The Battles of Middle-earth ตอนแรก The War of the Last Alliance

สวัสดีครับทุกท่าน หลังจากเพิ่งประกาศสิ้นสุดโครงการ Middle-earth Tales ไปหยกๆแต่ความลุ่มหลงใน Middle-earth ก็ยังตามหลอกหลอนกระผมอยู่ จึงขอกลับคำ เริ่มโครงการใหม่ขึ้นมาเป็น The Battles of Middle-earth คราวนี้จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสงครามหลักๆที่เกิดขึ้นใน Middle-earth รวมทั้ง Beleriand บทคสามแรกจะขอประเดิมด้วยสงครามที่แฟนๆหนังสือรู้จักกันดีแต่แฟนหนัง (ที่ไม่เคยอ่านหนังสือ) อาจจะไม่รู้จักที่มาที่ไปเท่าไหร่ นั่นคือสงครามที่เป็นบทโหมโรงของมหากาพย์ The Lord of the Rings ในบรรดาสงครามทั้งหลายที่เกิดขึ้นในเรื่อง The Lord of the Rings นั้น หนึ่งในครั้งที่สำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดคงหนีไม่พ้นครั้งที่เซารอนถูกปราบในสงครามที่เกิดจากความร่วมมือของเอล์ฟและมนุษย์ สงครามครั้งนั้นจัดเป็นมหาสงครามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุคและเมื่อสิ้นสุดสงครามครั้งนั้นก็ถือเป็นกาลสิ้นสุดของยุคที่สองแห่งตะวัน สงครามในครั้งนั้นมีชื่อว่าสงครามแห่งพันธมิตรครั้งสุดท้ายระหว่างเอล์ฟและมนุษย์ (War of the Last Alliance of Elves and Men)



สงครามพันธมิตรครั้งสุดท้ายเริ่มต้นในปี 3430 ของยุคที่สอง หลังจากที่กองทัพของเซารอนบุกยึดมินาสอิธิล (Minas Ithil: ป้อมปราการแห่งพระจันทร์) แห่งอาณาจักรกอนดอร์ในปี 3429 กองทัพพันธมิตรของเอล์ฟและมนุษย์ในครานั้นมีแสนยานุภาพและแสนยาพลเป็นรองเพียงกองทัพของเทพวาลาร์ในคราวสงครามพระพิโรธ (War of the Wrath) เท่านั้น กองทัพของเอล์ฟประกอบเหล่าโนลดอร์แห่งลินดอน (Lindon) ร่วมด้วยทัพซิลวันเอล์ฟจากลอริเอน (Lorien) นำโดยกษัตริย์อัมเดียร์ (Amdir) และกรีนวู้ด (Greenwood) นำโดยกษัตริย์โอโรแฟร์ (Oropher) พร้อมธรันดูอิล (Thranduil) บุตรชาย ทั้งหมดรวมกับภายใต้ธงของกษัตริย์โนลดอร์เอเรนิออน (Erenion) หรือกิล-กาลัด (Gil-galad) โดยมีเอลรอนด์ (Elrond) และเคียร์ดัน (Cirdan) เป็นผู้ติดตาม กองทัพมนุษย์ชาวนูเมนอร์แห่งราชอาณาจักรเหนืออานอร์นำทัพโดยเอเลนดิล (Elendil) ส่วนกองทัพของกอนดอร์นำทัพโดยพระโอรสคืออิสซิลดูร์ (Isildur) และอนาริออน (Anarion) สงครามครั้งนั้นสิ้นสุดลงในปี 3441 เป็นเวลาถึงสิบเอ็ดปีหลังจากเริ่มขึ้น โดยสามารถปราบเซารอนลงได้เป็นผลสำเร็จแต่แหวนแห่งอำนาจยังคงมิได้ถูกทำลายและความสูญเสียมากมาย เหล่าเอล์ฟเกือบทั้งหมดสิ้นชีพในสงครามพร้อมด้วยกษัตริย์เอล์ฟทั้งสาม เอเลนดิลและอนาริออนต่างก็สิ้นพระชนม์ เหล่าเอล์ฟเริ่มเข้าสู่ยุคเสื่อมในยุคที่สามขณะที่มนุษย์เพิ่มจำนวนขึ้น

บทโหมโรงสู่สงคราม

ในยุคที่สอง เซารอนที่หลบหนีจากเหล่าวาลาร์ได้แผงตัวเข้าไปตีสนิทกับเหล่าเอลดาร์แห่งเอเรกิออน (Eregion) เพื่อให้เหล่าเอล์ฟหลอมแหวนแห่งอำนาจ เหล่าช่างฝีมือสร้างแหวนสำเร็จด้วยความรู้จากเซารอน ในคราแรกเป็นจำนวน 16 วง และได้สร้างเพิ่มเติมเป็นพิเศษสำหรับเหล่าเอล์ฟอีกสามวง ส่วนเซารอนก็อาศัยเคล็ดลับจากพวกเอล์ฟแอบไปหลอมแหวนของตนขึ้นหนึ่งวงเพื่อควบคุมแหวนและจิตใจของผู้สวมใส่ แต่พวกเอล์ฟรู้ตัว เซารอนโกรธที่โดนเปิดโปงจึงเปิดสงครามกับเหล่าโนลดอร์



ขณะที่อาณาจักรนูเมนอร์ (Numenor) รุ่งเรืองถึงขีดสุด กษัตริย์พระองค์สุดท้ายอา-ฟาราซอน (Ar-Pharazón) ต้องการแสดงแสนยานุภาพจึงยกทัพมาจับกุมเซารอนกลับไปเป็นนักโทษ แต่เซารอนวางแผนล่อลวงให้องค์กษัตริย์ยกทัพไปตีวาลินอร์ ด้วยพระพิโรธของอิลูวาทาร์ (Illuvatar: พระผู้เป็นหนึ่ง พระเจ้าผู้สร้าง) แผ่นดินนูเมนอร์จึงจมลงสู่ใต้มหาสมุทรพร้อมร่างอันแหลกเหลวของเซารอน วิญญาณของเซารอนหลบหนีกลับมายังมอร์ดอร์รังเก่าด้วยความอาฆาตแค้น (ยุคที่สองปี 3319) และเมื่อพบว่าเหล่าทายาทของกษัตริย์แห่งนูเมนอร์ศัตรูเก่ารอดชีวิตมาสร้างอาณาจักรอานอร์และกอนดอร์ติดกับพรมแดนมอร์ดอร์ก็ให้โกรธแค้นเป็นอย่างยิ่ง แต่เซารอนยังไม่มีพลังพอ จึงอดทนรอเฝ้าระดมกำลังพลเพื่อการโจมตี จนกระทั่งปี 3429 จึงได้บุกยึดมินาสอิธิลป้อมปราการสำคัญของกอนดอร์ที่ตั้งบนเทือกเขาเงาไว้ เป็นการประกาศเริ่มต้นสงครามแห่งพันธมิตรครั้งสุดท้าย

จอมทัพระดมพล



หลังจากการโจมตีที่มินาสอิธิล อิสซิลดูร์ซึ่งปกครองป้อมพระจันทร์อยู่สามารถหลบหนีออกมาได้และนำบุตร ภรรยาและผู้คนที่เหลือรอดพร้อมด้วยเมล็ดพฤกษาขาวขึ้นเหนือไปยังอาณาจักรอาร์นอร์เพื่อพบกษัตริย์เอเลนดิลพระบิดา ฝ่ายเซารอนรุกคืบไปยังออสกิลเลียธ  (Osgiliath) นครหลวงของกอนดอร์ แต่อนาริออนเตรียมการรับมือไว้แล้วและสามารถยันทัพแห่งมอร์ดอร์ให้ถอยกลับไปได้

