สวัสดีครับ เพื่อนๆชาวพันทิป ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนว่า นี่เป็นกระทู้แรกของผม เพิ่งจะสมัครสมาชิก และเริ่มตั้งกระทู้เมื่อไม่กี่นาทีนี้นี่เอง ถ้าจะถามเหตุผล ว่าทำไมถึงมาเขียนรีวิวในครั้งนี้ อื้มมมม ?? นั่นสินะ อาจเป็นเพราะความคิดถึงที่มีต่อการท่องเที่ยวภูเก็ตที่ผ่านมา ความประทับใจในสถานที่ท่องเที่ยว และเพื่อนร่วมทริป เอาเป็นว่า ทุกๆองค์ประกอบในการท่องเที่ยวครั้งนี้ ได้เป็นแรงจูงใจให้ผมเขียนกระทู้นี้ขึ้นมา เพื่อระลึกถึงความทรงจำ และความรู้สึก กลั่นออกมาเป็นตัวอักษร ให้มันยังคงตราตรีงอยู่ในเวปพันทิปแห่งนี้ เผื่อวันไหนที่คิดถึง จะได้เข้ามาอ่านกี่ครั้งก็ได้ ตราบนานเท่านาน (เว่อร์เนอะ) 555
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลามาเริ่มเดินทางไปด้วยกันเลยนะครับ Let’s go……
อ้อ…… ก่อนอื่นเพื่อนๆหลายคน อาจจะสังเกตเห็นหัวข้อกระทู้แล้วงงว่า 2 วัน แล้วมันจะ 2 คืนได้เยี่ยงไร? เพราะอย่างนี้ครับ
คืนที่ 1 : เราได้เดินทางจาก จ.กระบี่ (ซึ่งผมทำงานอยู่ จ.กระบี่ ส่วนเพื่อนผมทำงานที่ จ.ตรัง) หลังจากอิ่มหนำสำราญกับอาหารมื้อเย็นสุดอร่อยที่ร้านน้องโจ๊ก เวลาประมาณ 19:00 น. ล้อก็หมุน มุ่งตรงไปยัง จ.ภูเก็ต ไข่มุกอันดามัน แห่งประเทศไทย
ตลอดเส้นทางจาก จ.กระบี่ ไป จ.ภูเก็ต รถเยอะกว่าปกติมาก เนื่องจากช่วงวันที่เราไปเป็นช่วงหลังวันสงกรานต์แค่วันเดียว ซึ่งแน่นอนว่าผู้คนต่างก็ยังคงเที่ยวทั้งอาทิตย์ เราก็เลยขับกันไปแบบเรื่อยๆไม่รีบ ไปถึงสะพานรักสารสินเวลาประมาณ 20:00 น. ไหนๆก็มาถึงที่แล้วเรามาทราบประวัติ และตำนานของสะพานแห่งนี้กันซักนิสสสนึงนะครับเผื่อเพื่อนๆคนใดอยากจะรู้ แต่ถ้าไม่อยากรู้ก็ข้ามๆไปละกันนะครับ สะพานแห่งนี้ได้เปิดให้ใช้บริการกันตั้งแต่ พ.ศ.2510 เชื่อมโยงระหว่าง จ.พังงา และ จ.ภูเก็ต มีความยาว 660 เมตร ตั้งชื่อตามนามสกุลของนายพจน์ สารสิน ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาแห่งชาติ
สะพานแห่งนี้เป็นที่รู้จักดีในฐานะที่เป็นพยานของความรักที่ไม่สมหวังของชายหญิงคู่หนึ่ง ซึ่งก็คือ โกดำ และนางกิ๋ว ซึ่งทั้งสองคนมีความแตกต่างทางฐานะอย่างมาก โกดำเป็นคนขับรถสองแถว หรือสมัยนั้นเรียกว่ารถโบท้อง
ส่วนนางกิ๋วเป็นนักศึกษามหาลัยครู ผู้พรั่งพร้อมไปด้วยชาติตระกูลและฐานะทางสังคม
