เกริ่นเรื่อง...ดิฉันเคยเจอสถานการณ์แฟนคนแรกหลอก โดยการแอบคบกับเพื่อนรุ่นพี่เป็นเวลา 2 ปี กว่าจะรู้ก็เหมือนคนโง่ที่เชื่อใจเขามาตลอด แต่หลังจากเลิกกัน ดิฉันก็ไม่ได้ปิดกั้นตัวเอง ถึงแม้จะเสียใจ แต่ก็ทำใจได้เร็วพอสมควร และยังคงเชื่อมั่นและศรัทธาในเรื่องของความรักมาตลอด
พอเลิกกับแฟนเก่าไป ดิฉันก็ได้รู้จักกับแฟนคนปัจจุบัน ซึ่งเป็นรุ่นพี่ดิฉัน 4 ปี เขาเป็นคนที่เงียบๆ ไม่ค่อยพูดคุย ส่วนใหญ่ดิฉันจะเป็นคนชวนคุย ได้พูดได้คุยแล้วเกิดความรู้สึกอบอุ่น และได้ตกลงเป็นคบหาดูใจกัน เราทำงานอยู่คนละจังหวัด ถ้าเดินทางก็ใช้ระยะเวลา 8- 9 ชั่วโมง โดยประมาณ เดือนหนึ่งเราจะนัดเจอกัน 1 ครั้ง เพื่อไม่ให้เป็นการห่างเหินกันมากเกินไป ช่วงแรกๆ ที่คบกันยังไม่ได้เกิดปัญหาอะไรขึ้นมาก เราคุยกันด้วยเรื่องปกติทั่วไป จนวันหนึ่งพี่เขาได้ขอดิฉันแต่งงาน พูดคุยกันถึงแผนการต่างๆ และให้ดิฉันพูดกะฝ่ายดิฉันว่าว่าเขาขอหมั่นดิฉันไว้ก่อน และปลายปีจะแต่ง ซึ่งมันห่างกันประมาณ 8 เดือน ญาติฝ่ายฉันไม่ตกลง เพราะที่บ้านถือไม่ให้หมั่นกันไว้นาน ย่าดิฉันท่านบอกว่าถ้าฝ่ายชาายจริงใจจริงอย่าทำเหมือนเด็กเล่นขายของกัน ถ้าจะแต่งก็แต่งเลย ไม่ให้หมั่นกันไว้นาน ฉันก็บอกแฟนไปว่าที่บ้านไม่ให้หมั่น ถ้าจะแต่ง ก็ค่อยไปสู่ขอช่วงปลายปีเลย ตอนนั้นฉันวาดฝันไว้ถึงอนาคตของเราไว้หลายอย่าง พูดกันถึงเรื่องแผนการอนาคต วางแผนกันคราวๆ ว่าเราจะช่วยกันสร้างสิ่งที่เป็นความฝันของเราให้เป็นจริง พอถึงช่วงปลายปีที่ตกลงกันไว้ ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนเวลาล่วงเลยถึงเดือนมีนาคม ฉันได้พูดแซวเล่นๆ(แต่แอบจริงจัง)ถามถึงเรื่องแต่งงาน ปรากฎว่าเขาบอกว่าเขายังไม่พร้อม ของเขาสร้างเนื้อสร้างตัวได้ก่อนเก็บเงินได้ก่อน เพราะไม่อยากให้เราลำบาก เขาบอกว่าทำเพื่อดิฉัน ไม่อยากแต่งงานกันแล้วต้องมาลำบากด้วยกัน และ ไม่อยากอยู่ไกลกัน อยากอยู่ใกล้ถ้าแต่งงานกันไปแล้ว ฉันก็พยายามเข้าใจแต่ แต่ดิฉันเสียใจมากไม่รู้ว่าเหตุผลจริงๆของเขาคืออะไร ความไม่เชื่อใจเริ่มเกิดขึ้นแต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงมาก เพราะยังไม่มีเหตุผลอะไรที่ทำให้ไม่เชื่อใจในเรื่องอื่นๆ ช่วงนั้นเราคบกันได้ 1 ปี 9 เดือน หลังจากนั้นฉันก็ถามเขามาเรื่อยๆ ถึงแผนการของเขา แต่ก็ไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน จนผ่านมา 2 เดือน เขาได้ลาออกจากงานที่บริษัทเก่า แต่ยังไม่ได้หางานใหม่ทำ คือนอนเล่นหางานไปเรื่อยๆ จนกว่าจะตรงกับที่ตัวเขาต้องการ ระหว่างนั้นดิฉันเสนอให้เขาลงมาหาดิฉัน และมาอยู่ที่บ้านของเขาเอง เพื่อที่จะได้อยู่ใกล้กันและเรียนรู้กันมากขึ้น เพราะดิฉันกับแฟนบ้านอยู่ไม่ไกลกันมาก และดิฉันทำงานอยู่ใกล้บ้าน ฉันชวนเขาอยู่หลายครั้ง เขาก็ไม่ยอมมา จนดิฉันสงสัยพอสงสัยหนักขึ้น เราก็เริ่มมีปัญหาทะเลาะกัน พร้อมกับดิฉันที่กังวลเรื่องการเลื่อนงานแต่งงานออกไปไม่มีกำหนด ทำให้เริ่มรู้สึกระแวง และหวาดกลัวเกิดขึ้น ว่าตัวดิฉันเองจะเจอแฟนหลอกอีกรึเปล่า ได้แต่บอกเขาว่า ตัวเองเคยเจอเรื่องแบบนั้นมาแล้วนะ และไม่อยากเจอเป็นครั้งที่สอง พอทะเลาะกันหนักขึ้น เขาถึงได้กลับมาบ้าน และก็ไปๆ มาๆ ระหว่างที่บ้านกับที่ทำงานของดิฉัน และต้องออกต่างจังหวัดเพื่อไปสัมภาษณ์งานอยู่เรื่อยๆ จน 3 เดือนผ่านไปเขาได้งานที่ใหม่ทำ เราก็กลับไปมีชีวิตที่ปกติ คือ เดือนหนึ่งจะเจอกันประมาณ 1- 2 ครั้งแล้วแต่จะว่าง ซึ่งส่วนใหญ่ดิฉันจะเป็นฝ่ายไปหาเขาเอง เพราะงานของดิฉันสามารถหยุดยาวติดต่อกันได้มากกว่าเขา ช่วงนี้เราก็มีทะเลาะกันบ้างในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่โดยร่วมแล้วมีความสุขกันดี จนกระทั่งช่วงเดือน กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ด้วยความที่อยากสร้างความประทับใจ และบรรยากาศร่วมกัน ดิฉันก็ได้ชวนแฟนเที่ยวต่างจังหวัด วันที่เที่ยวเรามีความสุขกันมาก ดิฉันก็มีความสุขมาก ได้พูดคุยกันจนเข้าใจนับว่าเป็นวันที่ฉันมีความสุขมากที่สุดอีกวันหนึ่งก็ว่าได้ โดยไม่ได้สังเกตุถึงความผิดปกติของแฟนตัวเองเลย เพราะความเชื่อใจ ไว้ใจ และความศรัทธาที่มีเติมเปี่ยม จนกระทั้งเราเที่ยวเสร็จและกลับไปที่พักของแฟน เพราะดิฉันหยุดยาวและไม่อยากให้เขาขับรถกลับคนเดียว ด้วยความเป็นห่วง
วันนั้นเราตกลงจะรับประทานอาหารเย็นที่ร้านใกล้หอพัก เขาได้บอกให้ดิฉันลงรถไปสั่งอาหารรอเขาจะนำรถไปเก็บและเดินมา ซึ่งปกติใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที ดิฉันก็ลงรถปกติสั่งอาหารไว้รอ ผ่านไปประมาณ 20 นาที แฟนไม่มาสักที ประกอบกับอาหารมาพร้อมแล้ว ดิฉันจึงโทรตามเพื่อมาทานข้าวพร้อมกัน พอโทรไปหาปรากฎว่าเขาติดสายอยู่ ดิฉันก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร จน ผ่านไปสักพักเขาก็เดินเข้ามาพร้อมกับถือสายโทรศัพท์ที่คุยมาด้วย ดิฉันก็ถามเขาว่าคุยกับใครเขาก็บอกว่าคุยกับเพื่อ ดิฉันก็ไม่ได้ซักต่ออะไร แต่เขากลับบอกเองว่าเพื่อนชื่ออะไร