เมื่ออิสซิลดูร์ขึ้นไปพบพระบิดาแล้วทั้งสองตรงไปพบกษัตริย์ของเอลดาร์เพื่อหารือถึงสถานการณ์ พวกเขาเห็นว่าถึงคราวที่เซารอนจะถูกกำราบให้เบ็ดเสร็จเสียที หากแต่เหล่าเสรีชนทั้งหมดจะต้องร่วมมือกันภายใต้กองทัพเดียว เมื่อเห็นตรงกันทั้งสามกษัตริย์ต่างก็กลับไปตระเตรียมไพร่พล และในปีที่ 3431 กองทัพแห่งลินดอนก็พร้อมยกทัพไปทางตะวันออกและไปพบกับกองทัพของเหล่าดูเนไดน์แห่งอาณาจักรเหนือ เอเลนดิลทรงรอทัพอยู่พร้อมอิสซิลดูร์ ณ ป้อมอะมอนซูล (Amon Sûl) และเคลื่อนพลต่อไปยังอิมลาดริส (Imladris, Rivendel) เพื่อรวมกับลอร์ดเอลรอนด์ กษัติย์กิล-กาลัดทรงมอบหมายให้เอลรอนด์เป็นประกาศกผู้เชิญธงประจำองค์และเป็นรองแม่ทัพ กองทัพผสมพักทัพอยู่ ณ อิมลาดริสถึงสามปีเพื่อวางแผนและตระเตรียมอาวุธ และยกทัพข้ามเทือกเขามิสตี้เลียบแม่น้ำอันดูอิน ในครานั้นเหล่าชาวแคระแห่งคาซัดดูมของตระกูลดูรินได้เข้าร่วมในกองทัพด้วย พร้อมกับทัพซิลวันจากลอริเอนและกรีนวู้ด ทั้งนี้กษัตริย์โอโรแฟร์แห่งกรีนวู้ดและกษัตริย์อัมเดียร์แห่งลอริเอนต่างเห็นตรงกันว่าสันติสุขมิอาจบังเกิดได้เลยหากเหล่าเสรีชนไม่ร่วมมือกัน และในที่สุดทั้งหมดได้รวมกับกองทัพแห่งกอนดอร์ที่นำโดยอนาริออน บัดนี้กองทัพแห่งพันธมิตรได้ระดมพลเสร็จสิ้นและเคลื่อนไปยังมอร์ดอร์ ข้างฝ่ายเซารอนก็ระดมทัพอย่างหนักหน่วง ทั้งออร์ค มนุษย์ คนแคระและสัตว์ร้ายต่างๆ และ ณ บัดนี้กองทัพของเซารอนพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับกองทัพพันธมิตรที่ตั้งทัพรออยู่ ณ หน้า ประตูดำเรียบร้อยแล้ว



สมรภูมิแห่งดากอร์ลัด (The Battle of Dagorlad)

การปะทะครั้งแรกในสงครามแห่งพันธมิตรครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นในปี 3434 ที่ที่หน้าโมรันนอน (Morannon) ประตูดำแห่งมอร์ดอร์ การโจมตีครั้งแรกเกิดจากเหล่าซิลวันเอล์ฟแห่งกรีนวู้ด เนื่องจากโอโรแฟร์ไม่ยอมฟังสัญญาณจากกิล-กาลัด จึงนำทัพของตนพุ่งโจมตีก่อนและเสียหายย่อยยับ กองทัพของกรีนวู้ดถูกแยกออกจากทัพหลักโดยข้าศึกจำนวนมหาศาลและโอโรแฟร์สิ้นพระชนม์ การทะทะในครั้งแรกดำเนินไปทั้งกลางวันกลางคืนและสร้างความเสียหายมากที่สุดในสงครามครั้งนี้โอโรแฟร์และอัมเดียร์ต่างสิ้นพระชมน์ เหล่าเอล์ฟจากกรีนวู้ดเหลือเพียงหนึ่งในสามจากทั้งหมด ธรันดูอิลโอรสแห่งโอโรแฟร์จึงนำทัพของตนกลับไปและครองราชย์ต่อจากบิดา บริเวณที่เกิดการรบพุ่งจึงได้ชื่อว่าทุ่งดากอร์ลัด (Dagorlad plain) อันหมายถึงทุ่งสมรภูมิ และในภายหลังเกิดน้ำท่วมจนเป็นบึง วิญญาณของผู้ตายในการศึกครั้งนั้นยังคงปรากฏอยู่ ร่างของผู้คายสะท้อนชัดอยู่ใต้ผิวน้ำจนกระทั่งสิ้นยุคที่สาม สถานที่แห่งนี้จึงได้นามในกาลต่อมาว่า บึงมรณะ (Dead Marshes)



