ศาสนามีข้อเสียอย่างไรบ้าง?

กระทู้สนทนา
คำสอนดั้งเดิมหรือแก่นแท้หรือหัวใจของทุกศาสนานั้นจะ สอนให้ทุกคนเป็นคนดี รักผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่น ไม่เบียดเบียนใครๆ และสอนให้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ประหยัด งดเว้นสิ่งที่ไม่ดี เช่น สิ่งเสพติด สิ่งฟุ่มเฟือย การพนัน การดื่มสุรา เป็นต้น รวมทั้งสอนให้ขยัน อดทน เสียสละ เป็นต้น ซึ่งคำสอนเหล่านี้นับว่ามีประโยชน์อย่างยิ่งต่อผู้ที่ปฏิบัติได้และต่อสังคมโดยรวม ถ้าทุกคนหรือ ส่วนใหญ่ปฏิบัติได้เช่นนี้ โลกก็จะมีสันติภาพได้

ความจริงแล้วหลักคำสอนดั้งเดิมของทุกศาสนาจะมีไม่มาก แต่ภายหลังได้มีการแต่งเติมคำสอนออกไปมากมาย ซึ่งก็มีทั้งที่ตรงกับหลักคำสอนดั้งเดิม และผิดเพี้ยนจากหลักคำสอนดั้งเดิมออกไปจนกลายเป็นเรื่องราวและการปฏิบัติที่งมงายไร้เหตุผล ที่ไม่ได้ช่วยให้ผู้นับถือหรือผู้มาศึกษาเกิดความเข้าใจและเห็นแจ้งในชีวิตขึ้นมาได้ รวมทั้งไม่ได้ช่วยทำให้ความทุกข์ของผู้ที่นับถือ ลดน้อยลงหรือหมดสิ้นไปได้อย่างแท้จริงเลย ซ้ำร้ายยังจะทำให้ชีวิตมีความทุกข์เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

   ในปัจจุบันสิ่งหนึ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาในศาสนาก็คือ “พิธีกรรม” ซึ่งจัดว่าเป็นส่วนเกินของศาสนาที่คนรุ่นหลังๆแต่งเติมขึ้นมาให้ผู้นับถือปฏิบัติ เพื่อให้มีระเบียบแบบแผน และสร้างความน่าเชื่อถือมากขึ้น แต่กลับเป็นว่าผู้คนที่นับถือกลับมายึดถือพิธีกรรมว่าเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ และเห็นว่าพิธีกรรมสำคัญมากกว่าหลักคำสอนเสียอีก จนทำให้ผู้นับถือเกิดความเห็นผิดว่า พิธีกรรมเป็นหัวใจของศาสนา มากกว่าหลักคำสอนที่เป็นหัวใจ

    อีกสิ่งหนึ่งก็คือ “เรื่องการอาศัยศาสนาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์”  โดยนักสอนศาสนา (หรือนักบวชของศาสนา) บางคนที่หวังผลประโยชน์ทางวัตถุ ก็อาศัยศาสนาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ โดยอาศัยศาสนาบังหน้าเพื่อให้ผู้ที่เชื่อถือนำทรัพย์หรือสิ่งของหรือเกียรติยศชื่อเสียงมาให้ ถ้าใครจะหันหน้าเข้าหาศาสนาก็จะต้องบริจาคทรัพย์จึงจะได้รับความสนใจ แต่ถ้าใครไม่มีทรัพย์ก็จะไม่ได้รับความสนใจ คือแทนที่ศาสนาจะเป็นฝ่ายให้แต่กลับจะเป็นฝ่ายเอาเพียงอย่างเดียว ซึ่งส่วนมากแล้วนักสอนศาสนาเช่นนี้จะร่ำรวย แต่ว่าผู้นับถือกลับยากจน จึงทำให้ศาสนาถูกมองว่าเป็นธุรกิจแสวงหาผลประโยชน์จากผู้นับถือไปในที่สุด

