ขอเล่าประสบการณ์ตรวจ HIV ของตัวเองหน่อยนะครับ

เนื่องจากผมเห็นมีกระทู้ด้านล่างที่ลงเกี่ยวกับ HIV ประกอบกับผมก็ทำงานใน field ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ ยาและ เครื่องมือแพทย์ จึงอยากมาเล่าประสบการณ์การตรวจ HIV ของตัวเองให้เพื่อนๆนะครับ

เนื่องจากเมื่อประมาณต้นปี 2012 ผมไม่สบายค่อนข้างเรื้อรัง เริ่มจาก ไอแห้งๆ เหนื่อยง่าย หายใจแรง เป็นแบบนี้อยู่เป็นเดือน ซึ่งตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่าคงไม่สบายธรรมดา ผ่านไปเดือนนึงเริ่มสังเกตอาการตัวเองมากขึ้นคือ มีไข้ต่ำช่วงบ่าย เหงื่อออกเยอะตอนกลางคืน  ช่วงนั้นก็เริ่มสงสัย จึงลองหาข้อมูลในเน็ต เป๊ะเลยครับ วัณโรคปอด ผมไปพบหมอที่ รพ  คุณหมอก็เอาเสมหะไปตรวจและสรุปวัณโรคแน่นอน ก็กินยาไป ช่วงกินยาแรกๆนี่เมายานิดหน่อยแต่ไม่เป็นอะไรมาก ผ่านไปอาทิตย์กว่าๆอาการทั้งหมดนี่ก็หาย แต่ถึงอาการหายไป ความกังวลก็ยังคงอยู่ เพราะอย่างที่ทราบว่าวัณโรคปอด พบมากในคนที่ติดเชื้อ HIV เพราะคนปกติ จะสามารถกำจัด หรือกดเชื้อนี้ได้ด้วยภูมิต้านทานของตัวเอง แต่ถึงจะกังวล ก็ไม่กล้าไปตรวจและคิดว่าตัวเองอาจจะเสี่ยงบ้าง แต่ก็ป้องกันตลอด ไม่เคยมั่วหรืออะไร

หลังอาการที่ว่ามาหายไป ผมพบว่าตัวเองมีก้อนเนื้อที่หลังศรีษะปูดออกมากประมาณครึ่งลูกปิงปอง จึงไปหาคุณหมอที่ รพ เดิม ซึ่งคุณหมอบอกว่าเป็นซีสส์ จึงนัดผ่าออก และเอาชิ้นเนื่อไปตรวจ (ช่วงนี้อาการวัณโรคหายแล้ว แต่ยังกินยาอยู่) พอไปฟังผลชิ้นเนื้อ หมอบอกว่าเป็นเชื้อรา ตอนนั้น ผมฟังแล้วรู้สึกหูอื้อเลย เพราะผมพอจะทราบว่าคนที่เป็นวัณโรคเกิดจากภูมิต้านทานอ่อนแอ แล้วยังมาเจอเชื้อราอีก เลยคิดถึง HIV มากกว่าเดิม ผมถามคุณหมอว่าคนปกติคุณหมอเจอแบบนี้บ้างมั้ย คุณหมอบอกว่าไม่เจอในคนปกตินะ ซึ่งผมก็พอเข้าใจความหมายที่คุณหมอพูด

คุณหมอนัดให้มาพบหมอเฉพาะทางอีกทีในอาทิตย์ถัดไป แต่ตอนนั้นขับรถกลับบ้านแบบงงๆ และกลัวมากที่จะเป็น HIV สุดท้ายตัดสินใจขับรถไปคลินิคนิรนามขอตรวจ HIV ช่วงที่รอฟังผลตื่นเต้นมาก เปิดโทรศัพท์ดูนั่นดูนี่ แต่อ่านอะไรไม่ออกเลย พอ จนท มาแจ้งผลตรวจบอกว่า Negative ผมโล่งใจมาก
รู้สึกเหมือนดีใจสุดๆ จนท ถามว่ามีความเสี่ยงครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ผมบอกว่าประมาณ สองเดือน ซึ่ง จนท ก็บอกว่าตรวจแบบนี้มั่นใจได้ 99% แล้ว

