นพี่คอยยืนกำกับบท พร้อมกับตวาดแว๊ดๆ ทุกครั้งที่เธอทำผิด
“ตรงนี้ๆ ไม่ใช่ตรงนั้น แทงเข้าๆ นั่นๆ เกือบแล้วๆ อีกนิดหนึ่ง นั่นๆ แทงเข้าไป ”
ฉันนั่งกัดฟันกรอดๆ ดีนะว่าเป็นฟันจริง ถ้าเป็นฟันปลอมละก้อ มีหวังกระเด็นออกมาทั้งแผง เพราะขัดเคือง และอยากจะบอกผู้กำกับ เอ้ย พนักงานรุ่นพี่
นี่คุณ จะไม่ง่ายกว่าเหรอ ถ้าคุณจะเจาะให้ฉันเสียเอง ฉันคิด แต่ทำอะไรไม่ได้เลย ได้แต่ภาวนาขอให้ฉันผ่านพ้น เคราะห์กรรม ที่ว่านั้น ซึ่งคำอฐิษฐานฉันก็เป็นจริงขึ้นมา เมื่อเด็กสาวคนนั้น หาเส้นเลือดฉันเจอเอาครั้งที่
เหตุเกิดที่โรงพยาบาล (วิบากกรรมที่ฉันประสพ เมื่อต้องไปพบกับคุณหมอ )
ฉันป่วยเป็นโรคภูมิแพ้มาหลายปี แม้จะไม่ร้ายแรง แต่ก็เรื้อรัง กินยาก็แล้ว พ่นยาก็แล้ว จนแล้วจนรอดก็ไม่หายสักที ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วโทนโท่ โรคภูมิแพ้ และคนแพ้คือฉัน ไม่ใช่มัน
พูดถึงโรงภูมิแพ้ หรือ allergy บางคนก็แพ้ฝุ่นละออง แพ้เกสรดอกไม้ที่ลอยอยู่ในอากาศ อาหาร เครื่องดื่ม ยา เครื่องสำอาง ขนหมา ขนแมว และอื่นๆอีกมาก อาการที่ตามมา คือ คันจมูก คันตา น้ำมูกไหล บางคนเป็นหนักหอบหืด หายใจไม่ออกก็มี
พูดถึงอาการของฉัน จะว่าไปก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไร แค่คันจมูก คันตา ทุกครั้งเมื่อมันมาเยือนในฤดูกาลของมัน allergy season ซึ่งช่วงที่ว่า จะอยู่ในฤดูใบไม้ผลิ เพราะต้นไม้เริ่มงอกงาม ดอกไม้บานสะพรั่ง เกสรก็ปลิวว่อนมาตามลม พอฉันสูดดมเข้าไป เป็นต้องจามทันที
โรคนี้ไม่หายขาด ทำได้ก็แค่ไปหาหมอ เอายากิน สเปย์มาพ่น รวมทั้งยาหยอดตา เวลาที่อาการกำเริบ คันตายิบๆ แต่ยา ก็ช่วยได้ครู่พัก พอเจอเกสรดอกไม้เข้านิด ได้กลิ่นอะไรหอมๆเข้าหน่อย ตาหูก็จะ คันยิบๆ น้ำตาไหลเผาะๆ
พูดถึงหมอ พูดถึงโรงพยาบาลขึ้นมาทีไร ฉันละสุดแสนจะเซ็ง เพราะไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลที่เมืองไทย หรือ * biloxi,ms usa ที่ฉันอาศัย มันก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่นักหรอก