   อีกเรื่องหนึ่งคือ “ปัจจุบันศาสนามักสอนให้คนเห็นแก่ตัว” คือศาสนาส่วนใหญ่จะมีคำสอนเรื่องการบริจาคทรัพย์ให้แก่ทางศาสนา แล้วบอกคล้ายกับว่านี่เป็นการสั่งสมหรือฝากทรัพย์เอาไว้ เพื่อไปรับเอาในโลกหน้า ภายหลังที่ตายจากโลกนี้ไปแล้วตามความเชื่อของศาสนา อีกทั้งยังสอนว่าถ้าบริจาคเพียงเล็กน้อย ก็จะได้รับผลมากมายในโลกหน้า ยิ่งถ้าบริจาคมาก ก็จะยิ่งได้รับผลทวีคูณหลายร้อยหลายพันเท่าเลยทีเดียว นี่เองที่ทำให้คนที่นับถือเกิดความเห็นแก่ตัว  คือคนมีทรัพย์มากก็คิดว่า ในโลกนี้ตนเองก็มีทรัพย์ใช้สอยอย่างสุขสบายอยู่แล้ว แต่เมื่อตายไปทรัพย์ที่เหลือก็จะไม่สามารถเอาติดตัวไปด้วยได้ จึงได้เสียดายทรัพย์เหล่านั้น และอยากที่จะเก็บทรัพย์เหล่านั้นเอาไปไว้ใช้สอยในโลกหน้า ที่เชื่อว่าจะมีอีกตามความเชื่อของศาสนา เขาจึงได้เอาทรัพย์จำนวนมากไปบริจาคกับทางศาสนา เพื่อหวังจะไปรับเอาในโลกหน้า แทนที่จะบริจาคเพื่อช่วยเหลือสังคมด้วยใจบริสุทธิ์

นี่เองที่ทำให้ศาสนาถูกมองว่า สอนให้คนเห็นแก่ตัว คือทำอะไรๆเพื่อตัวเอง ไม่ได้เสียสละเพื่อสังคมด้วยใจบริสุทธิ์โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆอย่างแท้จริง แม้ผู้คนส่วนใหญ่จะมองว่าผู้บริจาคนั้นเป็นคนมีจิตใจงดงามและเสียสละก็ตาม ซึ่งแม้คนที่มีทรัพย์น้อยก็ยังเห็นแก่ตัว ด้วยการเจียดทรัพย์ที่มีน้อยของตนไปบริจาคแข่งขันกัน เพื่อหวังไปรับเอาในโลกหน้าด้วยเช่นกัน ซึ่งลักษณะเช่นนี้เรียกว่า “บ้าบริจาค” เพราะอยากกักตุนเอาไว้เพื่อตัวเองในโลกหน้า ที่แม้จะยังไม่มีใครสามารถพิสูจน์ให้เห็นจริงได้ก็ตาม

   อีกเรื่องหนึ่งก็คือ “การนำเอาสิ่งที่ไม่ใช่หลักของศาสนามาสั่งสอนหรือปฏิบัติ”  ซึ่งอาจเป็นเพราะว่ามีคนนิยมและได้ผลประโยชน์มาก แต่ว่าเป็นเรื่องนอกศาสนาบ้าง งมงายบ้าง ไร้สาระบ้าง ไร้เหตุผลบ้าง หรือทำลายหลักคำสอนดั้งเดิมของศาสนาบ้าง แล้วก็สนใจนำมาศึกษาและปฏิบัติกันอย่างจริงจัง จนลืมหลักคำสอนดั้งเดิมของศาสนาไปในที่สุด

   อีกเรื่องหนึ่งก็คือเรื่อง “การปฏิบัติที่เสื่อมเสียของนักสอนศาสนาหรือนักบวชของศาสนา” คือก็อาจมีนักสอนศาสนาหรือนักบวชในศาสนาบางคนที่ปฏิบัติตัวเสื่อมเสีย แต่เป็นที่สนใจของสังคม ก็ทำให้ผู้คนมองไปว่า คำสอนของศาสนานั้นไม่ดีจริง เพราะแม้ผู้สอนศาสนาเองก็ยังปฏิบัติตรงข้ามกับที่ตนเองสอน