แต่ดิฉันก็ไม่ได้สนใจ จนกระทั่งทานข้าวเสร็จกลับห้อง ดิฉันก็ขอโทรศัพท์เขาเล่นเกมส์เล่นอะไรตามปกติ แต่เหมือนมีอะไรดลใจ ให้ฉันกดดูสายโทรเข้าออก ว่ากฏว่า เพื่อนที่เขาพูดถึงเขาเป็นคนโทรหาเอง ไม่ใช่เพื่อนโทรหาเขาเหมือนที่เขาบอกสิ่งแรกที่ฉันรู้ สิ่งที่ตามมาคือเบอร์ที่เขาคุยตอนที่ฉันโทรหา ไม่ใช่เบอร์เพื่อนคนที่เขาบอก และเขาได้ลบเบอร์นั้นทิ้งไปแล้ว ตอนที่ฉันรู้น้ำตาฉันไหลอย่างไม่ฟังเหตุผลอะไรเลย มันไหลลงมาไม่รู้ตัว แต่ฉันก็ไม่ได้เอะอะโวยวายอะไร รอจังหวะที่จะหาข้อมูลต่างๆเพิ่ม และฉันก็หาได้ไวมาก ไม่ถึง 20 นาที ฉันก็ได้รู้ว่าเขาโทรหาใคร คุยกันตอนไหนบ้าง ปรากฏว่าเขาโทรคุยกับผู้หญิงคนอื่นมาได้ระยะหนึ่งแล้ว และจะเป็นการคุยกันหลังจากที่วางสายจากฉันแล้วเป็นประจำ นี้เฉพาะที่ฉันรู้จากข้อมูลการโทรออกที่สามารถเช็คได้เท่านั้น และที่ไม่รู้ล่ะอีกมากมายแค่ไหนกัน
ฉันรู้แค่นั้นฉันก็เข้าห้องน้ำ อาบน้ำ และคิดว่าตัวเองจะทำอย่างไรต่อไป ตอนที่รู้ฉันรู้แค่ว่าเสียใจมาก และไม่เคยเสียใจแบบนั้นมาก่อน ผิดหวังอย่างรุนแรง
ฉันออกจากห้องน้ำ ก็ได้เดินเข้าไปถามเขาตรงๆ ว่าคุยกับใคร ฉันให้โอกาสบอกความจริง เขาก็หัวเราะบอกว่าคุยกับเพื่อน ชื่อ... ที่เคยบอกไว้ ฉันได้ฟังก็น้ำตาไหล ได้แต่ถามเขาว่าทำไมต้องโกหกกันด้วยทำไมต้องหลอกกัน เขาได้ยินฉันพูดแบบนั้นก็รู้แล้วว่าฉันรู้ว่าเขาทำอะไรอยู่ ความรู้สึกฉันคืนทนไม่ไหวแล้วในตอนนั้น ได้แต่ร้องไห้ เสียใจ ร้องไห้อยู่เกือบหนึ่งอาทิตย์ ขอเลิกกับแฟน เขาก็ขอร้องไว้ บอกว่าตนเองไม่ได้ตั้งใจปกปิด ที่ไม่อยากให้รู้เพราะกลัวไม่สบายใจ และเพิ่งคุยกับผู้หญิงอื่นไม่ได้ ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันเลย ใจฉันอยากเชื่อมาก เพื่อที่ตัวเองจะได้คบกับแฟนต่อไป และในที่สุดดิฉันก็ได้ให้โอกาสแฟน และให้โอกาสตนเอง ให้เขาโทรหาผู้หญิงคนนั้นและบอกว่าแฟนไม่สบายใจ เขาลบเบอร์โทรและอะไรๆ ออกหมด จนตอนนี้เหตุการณ์นั้นผ่านมาจะ 3 เดือนแล้ว
เหตุการณ์ต่างๆ ผ่านมาจะคบ 3 เดือนแล้ว เรายังคบกันอยู่ ฉันยังรักแฟนของฉันมาก ไม่สามารถตัวใจจากเขาได้เลย ฉันรับรู้ว่าเขาก็รักฉันมาก และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหากพิจารณา เขาก็ยังไม่ได้ทำผิดถึงขั้นว่านอกใจไปมีคนอื่นเต็มที่ เพราะเพิ่งเริ่มต้นคุย และฝ่ายหญิงพอรู้ว่าฝ่ายชายมีแฟนก็ถอยห่าง แต่ฉันก็ไม่สามารถรู้ได้เพราะเขาทำงานที่เดียวกัน ได้แต่พยายามที่จะเชื่อใจ ไว้วางใจ เพราะคิดว่าหากไม่ไว้ใจก็จะมีปัญหามาเรื่องๆ แต่ฉันมองว่าแฟนของตนเอง ไม่ให้ความร่วมมือในการสร้างความไว้วางใจอีกครั้ง พอฉันเริ่มถามเขาก็ไม่สนใจ ฉันบอกเขาแค่ตอบจะตอบว่ายังไงฉันก็เชื่อ