ความรักของทั้งคู่ก็เหมือนความรักของหนุ่มสาวทั่วไป มีความสดใส และความน่ารักอยู่ในตัวของมันเอง แต่กลับมืดมิดในสายตาของคนรอบข้าง แม้กระทั่งกับครอบครัวของนางกิ๋วเอง ถึงแม้ว่าโกดำจะพยายามพิสูจน์ความรักที่มีต่อนางกิ๋วมากเท่าไหร่ แต่ครอบครัวของนางกิ๋วโดยเฉพาะพ่อ ก็ไม่ยอมเปิดใจรับโกดำ เนื่องจากถูกมองว่า เป็นคนหาเช้ากินค่ำ ไม่สามารถที่จะดูแลลูกสาวของตนได้แน่นอน ลูกสาวของตนควรจะได้เจอกับคนที่มีฐานะระดับเดียวกัน ไม่เพียงเท่านั้น ยังคงยัดเยียดลูกสาวให้กับเศรษฐี แต่ด้วยความที่ทั้งคู่มีความรักที่จริงใจ และมั่นคงต่อกัน ไม่ว่าจะมีอุปสรรคถาโถมเข้ามามากเท่าไหร่ ก็มิอาจทำให้ความรักของทั้งคู่สั่นคลอนลงไปได้
ในที่สุดเมื่อหัวใจทั้งคู่ถูกย่ำยีจนยากที่จะเกินทน ช่วงเวลานั้น คงไม่มีใครที่จะเข้าใจได้ดีไปกว่าพวกเขาทั้งสองคน ทั้งคู่จึงตัดสินใจใช้ผ้าขาวม้ามัดร่างกันและกันไว้ โดยมีความเชื่อว่า ถึงแม้ตายไปแล้วแต่เราก็ยังไม่แยกจากกันไปไหน จะอยู่ด้วยกันตราบนิจนิรันดร์ แล้วทั้งคู่ก็ก้าวขึ้นไปบนราวสะพานสารสิน แล้วพร้อมใจกันกระโดดลงไป วันรุ่งขึ้นได้พบศพทั้งคู่ โดยร่างของทั้งสองยังคงผูกติดกันด้วยผ้าขาวม้า สร้างความสะเทือนใจให้แก่ชาวบ้านแถวนั้นมากมายเหลือจะกล่าว
และนี่ก็คือตำนานของสะพานสารสินแห่งนี้ นอกจากนี้ก็ยังมีคำล่ำลือเกี่ยวกับกระต่ายนัยน์ตาสีแดงคู่หนึ่ง ซึ่งจะออกมาทุกคืนพระจันทร์เต็มดวง โดยชาวบ้านล่ำลือกันว่าเป็นวิญญาณของพวกเราทั้งคู่นั่นเอง
ปัจจุบันสะพานสารสินเดิมไม่เปิดให้รถข้ามแล้วแต่ถูกบูรณะเป็นจุดชมวิวแทน ซึ่งได้สร้างสะพานสารสิน2 ขึ้นมาทดแทนในปี พ.ศ.2554 ซึ่งเป็นสะพานที่พวกเราขับรถข้ามมานั่นเอง นอกเรื่องไปตั้งเยอะ แหะๆๆๆ ^^ กลับสู่เรื่องของเราต่อนะครับ หลังจากที่เราเดินทางมาถึงสะพานสารสินเมื่อเวลา 20:00 น. เราก็ได้ขับรถต่อเพื่อเข้าสู่ จ.ภูเก็ต ซึ่งเป็นเป้าหมายของเราในทริปนี้
มาถึงตรงนี้เพื่อนๆอย่าเพิ่งเบื่อกันนะครับ เดี๋ยวต่อจากนี้รับรองว่ารูปจะเยอะกว่าตัวอักษรแน่นอนคราฟฟฟฟ จังหวะนี้ก็ขอเมาน้ำลายไปก่อนละกันไม่ว่ากันนะครับ ^^
สำหรับที่พักในค่ำคืนแรก หลังจากที่ขับรถกันมาประมาณเกือบ 2 ชั่วโมงคือที่นี่เลยครับ
โรงแรมชิโน อิมพีเรียล ภูเก็ต เป็นโรงแรมที่อยู่ติดถนน มองจากภายนอกไม่รู้เลยว่าเป็นโรงแรม นึกว่าเป็นตึกแถวธรรมดาซะมากกว่า ที่จอดรถอยู่ด้านข้าง กับด้านหลัง ดูเหมือนจะไม่ค่อยเป็นที่จอดรถซะเท่าไหร่ แต่ก็โอเค ไม่ต้องจอดริมถนน มาถึงจุดนี้เพื่อนๆคงจินตนาการว่าเป็นโรงแรมที่แย่มากไม่น่าพักเลย อย่าเพิ่งคิดแบบนั้นกันนะครับ ให้ภาพมันอธิบายดีกว่าเนอะ