อีกเรื่องหนึ่งคือ “พฤติกรรมของผู้นับถือศาสนา” คือคำสอนของศาสนานั้นถึงแม้จะดีงาม แต่ก็ใช่ว่าผู้นับถือทุกคนจะปฏิบัติตามได้อย่างเคร่งครัด เมื่อมีผู้นับถือศาสนาบางคนที่ประพฤติเสื่อมเสีย หรือยิ่งถ้ามีคนประพฤติเสื่อมเสียมากๆ คนที่นับถือศาสนาอื่นหรือคนไม่มีศาสนาก็จะมองศาสนานั้น ว่ามีคำสอนที่ไม่สามารถช่วยให้ผู้นับถือเกิดมีความประพฤติที่ดีงามขึ้นมาได้

    อีกเรื่องหนึ่งก็คือ “ข้อบังคับของศาสนา” ซึ่งแทบทุกศาสนามักจะมีกฎเกณฑ์บังคับเอาไว้ให้ผู้ที่นับถือต้องปฏิบัติตามทั้งสิ้น ไม่โดยตรงก็โดยอ้อม  คือเท่ากับว่าแทนที่ศาสนาจะช่วยให้มีอิสรภาพ แต่กลับเป็นว่าศาสนากลายเป็นสิ่งครอบงำหรือผูกมัดให้ผู้นับถือสูญเสียอิสรภาพในการคิด การพูด และการกระทำที่แม้ว่าจะถูกต้องดีงามในระดับสากลก็ตาม

  อีกเรื่องคือ “ความใจแคบของศาสนา” คือศาสนาส่วนใหญ่มักจะสอนทำนองว่า ถ้าใครไม่มานับถือศาสนานี้ แล้วไปนับถือศาสนาอื่น เมื่อตายไปก็จะต้องได้รับโทษอย่างแสนสาหัสตราบนานเท่านาน แต่ถ้าใครมานับถือและปฏิบัติตามคำสอนของศาสนานี้อย่างเคร่งครัด เมื่อตายไปก็จะได้รับรางวัลอย่างล้นเหลือตราบนานเท่านานเลยทีเดียว

จากสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายที่เกิดขึ้นในภายหลังของศาสนาทั้งหลายนี่เอง ที่ทำให้คนที่มีปัญญาบางคนเบื่อหน่ายศาสนาที่เขานับถืออยู่ เพราะเขามองเห็นทั้งความงมงายไร้สาระ มองเห็นความเสื่อมเสีย มองเห็นการครอบงำ มองเห็นการแสวงหาผลประโยชน์ มองเห็นความเห็นแก่ตัว และมองไม่เห็นว่าศาสนาจะช่วยให้เขามีความเข้าใจและเห็นแจ้งในชีวิตได้อย่างไร? รวมมองไม่เห็นว่าศาสนาจะช่วยให้เขาหลุดพ้นจากความทุกข์ของชีวิตที่กำลังประสบอยู่นี้ได้อย่างไร?

ดังนั้นผู้ที่มีปัญญาเหล่านี้จึงพยายามแสวงหาศาสนาที่บริสุทธิ์  ที่ดีงาม, มีประโยชน์, ไม่มีโทษ, ไม่แสวงหาผลประโยชน์, ไม่งมงายไร้เหตุผล, ให้อิสระ, เป็นสากล, และช่วยให้มีความเข้าใจและเห็นแจ้งในชีวิต, รวมทั้งช่วยให้หลุดพ้นจากความทุกข์ หรือมีความทุกข์ลดน้อยลงได้ ซึ่งก็ยากที่จะได้พบศาสนาเช่นนี้ในปัจจุบัน ดังนั้นบางคนจึงละทิ้งศาสนาของตนแล้วกลายมาเป็นคน “ไม่มีศาสนา” ไปในที่สุด ซึ่งนับวันคนไม่มีศาสนาเช่นนี้ จะมีมากขึ้นในโลกยุคปัจจุบัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่