วงล้อมแห่งบารัดดูร์ (The Siege of Barad-dûr)

หลังจากสิ้นสุดการปะทะที่ทุ่งดากอร์ลัด ประตูดำได้ถูกทำลายพินาจลง มาบัดนี้กองทัพพันธมิตรได้ยาตราเข้าสู่มอร์ดอร์แล้ว เหล่าพันธมิตรรุกไล่ทัพแห่งมอร์ดอร์จนต้องถอยเข้าไปอยู่ในหอคอยดำแห่งบารัดดูร์ (Barad-dûr) และได้วางกำลังปิดล้อมหอคอยปิศาจ และแล้ววงล้อมแห่งบารัดดูร์ก็ได้เริ่มขึ้น หากแต่การปิดล้อมหาใช่เป็นไปโดยง่ายไม่ ด้วยเซารอนมีช่องทางมากมายและบารัดดูร์มิใช่จะไร้แขนขา จากในหอคอยเซารอนส่งกำลังมาโจมตีเหล่าพันธมิตรเป็นระยะๆ ห่าธนูและก้อนหินถูกโยนลงมาอย่างไม่ปราณีปราศรัย ในปีที่หกของการปิดล้อมอนาริออนสิ้นพระชมน์ด้วยก้อนหินที่ถูกปาลงมาต้องพระเศียร

ในปี 3441 ปีสุดท้ายแห่งการปิดล้อม เซารอนได้ออกมาบัญชาการสู้รบด้วยตนเอง การโจมตีกลับนั้นรุนแรงยิ่ง วงล้อมแห่งบารัดดูร์แตก ในกาลนั้นเซารอนได้เข้าปะทะกับผู้นำทั้งสองของกองทัพพันธมิตร ณ เนินของภูมรณะ กิล-กาลัดทรงหอกอายกลอส (Aeglos) มีเอลรอนด์และเคียร์ดันอยู่เคียงข้าง และเอเลนดิลทรงดาบนาซิล (Nasil) มีอิสซิลดูร์พระโอรสอยู่ข้างกาย ทั้งสองต่อสู้กับเซารอนเป็นสามารถ ด้วยความร้อนจากมืออำมหิตของเซารอนกิล-กาลัดสิ้นพระชนม์ และเอเลนดิลก็สิ้นพระชมน์ลงด้วย ดาบนาซิลหักครึ่งถูกทับอยู่ใต้พระศพ หากแต่ทั้งสองก็ปราบเซารอนลงได้สำเร็จอิสซิลดูร์คว้าดาบหักจากใต้ร่างพระบิดาตัดเอาแหวนประมุขออกจากนิ้วของเซารอน เซารอนสูญเสียพลังไม่สามารถดำรงกายเนื้อไว้ได้และสลายไป สงครามแห่งพันธมิตรครั้งสุดท้ายเป็นอันสิ้นสุดลง ยุดที่สองแห่งตะวันสิ้นสุดลงเช่นกัน