นี่เป็นส่วนของ Lobby (Credit ภาพจาก Agoda) ภายในตกแต่งโดยเน้นสีขาว ดูหรูและสะอาดมาก
ส่วนนี่ก็เป็นภายในห้องพัก มีมินิบาร์ซึ่งมีกาแฟ และมาม่า บริการให้ฟรี ส่วนวิวภายนอก ถ่ายจากระเบียงกลางชั้น 3 ในตอนเช้า ดังรูปเลยครับ
มาถึงจุดนี้ เพื่อนๆคงคิดว่า เดี๋ยวมันก็จะพิมพ์ว่า “แล้วพวกเราก็เข้านอน พร้อมกับความเพลียจากการเดินทางในวันนี้” โน่วววๆๆ ถ้าเพื่อนๆคิดอย่างนั้นก็ผิดแล้วคร๊าบบบบ มาภูเก็ตทั้งที ต้องออกตระเวนราตรีกันหน่อย แต่เสียดายไม่ได้เก็บรูปมาฝาก แต่จะขอก๊อปรูปจาก internet มาแปะให้ละกันนะครับ
สำหรับที่ที่เราจะไปต่อกันในช่วงกลางคืนที่ยังแลดูมีชีวิตชิวา ผู้คนยังคงขวักไขว่กันอยู่มากมายบนท้องถนน ขณะนี้เวลาประมาณ 4 ทุ่มเศษ เราก็ยืนกันอยู่หน้าร้าน “เพลินจิต” ภายในร้านตกแต่งสไตล์วิลเทจ มีดนตรีสดเล่นเคล้าคลอไปพร้อมกับเบียร์เย็นๆ ที่กำลังไหลผ่านคอของพวกเรา ทำให้ช่วยบรรเทาอาการเหนื่อยจากการเดินทางในวันนี้ได้ดีทีเดียว เมื่อแอลกอฮอล์เริ่มเข้าสู่ร่างกาย Step โยกย้าย ก็มาจากไหนไม่รู้ ยิ่งฟังดนตรี ยิ่งนั่งเพลิน สมกับชื่อ “เพลินจิต” จริงๆ สำหรับภาพบรรยากาศของร้าน ขออนุญาตก๊อปจาก internet มาให้เพื่อนๆได้ดูกันนะครับ เพราะไม่ได้ถ่ายไว้
ลืมบอกไป!!! ร้านนี้คนเยอะมากกกก เป็นศูนย์รวมของวัยรุ่นเลยก็ว่าได้ ถ้าใครสนใจจะไป ก็ให้รีบๆหน่อยนะครับ เพราะจะไม่มีที่นั่ง ที่สำคัญสาวๆที่นี้แต่งตัวดีมากครับ เอิ๊กๆๆ
พวกเรานั่งกันถึงประมาณเที่ยงคืนแล้วก็กลับโรงแรมเพื่อที่จะชาร์ตแบตไว้ลุยต่อในวันพรุ่งนี้ ซึ่งขอบอกว่าโปรแกรมของเราแน่นมากๆ เลยนะครับพี่น้องคร๊าบบบ!! สำหรับคืนนี้ราตรีสวัสดิ์ ซาโยนาระ
วันที่ 1 : อรุณสวัสดิ์เมืองภูเก็ต อากาศยามเช้าที่นี่ดีจริงๆ วันนี้ท้องฟ้าสดใสเหมาะแก่การเที่ยว และถ่ายรูปมากๆ แต่ก่อนอื่นก็ต้องแวะเติมพลังกันหน่อย กับร้านที่เก่าแก่อยู่คู่กับเมืองภูเก็ตมานานนับสิบปี นั่นก็คือ………….. แต่นแต๊นนน ร้านบุญรัตน์ ติ่มซำ นั่นเองครัชชช
ตอนแรกคิดว่า ร้านน่าจะใหญ่พอๆกับร้านเรือนไทยติ่มซำที่ จ.ตรัง แต่ไม่ใช่!! เป็นร้านเล็กๆ อยู่ในซอย ไม่ได้ติดกับถนนเส้นหลัก แต่ก็อยู่หน้าปากซอยให้พอสังเกตได้ เพื่อนๆที่จะไปชิมต้องสังเกตดีๆนะครับ ผมจอดรถไกลมากกกก อ๊ากกก!! แต่พอได้กินไม่ผิดหวังครับ แนะนำขนมจีบ อร่อยเหาะ!!!