นัดกับหมอเวลาเท่านั้นเท่านี้ แต่ไปพอถึงโรงพยาบาลก็ต้องไปรอจนอ่อนใจ แล้วบรรยากาศในโรงพยาบาล ไม่ใช่ห้างสรรพสินค้า พอนั่งๆ นึกเบื่อขึ้นมาจะได้ไปเดินชมข้าวของที่สวยๆงามๆ ที่โรงพยาบาล เห็นแต่คนป่วยที่หน้าตาขึ้งเครียดเพราะโรคภัย ขอให้ห็นครั้งคราใด พาใจหดหู่
แต่แม้จะไม่ชอบโรงพยาบาลอย่างที่บอก หากพอป่วยขึ้นมา ฉันก็ต้องไปโรงพยาบาลหาหมออยู่ดี โดยเฉพาะคราวนี้ที่ ฉันเป็นหนัก จนตาข้างซ้ายลืมไม่ขึ้น น้ำตาไหลไม่หยุด
จะว่าไป เรื่องนี้โทษใครไม่ได้ ต้องโทษตัวเอง เรื่องของเรื่อง คิดว่ามันจะเป็นอย่างทุกครั้ง คือวันสองวัน กินยานิด หยอดยาหน่อย เดี๋ยวก็หาย แต่ทำไปทำมาคราวนี้ เป็นตั้งอาทิตย์กว่า คันตายิบๆ ลามเรื่อยมาถึงจมูก จามเอาๆ ยาพ่นก็เอาไม่อยู่ ยากินก็ไม่ได้เรื่อง ฉันเห็นท่าไม่ไหวแน่จริงๆ ฉันก็เลยตัดสินใจโทรนัดหมอ
ทุกครั้งที่มีนัดกับหมอ จะต้องไปถึงโรงพยาบาลประมาณครึ่งชั่วโมงล่วงหน้า อันนี้เป็นกฎของเขา เพราะเราต้องไปกรอกแบบฟอร์มคนไข้ จากนั้นก็นั่งรอ ซึ่งส่วนใหญ่ฉันจะไปล่วงหน้าเป็นชั่วโมง เพราะไปเนิ่นๆ ดีกว่าไปช้า
แต่คราวนี้แทนที่หมอจะนัดฉันตอนบ่ายอย่างเคย ดันนัดตอนเช้าตรู่ เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เลยเกิดขึ้นจนได้
เมื่อฉันขับรถออกจากบ้าน ที่ขับรถแค่สิบนาทีกว่าๆก็ถึง พารถวิ่งขึ้นมาถึงสะพาน ติดอยู่แค่คอสะพาน ไม่ทันจะขึ้น สะพานดันเปิด เพราะเรือใบกระโดงสูงลิ่วราวตึกเจ็ดชั้น ดันจะมาแล่นผ่านเอาตอนนั้นพอดี ตายละจะทำอย่างไรดีละเนี่ย เวลานัด 7.45 เวลาตอนนั้น 7.15
แม้โรงพยาบาลจะเห็นอยู่รำไร แค่ลงสะพานเลี้ยวซ้าย เข้าซอยไปนิดก็ถึง แต่เรือเจ้ากรรมแล่นตามลม ไม่ได้ติดเครื่อง จึงเคลื่อนตัวไปอย่างเชื่องช้า ไม่ไปพ้นจากสะพานเสียที ( เครียดว้อย )
ปกติเสียงเพลงจากวิทยุในรถ จะทำให้ฉันชื่นช่ำใจ แต่คราวนี้ฟังแล้วกลับหาความไพเราะมิได้ เรื่องของเรื่อง เพราะกลัวไปไม่ทัน แล้ว
Row, row, row your boat
Gently down the stream,
Merrily merrily, merrily, merrily
Life is but a dream