3 เดือนที่ผ่านมา ฉันพยายามทุกวัน และแอบร้องไห้คนเดียวเกือบทุกวัน อารมณืฉันเริ่มเปลี่ยนแปลงชัดเจนกว่าตอนโดนเลื่อนงานแต่งงานออกไปไม่มีกำหนด เครียดทั้งสองเรื่อง ฉันเริ่มพาล หงุดหงิดง่าย และเป็นฉันเองที่ทำให้เขาเสียใจ เพราะคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเขาที่ออกจากปากฉัน ทะเลาะกันแทบทุกอาทิตย์ด้วยปัญหาเดิมๆ ด้วยเรื่องเล็กๆ และนำไปสู่การที่ฉันขอเลิกกับเขาทุกครั้ง ฉันรู้สึกตัวเองควบคุมตัวเองไม่ได้ ฉันคนเดิมหายไป เหมือนไม่ใช่ตัวตนของตัวเอง กลายเป็นคนคิดวิตกกังวล หวาดกลัวการถูกทอดทิ้ง รู้สึกว่าตนเองจะมีความซึมเศร้าแฝงมา และตอนนี้รู้สึกว่าอารมณ์ซึมเศร้าจะเด่นชัดมากขึ้น มีความคิดประชดประชัด อยากจะตาายจากโลกนี้ไป แต่ก็ยังรู้ผิดชอบชั่วดี ฉันเกิดความรู้สึกไม่ไว้วางใจขึ้นมาเป็นบางวัน วันไหนที่ฉันเอ่ยถึงเรื่องงานแต่งงานจะเป็นชนวนที่ทำให้เกิดการทะเลาะกันตลอด ส่วนใหญ่ฉันจะเป็นคนอารมณ์เสียใส่เขา และทำให้เขาทุกข์ใจเองในตอนนี้ ยังดีที่เขาคอยอยู่เคียงข้าง และไม่ยอมจากไปไหน ยอมอดทนกับคำพูดที่รุนแรงของเรา
ฉันรู้สึกเสียใจ อยากได้ฉันคนเดิมกลับมา พยายามครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ล้มมาตลอด กลับมาจุดที่ความทรงจำที่เกิดขึ้นมาตลอด ดึงตัวเองออกมาจากเหตุการณืหรือความรู้สึกเสียใจไม่ได้สักที และตอนนี้ฉันก็รู้สึกเหนื่อยและท้อ ไม่รู้จะระบายออกทางไหน ไม่มีใครให้ปรึกษา เพราะไม่ได้เล่าเรื่องต่างๆ ให้ใครฟัง จนตอนนี้ทนไม่ไหวแล้ว มันเหนื่อยและท้อมาก และไม่อยากจะสูญเสียความรักครั้งนี้ไปเพราะตัวเองฉันเอง หากจะเสียไป ก็อยากจะให้ตัวเองทำในส่วนของตัวเองให้ดีที่สุด ฉันอยากให้ผู้หญิงที่ร่างเริง แจ่มใส ที่สามารถหัวเราะได้กับทุกสถานการณื และเมื่อล้มแล้วก็ลุกขึ้นได้คนก่อนกลับมา อยากได้ความเชื่อใจกลับมาฉันต้องทำอย่างไร
ช่วยฉันด้วยค่ะ ... ฉันไม่สามารถเรียกฉันคนเดิมกลับมาได้เลย ฉันควรทำยังไงต่อไปดี
ปล. คนรอบข้างของฉันทุกคนต่างมีปัญหาครอบครัว และหย่าร้างแทบทุกคู่ จนฉันกลัวการใช้ชีวิตคู่ แต่ก็ยังหวังว่าจะมีครอบครัวที่อบอุ่น อยากสร้างครอบครัวของตัวเองสักครั้ง และฉันอยากสร้างมันกับผู้ชายคนนี้ ของแค่ฉันดึงตัวตนฉันกลับมา ฉันเชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้น แต่ฉันต้องทำยังไง หาทางให้ตัวเองไม่เจอจริงๆ