เมื่อเติมพลังกันเสร็จเรียบร้อยก็ได้เวลาของโปรแกรมแรกในวันนี้ เราจะพาเพื่อนๆไปย้อนรอยประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ของเมืองภูเก็ต นั่นก็คือ ตึกสไตล์ชิโน-โปรตุกีส เป็นตึกที่สร้างโดยผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมตะวันตกคือโปรตุเกส กับตะวันออกคือจีนอย่างกลมกลืน ตึกสไตล์ชิโน-โปรตุกีส ถูกสร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2446 ผ่านมาร้อยกว่าปี แต่ก็ยังคงความงดงามให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาชื่นชม และเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของไทยอีกหน้าหนึ่ง ต้องยกความดีความชอบนี้ให้เทศบาล และประชาชนทุกคนใน จ.ภูเก็ต ที่ได้ช่วยกันอนุรักษ์ และทำนุบำรุงสถาปัตยกรรมที่หาดูที่ไหนไม่ได้แล้วในประเทศไทย ให้ยังคงอยู่คู่กับเมืองภูเก็ต เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของเมืองภูเก็ต ที่ไม่ว่าใครผ่านไปผ่านมาต้องแวะมาเที่ยวชม
ส่วนประวัติความเป็นมาของชาวจีนและชาวตะวันตก ที่มาลงหลักปักฐานที่นี่นั้น หากท่านใดสนใจก็ให้ไปศึกษาจากอากู๋เอานะครับ เพราะเดี๋ยวมันจะยืดกว่านี้ หึหึหึ
เก็บรูปย่านเมืองเก่าแถวถนนดีบุก ถนนกระบี่ ถนนเยาวราช และซอยรมณีย์ มาฝากครับ
พอหอมปากหอมคอนะครับ หลังจากที่ได้เดินย่านเมืองเก่าวอร์มอัพร่างกายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จุดหมายต่อไปคือ “บ้านตีลังกา” เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เพิ่งเปิดใหม่แห่งแรกในประเทศไทย รับรองว่าเพื่อนๆจะต้องสนุกไปกับจินตนาการในการถ่ายภาพ ณ สถานที่แห่งนี้อย่างแน่นอน แต่ถ่ายมากๆชักจะเวียนหัวจริงๆแล้วสิเนี่ย
[CR] แชะ ชิม ชิว ที่ภูเก็ต 2 วัน 2 คืน!!!
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลามาเริ่มเดินทางไปด้วยกันเลยนะครับ Let’s go……
อ้อ…… ก่อนอื่นเพื่อนๆหลายคน อาจจะสังเกตเห็นหัวข้อกระทู้แล้วงงว่า 2 วัน แล้วมันจะ 2 คืนได้เยี่ยงไร? เพราะอย่างนี้ครับ
คืนที่ 1 : เราได้เดินทางจาก จ.กระบี่ (ซึ่งผมทำงานอยู่ จ.กระบี่ ส่วนเพื่อนผมทำงานที่ จ.ตรัง) หลังจากอิ่มหนำสำราญกับอาหารมื้อเย็นสุดอร่อยที่ร้านน้องโจ๊ก เวลาประมาณ 19:00 น. ล้อก็หมุน มุ่งตรงไปยัง จ.ภูเก็ต ไข่มุกอันดามัน แห่งประเทศไทย