ภายหลังสงคราม

สงครามสิ้นสุดลงพร้อมกับการสิ้นสุดยุคที่สอง เซารอนถูกกำราบแต่มิได้สูญสิ้นไปเนื่องจากอิสซิลดูร์ทรงเก็บแหวนเอาไว้ อาณาจักรมอร์ดอร์ล่มสลายและบารัดดูร์ถูกรื้อทำลาย หากแต่รากฐานของหอคอยมาจากพลังของแหวนจึงไม่อาจถูกทำลาย เหล่าออร์คและนาซกูลหลบหนีไป มนุษย์และเอล์ฟเรือนหมื่นเสียชีวิตลงและถูกฝังไว้ ณ ทุ่ง ดากอร์ลัด กษัตริย์กิล-กาลัด เอเลนดิลและอนาริออนต่างสิ้นพระชนม์ เอลรอนด์ขึ้นเป็นผู้นำของโนลดอร์ที่เหลืออยู่และได้รับสืบทอดวิลย่า หนึ่งในสามแหวนเอล์ฟจากกิล-กาลัด หากแต่แหวนแห่งอำนาจยังคงอยู่เนื่องจากอิสซิลดูร์ปฏิเสธที่จะโยนมันลงในอัคคีแห่งภูมรณะ
ภายหลังสงครามแห่งพันธมิตรครั้งสุดท้ายเหล่าเอล์ฟเหลือจำนวนน้อยลงและเสื่อมอำนาจลงเรื่อยๆ เอลดาร์จำนวนมากพากันล่องเรือไปทางตะวันตก แต่สงครามพันธมิตรครั้งสุดท้ายหาใช่การร่วมมือครั้งสุดท้ายของมนุษย์และเอล์ฟดังชื่อไม่ แม้ทั้งสองเผ่าพันธุ์จะกลายเป็นคนแปลกหน้า แต่ในหมู่ชาวเหนือดูเนไดน์ยังคงรักษาสัมพันธ์อันดีไว้ เมื่อครั้งที่อังค์มาร์แตกเหล่าเอล์ฟแห่งริเวนเดลนำโดยกลอฟินเดลยังคงมาเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่เจ้าชายเออานูร์แห่งกอนดอร์ และได้กล่าวคำทำนายถึงชะตาของราชันขมังเวทย์แห่งอังค์มาร์ไว้ “อย่าได้ติดตามเขาไป เขาจะมิกลับมายังดินแดนแห่งนี้อีก ชะตากรรมของเขายังอีกไกลนัก และมิอาจเกิดด้วยน้ำมือของบุรุษใด”

สงครามแห่งพันธมิตรครั้งสุดท้ายเป็นสงครามครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งและนำความสูญเสียมหาศาลมาสู่ทั้งมนุษย์และเอล์ฟ และผลสุดท้ายของสงครามแม้จะมีชัยชนะเหนือเซารอน แต่การปฏิเสธที่จะทำลายแหวนของอิสซิลดูร์ในครานั้นส่งผลร้ายต่อมาแก่ชีวิตของเขาและแผ่นดินมิดเดิ้ลเอิร์ธใหญ่หลวง อาณาจักรอานอร์ล่มสลายลง ทายาทของเขาต้องเร่ร่อนไร้ซึ่งบัลลังก์ จนกระทั่งกว่าสามพันปีต่อมาเมื่อแหวนวงนั้นตกถึงมือของฮอบบิทคนหนึ่งภายใต้เทือกเขามิสตี้ ในช่วงเดียวกับทายาทเร่ร่อนคนสุดท้ายของอิสซิลดูร์จะกู้ศักดิ์ศรีของตระกูลและฟื้นฟูอาณาจักรของบรรบุรุษของตน



Sources
http://tolkiengateway.net/wiki/War_of_the_Last_Alliance
http://lotr.wikia.com/wiki/Battle_of_Dagorlad
http://lotr.wikia.com/wiki/War_of_the_Last_Alliance
http://www.glyphweb.com/arda/w/warofthelastalliance.html
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่