ท่อนท้ายของเพลง ช่างเปรียบเปรย อันว่าชีวิตคนเรานั้นหนอ เปรียบได้ ดังความฝัน ซึ่งฉันเองในเวลานี้ ก็กำลังตกอยู่ในความฝันเช่นกัน แต่เผอิญว่าเป็นฝันร้าย มิใช่ฝันดี
ระหว่างที่ฉันนั่งลุ้นให้เรือใบวิ่งผ่านสะพานไปเร็วๆ แต่มันก็ยังช้าเชื่องไม่ทันใจ จู่ๆน้ำตาเจ้ากรรมก็ดันพรั่งพรูออกมา ทำให้แว่นกันแดดพร่ามัว มองเห็นเสากระโดงเรือลางๆ ฉันรีบดึงแว่นกันแดดออกมา เช็ดลวกๆ พร้อมกับสวมกลับเข้าไปเร็วๆ แต่เดี๋ยวเดียว แว่นตาก็มัวอีก เมื่อน้ำตาไหลออกมาอีกระลอกใหญ่
ให้ตายสิพับผ่า ... กระจกรถยังมีที่ปัดน้ำฝน คงจะดีไม่น้อย หากวันหนึ่งแว่นตามีที่ปัดบ้าง เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นละก้อ ฉันคงไม่ต้องคอยถอดแว่นตาเข้าๆออกๆ แต่ใช้ที่ปัดแทนมือ
“ขอบคุณสวรรค์” ฉันร้องแรกออกมาดังๆ เมื่อเรือแล่นผ่านไป ครู่ต่อมา สะพานก็เปิดขึ้นช้าๆ ช้ามาก รถที่ติดยาว เคลื่อนตัวอีกครั้ง อย่างเชื่องช้า ฉันดีใจที่หลุดพ้นจากสะพานมาได้ แต่ก็รู้สึกอย่างนั้นได้ไม่นาน เพราะพอลงจากสะพาน ไอ้ตอนที่เลี้ยวจะเข้าซอยโรงพยาบาล รถดันติดหนึบเป็นแพไม่ขยับเขยื้อนไปไหน
ฉันเห็นแล้วก็อึ้ง พูดอะไรไม่ออก ไอ้ครั้นจะร้องเพลง Raw your boat ก็ใช่ที่ เพราะที่ติดเป็นพรืดคือรถ ไม่ใช่เรือ
ทำได้อย่างเดียวคือเอาความนิ่งสยบทุกสิ่ง พร้อมกับท่องประโยคฮิตที่ว่าไปมาอยู่ในใจ
ใจเย็นไว้แม่อนันต์ กุ๊กๆ ( แม่จำเนียร นั่นพ่อปลาไหล ส่วนแม่อนันต์ คนเขียนค่ะ)
เมื่อฉันพารถมาจอดภายในลานจอดของโรงพยาบาล เหลืออีกห้านาทีจะถึงเวลานัด ฉันลงจากรถได้ฉันวิ่งบ้างเดินบ้าง เข้าไปในโรงพยาบาลที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงหน้า
เข้าไปห้องรอ ก็วิ่งพรวดไปที่ฝ่ายติดต่อ เมื่อไปยืนหอบแฮกๆ พนักงานหญิง เวลาขณะนั้น 7.45 พอดีพอดิบ
ฉันหอบเสร็จ ก็บอกชื่อเสียงเรียงนาม บอกว่ามีนัดตอน 7.45 และรีบบอกเหตุผลก่อนที่หล่อนจะถาม ว่าที่มาเอาเสียกระชั้นชิดแบบนี้ ก็เพราะสะพานดันเปิดพอดี
พนักงานรับฟังไปงั้น ไม่พูดอะไรสักคำ แค่ส่งแบบฟอร์มคนไข้ให้ฉัน พร้อมกับบอกเสียงห้วนๆ
“เอาแบบฟอร์มคนไข้ ไปกรอกซะ”
ตายแล้ว ฉันร้องแรกในใจ จะไม่ตายยังไงไหว ทันทีที่นั่งแปะลงบนเก้าอี้ เปิดกระเป๋าถือ หาแว่นสายตา ดันลืมเอามา จะกรอกอย่างไรล่ะทีนี้ ขนาดหนังสือตัวธรรมดายังอ่านยาก แล้วนี่ตัวนิดเดียว แถมมีคำถามเต็มๆถึงหนึ่งหน้า
แม้จะคุ้นเคยกับคำถามซ้ำๆที่ว่า แต่ความลางเลือนของมัน ทำให้ฉันไม่กล้าที่จะกรอกอะไรลงไปในนั้น
ระหว่างที่ฉันกำลังเป็นทุกข์เป็นร้อน เพราะกรอกแบบฟอร์มคนไข้ไม่ได้ เพราะดันลืมสายตา พนักงานชายร่างสูงเฉียดเสาไฟก็ปรากฏตัวตรงหน้า พร้อมกับเรียกชื่อฉัน
“คุณอนันต์ อยู่ไหมครับ ”
“อยู่นี่ค่ะ “ฉันขานรับ ลุกขึ้นเดินไปหา แล้วบอกเขาก่อนที่เขาจะพูดอะไร
“ฉัน เพิ่งจะมาถึง จะกรอกแบบฟอร์ม ดันลืมแว่น กรอกไม่ได้ “
พนักงานมองฉันแบบเซ็งๆ ก่อนจะบอกฉัน ด้วยน้ำเสียงเนือยๆ
“โอ.เค ตามมา อิป้า ( อิป้า นี่พูดเองค่ะ เขาไม่ได้พูด)
ในห้องตรวจ คำถามแรกที่เขาถามฉันก็คือ มาวันนี้ เพราะเหตุใด ฉันก็ตอบเขาไปว่า ภูมิแพ้กำเริบ พร้อมกับชี้ ตาข้างซ้ายที่บวมเป่งให้เขาดู
จากคำถามแรก เขาก็ถามฉันอีกหลายคำถาม ที่อยู่ในฟอร์ม แต่ฉันไม่ได้กรอกลงไป เพราะเหตุขัดข้องทางเทคนิค หมดจากคำถามซีเรียส เขาก็ถามฉันถึงส่วนสูง
ฉันตอบเขาอ้อมแอ้มๆ ไม่เต็มเสียง ห้าฟุตสอง ความจริงห้าฟุตหนึ่ง กว่านิดๆ แต่สำหรับฉัน ถ้าเป็นความสูง จะปัดขึ้น แต่ถ้าเป็นอายุ จะปัดลง เช่นเดียวกับน้ำหนัก
พนักงานถามคำถามเรียบร้อย ก็วัดความดัน กับวัดอุณหภูมิ เสร็จสรรพก็ออกไป ครู่ต่อมาคุณหมอก็เข้ามาในห้อง เธอแนะนำตัวเองว่า ชื่อ คุณหมออลิซ มาแทนคุณหมอ มิมี เอ้ย มีมี่ คุณหมอประจำตัวฉันที่เกิดมีงานด่วนขึ้นมาพอดี
ฉันว่าคุณหมอมีมี่ ใจดีแล้วนะ แต่พอมาเจอคุณหมออลิซ ขานี้ใจดีกว่าเป็นไหนๆ เพราะแค่วินาทีแรกที่เธอก้าวเข้ามาในห้อง เธอก็แจกรอยยิ้มใส่ฉันเป็นชุด แถมตอนที่เดินผ่านฉันที่นั่งสงบเสงี่ยมที่เก้าอี้ ไปยังยังโต๊ะทำงานตรงหน้า เธอตบบ่าฉันเสียจนเกือบตกเก้าอี้ดีนะว่าฉันยึดเก้าอี้ได้ทัน ผู้หญิงอะไรไม่รู้มือหนักเป็นบ้า