ตลอดเส้นทางจาก จ.กระบี่ ไป จ.ภูเก็ต รถเยอะกว่าปกติมาก เนื่องจากช่วงวันที่เราไปเป็นช่วงหลังวันสงกรานต์แค่วันเดียว ซึ่งแน่นอนว่าผู้คนต่างก็ยังคงเที่ยวทั้งอาทิตย์ เราก็เลยขับกันไปแบบเรื่อยๆไม่รีบ ไปถึงสะพานรักสารสินเวลาประมาณ 20:00 น. ไหนๆก็มาถึงที่แล้วเรามาทราบประวัติ และตำนานของสะพานแห่งนี้กันซักนิสสสนึงนะครับเผื่อเพื่อนๆคนใดอยากจะรู้ แต่ถ้าไม่อยากรู้ก็ข้ามๆไปละกันนะครับ สะพานแห่งนี้ได้เปิดให้ใช้บริการกันตั้งแต่ พ.ศ.2510 เชื่อมโยงระหว่าง จ.พังงา และ จ.ภูเก็ต มีความยาว 660 เมตร ตั้งชื่อตามนามสกุลของนายพจน์ สารสิน ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาแห่งชาติ
สะพานแห่งนี้เป็นที่รู้จักดีในฐานะที่เป็นพยานของความรักที่ไม่สมหวังของชายหญิงคู่หนึ่ง ซึ่งก็คือ โกดำ และนางกิ๋ว ซึ่งทั้งสองคนมีความแตกต่างทางฐานะอย่างมาก โกดำเป็นคนขับรถสองแถว หรือสมัยนั้นเรียกว่ารถโบท้อง
ส่วนนางกิ๋วเป็นนักศึกษามหาลัยครู ผู้พรั่งพร้อมไปด้วยชาติตระกูลและฐานะทางสังคม
ความรักของทั้งคู่ก็เหมือนความรักของหนุ่มสาวทั่วไป มีความสดใส และความน่ารักอยู่ในตัวของมันเอง แต่กลับมืดมิดในสายตาของคนรอบข้าง แม้กระทั่งกับครอบครัวของนางกิ๋วเอง ถึงแม้ว่าโกดำจะพยายามพิสูจน์ความรักที่มีต่อนางกิ๋วมากเท่าไหร่ แต่ครอบครัวของนางกิ๋วโดยเฉพาะพ่อ ก็ไม่ยอมเปิดใจรับโกดำ เนื่องจากถูกมองว่า เป็นคนหาเช้ากินค่ำ ไม่สามารถที่จะดูแลลูกสาวของตนได้แน่นอน ลูกสาวของตนควรจะได้เจอกับคนที่มีฐานะระดับเดียวกัน ไม่เพียงเท่านั้น ยังคงยัดเยียดลูกสาวให้กับเศรษฐี แต่ด้วยความที่ทั้งคู่มีความรักที่จริงใจ และมั่นคงต่อกัน ไม่ว่าจะมีอุปสรรคถาโถมเข้ามามากเท่าไหร่ ก็มิอาจทำให้ความรักของทั้งคู่สั่นคลอนลงไปได้
ในที่สุดเมื่อหัวใจทั้งคู่ถูกย่ำยีจนยากที่จะเกินทน ช่วงเวลานั้น คงไม่มีใครที่จะเข้าใจได้ดีไปกว่าพวกเขาทั้งสองคน ทั้งคู่จึงตัดสินใจใช้ผ้าขาวม้ามัดร่างกันและกันไว้ โดยมีความเชื่อว่า ถึงแม้ตายไปแล้วแต่เราก็ยังไม่แยกจากกันไปไหน จะอยู่ด้วยกันตราบนิจนิรันดร์ แล้วทั้งคู่ก็ก้าวขึ้นไปบนราวสะพานสารสิน แล้วพร้อมใจกันกระโดดลงไป วันรุ่งขึ้นได้พบศพทั้งคู่ โดยร่างของทั้งสองยังคงผูกติดกันด้วยผ้าขาวม้า สร้างความสะเทือนใจให้แก่ชาวบ้านแถวนั้นมากมายเหลือจะกล่าว
และนี่ก็คือตำนานของสะพานสารสินแห่งนี้ นอกจากนี้ก็ยังมีคำล่ำลือเกี่ยวกับกระต่ายนัยน์ตาสีแดงคู่หนึ่ง ซึ่งจะออกมาทุกคืนพระจันทร์เต็มดวง โดยชาวบ้านล่ำลือกันว่าเป็นวิญญาณของพวกเราทั้งคู่นั่นเอง