พอไปพบคุณหมอด้านโรคติดเชื้อ คุณหมออ่านประวัติแล้วหน้าเครียดเลย บอกว่าหมอต้องตรวจ HIV นะ ผมบอกว่าตรวจแล้วว่าไม่เป็น คุณหมอก็บอกว่าไม่เป็นก็ดีแล้ว ก็ให้ยามารักษาเชื้อราไป ซึ่งผมรักษากับคุณหมอท่านนี้ประมาณสองเดือน ซึ่งในครั้งสุดท้ายที่คุณหมอนัด ผมก็ยังสะกิดใจกับอีก 1% ที่ จนท บอกไว้ ก็เลยขอให้ รพ ตรวจ HIV อีกที พยาบาลจึงเอาเอกสารมาให้เซ็น แต่ตอนนั่งครั้งนี้ไม่เครียดเหมือนครั้งก่อนแล้ว ผ่านไปชั่วโมงกว่าๆ คุณหมอก็ยืนยันตามที่คลินิคนิรนามบอก แต่คราวผมมั่นใจ 100% แล้วเพราะระยะเวลาที่ตรวจครั้งนี้ ก็ทิ้งระยะจากความเสี่ยงครั้งสุดท้ายมากว่า 3 เดือนแล้ว

หลังจากนั้น ผมก็คุยกับคุณหมอเรื่อง HIV อีกแป๊บนึง ก็ได้ความรู้เรื่องนี้มากขึ้นเยอะ เช่น
- การที่เรา พสพ กับคนที่มีเชื้อนั้น โอกาสติดเชื้อก็ยังน้อย ยกเว้นแต่ คนนั้นมี VL สูง ซึ่งคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ก็แค่ 1% มีหลายเคสที่ สามี ภรรยา อยู่ด้วยกันหลายปี มีเซ็กส์ตลอดโดยไม่ได้ป้องกัน แต่อีกฝ่ายก็ไม่ติด ทั้งนี้ % ที่ชายจะติดจากหญิงนั้น จะน้อยกว่า หญิงติดจากชาย
- คนที่รับเชื้อมาแล้ว ถ้ารักจะสนุกอยู่ก็ต้องป้องกัน ไม่ใช่เพื่อคนอื่นไม่ติดจากเรา แต่ป้องกันไม่ให้เรารับเชื้อเพิ่มด้วย หากเรามีเชื้อ แต่ยังคงรับเชื้อเพิ่มเรื่อยๆ ภูมิต้านทานของเราก็จะลดลง
- ช รัก ช มีโอกาสติดสูงกว่า ช ญ หลายเท่าเลย จึงไม่แปลกใจที่คนกลุ่มนี้เป็นผู้ติดเชื้อเยอะมาก
- ไม่มีรูปแบบ พสพ ไหนที่บอกว่าปลอดภัย 100% แม้จะใส่ถุงยาง แต่โอกาสก็จะน้อยลงมาก 0.000x% วิธีที่ป้องกันได้ดีที่สุดคือ การรักษาศีลข้อ 3 ให้มั่นคง
- บางคนที่ไม่มีเชื้อ แต่มีความกังวล หรือจิตตกมากๆ ก็จะทำให้เราไม่สบายแล้วมีอาการเหมือนป่วย เช่น ปวดหัว ปวดท้อง เป็นไข้ จนทำให้เราคิดหรือวิตกมากกว่าเดิม
- ทุกวันนี้ ถึงแม้เราจะยังไม่สามารถรักษาโรคนี้ได้ แต่เราสามารถใช้ยาต้านเพื่อป้องกันภูมิต้านทานร่างกายต่ำลงไปมากและช่วยไม่ให้เป็นโรคฉวยโอกาสอื่นๆได้ คนที่เป็นโรคนี้สามารถอยู่ได้นานเหมือนคนอื่นๆ คุณหมอบอกว่าคนที่ดูแลตัวเองดี ทานยาครบจะสามารถอยู่ได้ 30 ปีขึ้นไปสบายๆ ยิ่งยาสมัยใหม่ จะเพิ่มอายุให้คนป่วยจนแทบไม่ต่างจากคนปกติ
- ถ้าใครทีมีความเสี่ยงที่ชัดเจน เช่น เมา ไม่ได้ป้องกัน หรือถุงแตก ให้รีบไปโรงพยาบาลเพื่อพบคุณหมอ แล้วสามารถรับยาฉุกเฉินซึ่งสามารถรักษาเชื้อให้หายขาดได้ โดยต้องรีบไปภายใน 72 ชั่วโมง แต่ประสิทธิภาพก็จะขึ้นกับระยะเวลาตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงเวลาทานยา แต่ผลข้างเคียงค่อนข้างเยอะ ดังนั้น ต้องพบหมอเท่านั้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่