ฉันคนเดิมหายไปไหน ช่วยบอกทีต้องทำอย่างไร...ถึงจะเป็นเหมือนเดิม
พอเลิกกับแฟนเก่าไป ดิฉันก็ได้รู้จักกับแฟนคนปัจจุบัน ซึ่งเป็นรุ่นพี่ดิฉัน 4 ปี เขาเป็นคนที่เงียบๆ ไม่ค่อยพูดคุย ส่วนใหญ่ดิฉันจะเป็นคนชวนคุย ได้พูดได้คุยแล้วเกิดความรู้สึกอบอุ่น และได้ตกลงเป็นคบหาดูใจกัน เราทำงานอยู่คนละจังหวัด ถ้าเดินทางก็ใช้ระยะเวลา 8- 9 ชั่วโมง โดยประมาณ เดือนหนึ่งเราจะนัดเจอกัน 1 ครั้ง เพื่อไม่ให้เป็นการห่างเหินกันมากเกินไป ช่วงแรกๆ ที่คบกันยังไม่ได้เกิดปัญหาอะไรขึ้นมาก เราคุยกันด้วยเรื่องปกติทั่วไป จนวันหนึ่งพี่เขาได้ขอดิฉันแต่งงาน พูดคุยกันถึงแผนการต่างๆ และให้ดิฉันพูดกะฝ่ายดิฉันว่าว่าเขาขอหมั่นดิฉันไว้ก่อน และปลายปีจะแต่ง ซึ่งมันห่างกันประมาณ 8 เดือน ญาติฝ่ายฉันไม่ตกลง เพราะที่บ้านถือไม่ให้หมั่นกันไว้นาน ย่าดิฉันท่านบอกว่าถ้าฝ่ายชาายจริงใจจริงอย่าทำเหมือนเด็กเล่นขายของกัน ถ้าจะแต่งก็แต่งเลย ไม่ให้หมั่นกันไว้นาน ฉันก็บอกแฟนไปว่าที่บ้านไม่ให้หมั่น ถ้าจะแต่ง ก็ค่อยไปสู่ขอช่วงปลายปีเลย ตอนนั้นฉันวาดฝันไว้ถึงอนาคตของเราไว้หลายอย่าง พูดกันถึงเรื่องแผนการอนาคต วางแผนกันคราวๆ ว่าเราจะช่วยกันสร้างสิ่งที่เป็นความฝันของเราให้เป็นจริง พอถึงช่วงปลายปีที่ตกลงกันไว้ ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนเวลาล่วงเลยถึงเดือนมีนาคม ฉันได้พูดแซวเล่นๆ(แต่แอบจริงจัง)ถามถึงเรื่องแต่งงาน ปรากฎว่าเขาบอกว่าเขายังไม่พร้อม ของเขาสร้างเนื้อสร้างตัวได้ก่อนเก็บเงินได้ก่อน เพราะไม่อยากให้เราลำบาก เขาบอกว่าทำเพื่อดิฉัน ไม่อยากแต่งงานกันแล้วต้องมาลำบากด้วยกัน และ ไม่อยากอยู่ไกลกัน อยากอยู่ใกล้ถ้าแต่งงานกันไปแล้ว ฉันก็พยายามเข้าใจแต่ แต่ดิฉันเสียใจมากไม่รู้ว่าเหตุผลจริงๆของเขาคืออะไร ความไม่เชื่อใจเริ่มเกิดขึ้นแต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงมาก เพราะยังไม่มีเหตุผลอะไรที่ทำให้ไม่เชื่อใจในเรื่องอื่นๆ ช่วงนั้นเราคบกันได้ 1 ปี 9 เดือน หลังจากนั้นฉันก็ถามเขามาเรื่อยๆ ถึงแผนการของเขา แต่ก็ไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน จนผ่านมา 2 เดือน เขาได้ลาออกจากงานที่บริษัทเก่า แต่ยังไม่ได้หางานใหม่ทำ คือนอนเล่นหางานไปเรื่อยๆ จนกว่าจะตรงกับที่ตัวเขาต้องการ ระหว่างนั้นดิฉันเสนอให้เขาลงมาหาดิฉัน