ปัจจุบันสะพานสารสินเดิมไม่เปิดให้รถข้ามแล้วแต่ถูกบูรณะเป็นจุดชมวิวแทน ซึ่งได้สร้างสะพานสารสิน2 ขึ้นมาทดแทนในปี พ.ศ.2554 ซึ่งเป็นสะพานที่พวกเราขับรถข้ามมานั่นเอง นอกเรื่องไปตั้งเยอะ แหะๆๆๆ ^^ กลับสู่เรื่องของเราต่อนะครับ หลังจากที่เราเดินทางมาถึงสะพานสารสินเมื่อเวลา 20:00 น. เราก็ได้ขับรถต่อเพื่อเข้าสู่ จ.ภูเก็ต ซึ่งเป็นเป้าหมายของเราในทริปนี้
มาถึงตรงนี้เพื่อนๆอย่าเพิ่งเบื่อกันนะครับ เดี๋ยวต่อจากนี้รับรองว่ารูปจะเยอะกว่าตัวอักษรแน่นอนคราฟฟฟฟ จังหวะนี้ก็ขอเมาน้ำลายไปก่อนละกันไม่ว่ากันนะครับ ^^
สำหรับที่พักในค่ำคืนแรก หลังจากที่ขับรถกันมาประมาณเกือบ 2 ชั่วโมงคือที่นี่เลยครับ
โรงแรมชิโน อิมพีเรียล ภูเก็ต เป็นโรงแรมที่อยู่ติดถนน มองจากภายนอกไม่รู้เลยว่าเป็นโรงแรม นึกว่าเป็นตึกแถวธรรมดาซะมากกว่า ที่จอดรถอยู่ด้านข้าง กับด้านหลัง ดูเหมือนจะไม่ค่อยเป็นที่จอดรถซะเท่าไหร่ แต่ก็โอเค ไม่ต้องจอดริมถนน มาถึงจุดนี้เพื่อนๆคงจินตนาการว่าเป็นโรงแรมที่แย่มากไม่น่าพักเลย อย่าเพิ่งคิดแบบนั้นกันนะครับ ให้ภาพมันอธิบายดีกว่าเนอะ
นี่เป็นส่วนของ Lobby (Credit ภาพจาก Agoda) ภายในตกแต่งโดยเน้นสีขาว ดูหรูและสะอาดมาก
ส่วนนี่ก็เป็นภายในห้องพัก มีมินิบาร์ซึ่งมีกาแฟ และมาม่า บริการให้ฟรี ส่วนวิวภายนอก ถ่ายจากระเบียงกลางชั้น 3 ในตอนเช้า ดังรูปเลยครับ
มาถึงจุดนี้ เพื่อนๆคงคิดว่า เดี๋ยวมันก็จะพิมพ์ว่า “แล้วพวกเราก็เข้านอน พร้อมกับความเพลียจากการเดินทางในวันนี้” โน่วววๆๆ ถ้าเพื่อนๆคิดอย่างนั้นก็ผิดแล้วคร๊าบบบบ มาภูเก็ตทั้งที ต้องออกตระเวนราตรีกันหน่อย แต่เสียดายไม่ได้เก็บรูปมาฝาก แต่จะขอก๊อปรูปจาก internet มาแปะให้ละกันนะครับ
สำหรับที่ที่เราจะไปต่อกันในช่วงกลางคืนที่ยังแลดูมีชีวิตชิวา ผู้คนยังคงขวักไขว่กันอยู่มากมายบนท้องถนน ขณะนี้เวลาประมาณ 4 ทุ่มเศษ เราก็ยืนกันอยู่หน้าร้าน “เพลินจิต” ภายในร้านตกแต่งสไตล์วิลเทจ มีดนตรีสดเล่นเคล้าคลอไปพร้อมกับเบียร์เย็นๆ ที่กำลังไหลผ่านคอของพวกเรา ทำให้ช่วยบรรเทาอาการเหนื่อยจากการเดินทางในวันนี้ได้ดีทีเดียว เมื่อแอลกอฮอล์เริ่มเข้าสู่ร่างกาย Step โยกย้าย ก็มาจากไหนไม่รู้ ยิ่งฟังดนตรี ยิ่งนั่งเพลิน สมกับชื่อ “เพลินจิต” จริงๆ สำหรับภาพบรรยากาศของร้าน ขออนุญาตก๊อปจาก internet มาให้เพื่อนๆได้ดูกันนะครับ เพราะไม่ได้ถ่ายไว้
ลืมบอกไป!!! ร้านนี้คนเยอะมากกกก เป็นศูนย์รวมของวัยรุ่นเลยก็ว่าได้ ถ้าใครสนใจจะไป ก็ให้รีบๆหน่อยนะครับ เพราะจะไม่มีที่นั่ง ที่สำคัญสาวๆที่นี้แต่งตัวดีมากครับ เอิ๊กๆๆ