แต่ถึงคุณหมออลิซ จะมือหนัก แต่ก็เฟรนด์ลี่ ยิ้มเก่ง พูดเก่ง มิหนำซ้ำยังพกเอาความใส่ใจ มาเป็นกระบุงจนฉันคาดไม่ถึง
“ตายแล้ว ทำไมปล่อยให้ตาบวมฉึ่งขนาดนี้ ดีนะที่อีกข้างไม่พลอยอักเสบไปด้วย “คุณหมอพูดจบ ก็จัดแจงเอาเอาเครื่องมือตรวจหู ส่องหูฉัน
“พระเจ้า หูเธอก็อีกเสบด้วยนะ นี่เธอไม่รู้หรือว่า รู้แต่ไม่สนใจ” ระหว่างที่พูด ตาก็สำรวจสรีระฉันไปพลางๆ คุณหมอไม่จำเป็นต้องพูด ฉันก็อ่านสายตาคุณหมอออก ที่หมอมองฉัน ก็เพื่อให้แน่ใจ ว่าไม่มีโรคร้ายในกายฉัน หลุดรอดไปจากสายตาคุณหมอแน่ๆ ฉัน ยิ้มแห้งๆให้คุณหมอ พร้อมกับคิดไปถึงคุณหมอประจำตัว
ทุกครั้งที่เจอ คุณหมอมีมี่ เธอจะทักทายยิ้มๆ แล้วก็สั่งยาตัวเดิม หรือไม่ก็ส่งไปเจาะเลือด วนอยู่อย่างนั้น ผิดกับคุณหมอตัวสำรอง เอ้ยคุณหมออลิซ
แวบหนึ่ง ฉันอดคิดถึงแม่ของฉันไม่ได้ นี่ถ้าแม่พบกับคุณหมออลิซ แม่ต้องแฮปปี้แน่ๆ เพราะแม่ฉัน เป็นอะไรนิดหน่อย ไม่ได้เป็นต้องแล่นไปหาหมอ และทั้งที่ไม่ได้ปวดหัว หรือเป็นไข้ แม่ก็กินยาดักไว้ก่อนที่จะเป็น ตรงกันข้ามกับฉัน
ถ้าไม่ไหวจริงๆ ถึงจะหาหมอ ส่วนยา จะกิน ก็เมื่อหนักหนาสาหัสจริง เพราะฉันเชื่อตลอดมา ถ้าเราทำอะไรซ้ำๆ มันจะติด อย่างแม่ฉันนี่ไงคะ ความที่กินยาไม่หยุด สุดท้ายเลยเห็นยาเป็นขนม กินเอาๆ และเพราะเหตุนี้นี่แหละ แม่ก็เลยทำให้ฉันทึ่งสุดๆในวันนั้น ที่ฉันไม่เคยลืม และยังไงก็คงจะลืมไม่ลง
วันที่ว่า อยู่ดีๆฉันก็ปวดหัวขึ้นมา ปวดจนน้ำตาไหล ระหว่างที่ลังเลๆ ว่าจะกินยาดี หรือว่ารอให้มันหายเอง แม่เห็นแล้วคงจะรำคาญ เลยบอกว่า ถ้าไม่อยากกิน เดี๋ยวจะกินแทนให้ก็ได้ คำพูดของแม่ ทำเอาฉันพูดไม่ออก ได้แต่มองหน้าแม่ นึกว่าแม่ล้อเล่น แต่แม่กลับยืนยันกับฉันยิ้มๆ
“แม่พูดจริงๆนะคุณหนู เผื่อแม่กินแทน คุณหนูอาจจะหายปวดหัวยังไงละ”
“อย่าดีกว่าแม่ เพราะถ้าแม่กินยาแทนหนู แล้วเกิดหนูหายขึ้นมา แม่อาจจะต้องกินยาแทนหนู ไปตลอดชีวิต ก็ได้นะ”
แม่ได้ยินฉันว่า ก็หัวเราะอย่างขบขัน ผิดกับฉัน ที่อย่าว่าแต่จะหัวเราะเลย แม้แต่ยิ้มก็ยิ้มไม่ออก เพราะงุนงง กับตรรกะของแม่อย่างที่สุด