และมาอยู่ที่บ้านของเขาเอง เพื่อที่จะได้อยู่ใกล้กันและเรียนรู้กันมากขึ้น เพราะดิฉันกับแฟนบ้านอยู่ไม่ไกลกันมาก และดิฉันทำงานอยู่ใกล้บ้าน ฉันชวนเขาอยู่หลายครั้ง เขาก็ไม่ยอมมา จนดิฉันสงสัยพอสงสัยหนักขึ้น เราก็เริ่มมีปัญหาทะเลาะกัน พร้อมกับดิฉันที่กังวลเรื่องการเลื่อนงานแต่งงานออกไปไม่มีกำหนด ทำให้เริ่มรู้สึกระแวง และหวาดกลัวเกิดขึ้น ว่าตัวดิฉันเองจะเจอแฟนหลอกอีกรึเปล่า ได้แต่บอกเขาว่า ตัวเองเคยเจอเรื่องแบบนั้นมาแล้วนะ และไม่อยากเจอเป็นครั้งที่สอง พอทะเลาะกันหนักขึ้น เขาถึงได้กลับมาบ้าน และก็ไปๆ มาๆ ระหว่างที่บ้านกับที่ทำงานของดิฉัน และต้องออกต่างจังหวัดเพื่อไปสัมภาษณ์งานอยู่เรื่อยๆ จน 3 เดือนผ่านไปเขาได้งานที่ใหม่ทำ เราก็กลับไปมีชีวิตที่ปกติ คือ เดือนหนึ่งจะเจอกันประมาณ 1- 2 ครั้งแล้วแต่จะว่าง ซึ่งส่วนใหญ่ดิฉันจะเป็นฝ่ายไปหาเขาเอง เพราะงานของดิฉันสามารถหยุดยาวติดต่อกันได้มากกว่าเขา ช่วงนี้เราก็มีทะเลาะกันบ้างในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่โดยร่วมแล้วมีความสุขกันดี จนกระทั่งช่วงเดือน กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ด้วยความที่อยากสร้างความประทับใจ และบรรยากาศร่วมกัน ดิฉันก็ได้ชวนแฟนเที่ยวต่างจังหวัด วันที่เที่ยวเรามีความสุขกันมาก ดิฉันก็มีความสุขมาก ได้พูดคุยกันจนเข้าใจนับว่าเป็นวันที่ฉันมีความสุขมากที่สุดอีกวันหนึ่งก็ว่าได้ โดยไม่ได้สังเกตุถึงความผิดปกติของแฟนตัวเองเลย เพราะความเชื่อใจ ไว้ใจ และความศรัทธาที่มีเติมเปี่ยม จนกระทั้งเราเที่ยวเสร็จและกลับไปที่พักของแฟน เพราะดิฉันหยุดยาวและไม่อยากให้เขาขับรถกลับคนเดียว ด้วยความเป็นห่วง
วันนั้นเราตกลงจะรับประทานอาหารเย็นที่ร้านใกล้หอพัก เขาได้บอกให้ดิฉันลงรถไปสั่งอาหารรอเขาจะนำรถไปเก็บและเดินมา ซึ่งปกติใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที ดิฉันก็ลงรถปกติสั่งอาหารไว้รอ ผ่านไปประมาณ 20 นาที แฟนไม่มาสักที ประกอบกับอาหารมาพร้อมแล้ว ดิฉันจึงโทรตามเพื่อมาทานข้าวพร้อมกัน พอโทรไปหาปรากฎว่าเขาติดสายอยู่ ดิฉันก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร จน ผ่านไปสักพักเขาก็เดินเข้ามาพร้อมกับถือสายโทรศัพท์ที่คุยมาด้วย ดิฉันก็ถามเขาว่าคุยกับใครเขาก็บอกว่าคุยกับเพื่อ ดิฉันก็ไม่ได้ซักต่ออะไร แต่เขากลับบอกเองว่าเพื่อนชื่ออะไร แต่ดิฉันก็ไม่ได้สนใจ จนกระทั่งทานข้าวเสร็จกลับห้อง ดิฉันก็ขอโทรศัพท์เขาเล่นเกมส์เล่นอะไรตามปกติ แต่เหมือนมีอะไรดลใจ ให้ฉันกดดูสายโทรเข้าออก ว่ากฏว่า เพื่อนที่เขาพูดถึงเขาเป็นคนโทรหาเอง ไม่ใช่เพื่อนโทรหาเขาเหมือนที่เขาบอกสิ่งแรกที่ฉันรู้ สิ่งที่ตามมาคือเบอร์ที่เขาคุยตอนที่ฉันโทรหา ไม่ใช่เบอร์เพื่อนคนที่เขาบอก และเขาได้ลบเบอร์นั้นทิ้งไปแล้ว ตอนที่ฉันรู้น้ำตาฉันไหลอย่างไม่ฟังเหตุผลอะไรเลย มันไหลลงมาไม่รู้ตัว แต่ฉันก็ไม่ได้เอะอะโวยวายอะไร รอจังหวะที่จะหาข้อมูลต่างๆเพิ่ม และฉันก็หาได้ไวมาก ไม่ถึง 20 นาที ฉันก็ได้รู้ว่าเขาโทรหาใคร คุยกันตอนไหนบ้าง ปรากฏว่าเขาโทรคุยกับผู้หญิงคนอื่นมาได้ระยะหนึ่งแล้ว และจะเป็นการคุยกันหลังจากที่วางสายจากฉันแล้วเป็นประจำ นี้เฉพาะที่ฉันรู้จากข้อมูลการโทรออกที่สามารถเช็คได้เท่านั้น และที่ไม่รู้ล่ะอีกมากมายแค่ไหนกัน
ฉันรู้แค่นั้นฉันก็เข้าห้องน้ำ อาบน้ำ และคิดว่าตัวเองจะทำอย่างไรต่อไป ตอนที่รู้ฉันรู้แค่ว่าเสียใจมาก และไม่เคยเสียใจแบบนั้นมาก่อน ผิดหวังอย่างรุนแรง
ฉันออกจากห้องน้ำ ก็ได้เดินเข้าไปถามเขาตรงๆ ว่าคุยกับใคร ฉันให้โอกาสบอกความจริง เขาก็หัวเราะบอกว่าคุยกับเพื่อน ชื่อ... ที่เคยบอกไว้ ฉันได้ฟังก็น้ำตาไหล ได้แต่ถามเขาว่าทำไมต้องโกหกกันด้วยทำไมต้องหลอกกัน เขาได้ยินฉันพูดแบบนั้นก็รู้แล้วว่าฉันรู้ว่าเขาทำอะไรอยู่ ความรู้สึกฉันคืนทนไม่ไหวแล้วในตอนนั้น ได้แต่ร้องไห้ เสียใจ ร้องไห้อยู่เกือบหนึ่งอาทิตย์ ขอเลิกกับแฟน เขาก็ขอร้องไว้ บอกว่าตนเองไม่ได้ตั้งใจปกปิด ที่ไม่อยากให้รู้เพราะกลัวไม่สบายใจ และเพิ่งคุยกับผู้หญิงอื่นไม่ได้ ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันเลย ใจฉันอยากเชื่อมาก เพื่อที่ตัวเองจะได้คบกับแฟนต่อไป และในที่สุดดิฉันก็ได้ให้โอกาสแฟน และให้โอกาสตนเอง ให้เขาโทรหาผู้หญิงคนนั้นและบอกว่าแฟนไม่สบายใจ เขาลบเบอร์โทรและอะไรๆ ออกหมด จนตอนนี้เหตุการณ์นั้นผ่านมาจะ 3 เดือนแล้ว
เหตุการณ์ต่างๆ ผ่านมาจะคบ 3 เดือนแล้ว เรายังคบกันอยู่ ฉันยังรักแฟนของฉันมาก ไม่สามารถตัวใจจากเขาได้เลย ฉันรับรู้ว่าเขาก็รักฉันมาก และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหากพิจารณา เขาก็ยังไม่ได้ทำผิดถึงขั้นว่านอกใจไปมีคนอื่นเต็มที่ เพราะเพิ่งเริ่มต้นคุย และฝ่ายหญิงพอรู้ว่าฝ่ายชายมีแฟนก็ถอยห่าง แต่ฉันก็ไม่สามารถรู้ได้เพราะเขาทำงานที่เดียวกัน ได้แต่พยายามที่จะเชื่อใจ ไว้วางใจ เพราะคิดว่าหากไม่ไว้ใจก็จะมีปัญหามาเรื่องๆ แต่ฉันมองว่าแฟนของตนเอง ไม่ให้ความร่วมมือในการสร้างความไว้วางใจอีกครั้ง พอฉันเริ่มถามเขาก็ไม่สนใจ ฉันบอกเขาแค่ตอบจะตอบว่ายังไงฉันก็เชื่อ