พวกเรานั่งกันถึงประมาณเที่ยงคืนแล้วก็กลับโรงแรมเพื่อที่จะชาร์ตแบตไว้ลุยต่อในวันพรุ่งนี้ ซึ่งขอบอกว่าโปรแกรมของเราแน่นมากๆ เลยนะครับพี่น้องคร๊าบบบ!! สำหรับคืนนี้ราตรีสวัสดิ์ ซาโยนาระ
วันที่ 1 : อรุณสวัสดิ์เมืองภูเก็ต อากาศยามเช้าที่นี่ดีจริงๆ วันนี้ท้องฟ้าสดใสเหมาะแก่การเที่ยว และถ่ายรูปมากๆ แต่ก่อนอื่นก็ต้องแวะเติมพลังกันหน่อย กับร้านที่เก่าแก่อยู่คู่กับเมืองภูเก็ตมานานนับสิบปี นั่นก็คือ………….. แต่นแต๊นนน ร้านบุญรัตน์ ติ่มซำ นั่นเองครัชชช
ตอนแรกคิดว่า ร้านน่าจะใหญ่พอๆกับร้านเรือนไทยติ่มซำที่ จ.ตรัง แต่ไม่ใช่!! เป็นร้านเล็กๆ อยู่ในซอย ไม่ได้ติดกับถนนเส้นหลัก แต่ก็อยู่หน้าปากซอยให้พอสังเกตได้ เพื่อนๆที่จะไปชิมต้องสังเกตดีๆนะครับ ผมจอดรถไกลมากกกก อ๊ากกก!! แต่พอได้กินไม่ผิดหวังครับ แนะนำขนมจีบ อร่อยเหาะ!!!
เมื่อเติมพลังกันเสร็จเรียบร้อยก็ได้เวลาของโปรแกรมแรกในวันนี้ เราจะพาเพื่อนๆไปย้อนรอยประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ของเมืองภูเก็ต นั่นก็คือ ตึกสไตล์ชิโน-โปรตุกีส เป็นตึกที่สร้างโดยผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมตะวันตกคือโปรตุเกส กับตะวันออกคือจีนอย่างกลมกลืน ตึกสไตล์ชิโน-โปรตุกีส ถูกสร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2446 ผ่านมาร้อยกว่าปี แต่ก็ยังคงความงดงามให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาชื่นชม และเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของไทยอีกหน้าหนึ่ง ต้องยกความดีความชอบนี้ให้เทศบาล และประชาชนทุกคนใน จ.ภูเก็ต ที่ได้ช่วยกันอนุรักษ์ และทำนุบำรุงสถาปัตยกรรมที่หาดูที่ไหนไม่ได้แล้วในประเทศไทย ให้ยังคงอยู่คู่กับเมืองภูเก็ต เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของเมืองภูเก็ต ที่ไม่ว่าใครผ่านไปผ่านมาต้องแวะมาเที่ยวชม
ส่วนประวัติความเป็นมาของชาวจีนและชาวตะวันตก ที่มาลงหลักปักฐานที่นี่นั้น หากท่านใดสนใจก็ให้ไปศึกษาจากอากู๋เอานะครับ เพราะเดี๋ยวมันจะยืดกว่านี้ หึหึหึ
เก็บรูปย่านเมืองเก่าแถวถนนดีบุก ถนนกระบี่ ถนนเยาวราช และซอยรมณีย์ มาฝากครับ
พอหอมปากหอมคอนะครับ หลังจากที่ได้เดินย่านเมืองเก่าวอร์มอัพร่างกายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จุดหมายต่อไปคือ “บ้านตีลังกา” เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เพิ่งเปิดใหม่แห่งแรกในประเทศไทย รับรองว่าเพื่อนๆจะต้องสนุกไปกับจินตนาการในการถ่ายภาพ ณ สถานที่แห่งนี้อย่างแน่นอน แต่ถ่ายมากๆชักจะเวียนหัวจริงๆแล้วสิเนี่ย