“คุณอนันต์ “
เสียงของคุณหมอดึงความคิดฉันกลับมา ฉันส่งยิ้มให้คุณหมอ ขยับท่านั่งตรง บอกให้หมอรู้ ฉันพร้อมจะรับฟังคุณหมอว่า ขาข้างซ้ายที่อยู่ใต้โต๊ะไขว้ทับขาขวา วันก่อนฉันทำสวนหกล้ม หัวเข่าแตก แล้วแทนที่จะใส่กางเกงขายาว อย่างทุกครั้งที่มาพบหมอ ฉันดันสวมกระโปรงความยาวเพียงหัวเข่า ฉันก็เลยเกรงว่าถ้าเกิดหมอเห็นว่าหัวเข่าฉันแตก ดีไม่ดีอาจจะส่งฉันไปหาหมอกระดูก ( คิดมาก จิตตก)
ฉันไม่เอาด้วยหรอกนะ ไปหาหมอกระดูก สู้กลับไปนอนดูละครที่บ้านสบายใจกว่าเป็นไหนๆ
“ฉันสั่งยาตัวเดิมที่คุณหมอประจำตัวเธอเคยสั่งให้ ส่วนอาการหูอักเสบของเธอ ฉันให้ยากิน กับยาหยอด กินตามเวลา ห้ามเบี้ยวนะ เพราะเกิดไม่หายขึ้นมา จะมาว่าหมอไม่ได้ อ้อ ว่าแต่ก่อนมาพบหมอ เธอ ทานข้าวมาหรือยัง”
“ยังเลยค่ะ”
“วิเศษเลย งั้นเดี๋ยวเธอรีบไป ที่แลป เจาะเลือดเสียหน่อย “
“ค่ะ” ฉันรับเสียงอ่อน เกือบจะปล่อยโฮออกมา เมื่อนึกไปถึงวิบากกรรมที่ผ่านมาแต่หนหลัง….
ฉันจะมีปัญหาทุกครั้งที่ต้องเจาะเลือด คนอื่นอาจจะเจาะครั้ง สองครั้ง ผิดกับฉันที่เส้นเลือดเล็กผิดปกติ กว่าจะเจอเส้นเลือดได้ ก็ต้องเจาะแล้วเจาะอีก มีอยู่คราวหนึ่งที่ฉันไม่เคยลืม เมื่อคนไข้ดวงฉันจู๋อย่างฉัน โคจรไปพบกับเด็กอินเทิร์น เข้าให้
เธอเป็นเด็กวัยรุ่นที่มาฝึกงาน และคนไข้คนแรกของเธอคือฉัน เพราะอ่อนด้วยประสบการณ์ เธอก็เลยเจาะผิดเจาะถูก โดยมีรุ่นพี่คอยยืนกำกับบท พร้อมกับตวาดแว๊ดๆ ทุกครั้งที่เธอทำผิด
“ตรงนี้ๆ ไม่ใช่ตรงนั้น แทงเข้าๆ นั่นๆ เกือบแล้วๆ อีกนิดหนึ่ง นั่นๆ แทงเข้าไป ”
ฉันนั่งกัดฟันกรอดๆ ดีนะว่าเป็นฟันจริง ถ้าเป็นฟันปลอมละก้อ มีหวังกระเด็นออกมาทั้งแผง เพราะขัดเคือง และอยากจะบอกผู้กำกับ เอ้ย พนักงานรุ่นพี่
นี่คุณ จะไม่ง่ายกว่าเหรอ ถ้าคุณจะเจาะให้ฉันเสียเอง ฉันคิด แต่ทำอะไรไม่ได้เลย ได้แต่ภาวนาขอให้ฉันผ่านพ้น เคราะห์กรรม ที่ว่านั้น ซึ่งคำอฐิษฐานฉันก็เป็นจริงขึ้นมา เมื่อเด็กสาวคนนั้น หาเส้นเลือดฉันเจอเอาครั้งที่