3 เดือนที่ผ่านมา ฉันพยายามทุกวัน และแอบร้องไห้คนเดียวเกือบทุกวัน อารมณืฉันเริ่มเปลี่ยนแปลงชัดเจนกว่าตอนโดนเลื่อนงานแต่งงานออกไปไม่มีกำหนด เครียดทั้งสองเรื่อง ฉันเริ่มพาล หงุดหงิดง่าย และเป็นฉันเองที่ทำให้เขาเสียใจ เพราะคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเขาที่ออกจากปากฉัน ทะเลาะกันแทบทุกอาทิตย์ด้วยปัญหาเดิมๆ ด้วยเรื่องเล็กๆ และนำไปสู่การที่ฉันขอเลิกกับเขาทุกครั้ง ฉันรู้สึกตัวเองควบคุมตัวเองไม่ได้ ฉันคนเดิมหายไป เหมือนไม่ใช่ตัวตนของตัวเอง กลายเป็นคนคิดวิตกกังวล หวาดกลัวการถูกทอดทิ้ง รู้สึกว่าตนเองจะมีความซึมเศร้าแฝงมา และตอนนี้รู้สึกว่าอารมณ์ซึมเศร้าจะเด่นชัดมากขึ้น มีความคิดประชดประชัด อยากจะตาายจากโลกนี้ไป แต่ก็ยังรู้ผิดชอบชั่วดี ฉันเกิดความรู้สึกไม่ไว้วางใจขึ้นมาเป็นบางวัน วันไหนที่ฉันเอ่ยถึงเรื่องงานแต่งงานจะเป็นชนวนที่ทำให้เกิดการทะเลาะกันตลอด ส่วนใหญ่ฉันจะเป็นคนอารมณ์เสียใส่เขา และทำให้เขาทุกข์ใจเองในตอนนี้ ยังดีที่เขาคอยอยู่เคียงข้าง และไม่ยอมจากไปไหน ยอมอดทนกับคำพูดที่รุนแรงของเรา
ฉันรู้สึกเสียใจ อยากได้ฉันคนเดิมกลับมา พยายามครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ล้มมาตลอด กลับมาจุดที่ความทรงจำที่เกิดขึ้นมาตลอด ดึงตัวเองออกมาจากเหตุการณืหรือความรู้สึกเสียใจไม่ได้สักที และตอนนี้ฉันก็รู้สึกเหนื่อยและท้อ ไม่รู้จะระบายออกทางไหน ไม่มีใครให้ปรึกษา เพราะไม่ได้เล่าเรื่องต่างๆ ให้ใครฟัง จนตอนนี้ทนไม่ไหวแล้ว มันเหนื่อยและท้อมาก และไม่อยากจะสูญเสียความรักครั้งนี้ไปเพราะตัวเองฉันเอง หากจะเสียไป ก็อยากจะให้ตัวเองทำในส่วนของตัวเองให้ดีที่สุด ฉันอยากให้ผู้หญิงที่ร่างเริง แจ่มใส ที่สามารถหัวเราะได้กับทุกสถานการณื และเมื่อล้มแล้วก็ลุกขึ้นได้คนก่อนกลับมา อยากได้ความเชื่อใจกลับมาฉันต้องทำอย่างไร
ช่วยฉันด้วยค่ะ ... ฉันไม่สามารถเรียกฉันคนเดิมกลับมาได้เลย ฉันควรทำยังไงต่อไปดี
ปล. คนรอบข้างของฉันทุกคนต่างมีปัญหาครอบครัว และหย่าร้างแทบทุกคู่ จนฉันกลัวการใช้ชีวิตคู่ แต่ก็ยังหวังว่าจะมีครอบครัวที่อบอุ่น อยากสร้างครอบครัวของตัวเองสักครั้ง และฉันอยากสร้างมันกับผู้ชายคนนี้ ของแค่ฉันดึงตัวตนฉันกลับมา ฉันเชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้น แต่ฉันต้องทำยังไง หาทางให้ตัวเองไม่เจอจริงๆ