จากที่มีนโยบายออกมา หลายคนคงสนใจ รวมถึงตัวเราก็เช่นกัน จึงหาข้อมูล
1. ตรวจสอบกับทางเวบไซต์สรรพากร บางโรงแรมไม่มี แต่ข้อมูลลงไว้ตั้งแต่ปี 2554 เลยโทรไปเช็คกับทางโรงแรมที่ไปพักทุกโรงแรม โรงแรมบอกว่านำใบเสร็จไปลดหย่อนภาษีได้ ก็เลยตัดสินใจจองโรงแรมไป
2. ข้อมูลออกมาจากสรรพากร อ่านแล้วก็ไม่เห็นชัดเจน ไม่เข้าใจ ไม่มียกตัวอย่างให้เห็นชัด ๆ โทรสอบถามกับเจ้าหน้าที่สรรพากรก็ให้คำตอบไม่ชัดเจน ทำให้เข้าใจว่ารัฐบาลสนับสนุนให้มีการท่องเที่ยวโดยนำค่าที่พักมาเรียกคืนจากภาษีที่ต้องเสีย ส่วนที่ไม่ใช่ค่าที่พักเช่น ค่าน้ำมัน ค่ากิน ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เราต้องจ่ายเอง
จากประเด็นข้อที่ 1 โรงแรมที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้คือโรงแรมที่มีอยู่ในเวบไซต์ของสรรพากร แล้วคือพวกโรมแรมระดับ 3-5 ดาวบางโรงแรมที่ไม่มีชื่ออยู่ในรายการ คือเค้าไม่ได้จดทะเบียนหรืออย่างไร
จากประเด็นข้อที่ 2 ขอยกตัวอย่างตามที่เข้าใจในตอนแรก เช่น ในปี 2557 คำนวณภาษีแล้วน่าจะเสียภาษีประมาณ 8,000 บาท เลยเลือกพักโรงแรมรวมค่าที่พักประมาณ 8,000 บาท เพื่อขอคืนภาษี 8,000 บาท แต่สุดท้ายไม่ใช่ เป็นเพียงแค่ลดรายรับทั้งหมดที่จะต้องนำมาคิดภาษีตามเรทฐานภาษี
เมื่อนำมาคิดค่าใช้จ่ายโดยรวมทั้งหมดแล้ว จ่ายค่าที่พัก ค่าน้ำมัน ค่ากิน ค่าใช้จ่ายระหว่างการเดินทาง ประมาณ 5 วัน ร่วม ๆ รวมจ่ายไปไม่ต่ำกว่า 20,000 บาท ถ้ารู้ว่ามันไม่ลดแบบที่คิดไว้ งั้นนอนอยู่บ้านดีกว่า ไม่ต้องใช้เงิน ไม่ก็เลือกพักโรงแรมถูก ๆ หรือกางเต็นท์นอน ซะยังจะดีกว่า ไม่ต้องมาเสียเงินตั้งเกือบ 20,000 บาท แต่สิ่งที่ได้เหมือนโดนหลอกให้เอาเงินไปสนับสนุนโรงแรมในประเทศ จากการที่เราไม่รู้กฎหมาย อ่านกฎไม่เคลียร์ ตีความเองผิด ๆ (รู้งี้เก็บเงินไว้ไปเที่ยวต่างประเทศดีกว่า)
มีใครประสบเหมือนเราไหม ก็ ไม่อยากให้ใครต้องมาประสบกับเหตุการณ์เสียความรู้สึกแบบนี้ เลยนำข้อมูลมาแชร์ หวังว่าจะไม่มีใครว่าเราโง่นะ จะเรียกว่า ไม่เคลียร์ หลงกล เสียรู้ ก็ไม่รู้สินะ
การใช้นโยบายนี้จะเกิดประโยชน์สูงสุดคือ ใช้เมื่อรายได้คาบเกี่ยวที่จะต้องเสียภาษีต่างเรท เช่น รวมรายได้หลักหักลดหย่อนอย่างอื่น ไม่รวมภาษีท่องเที่ยว อยู่ที่ 310,000 บาท จะตกอยู่ในอัตราคิดภาษี 10% ดังนั้นถ้าไปเที่ยวแล้วบริหารจัดการเงินค่าที่พักให้ได้เกิน 10,000บาท ก็จะนำเงินค่าที่พักนี้มาลดหย่อนจาก 310,000 บาท ก็จะเหลือเงินได้ที่ประมาณ 300,000 บาท ซึ่งก็จะตกอยู่ในอัตราคิดภาษี 5% เมื่อคิดภาษีที่จะต้องจ่ายแล้ว ต่างกันเท่าตัวเลยทีเดียว แต่ถ้าคำนวณแล้วเงินได้ที่เหลือ แล้วใช้ค่าลดหย่อนภาษีท่องเที่ยวมาลดแล้ว ก็ยังอยู่ในอัตราภาษีเดิม ก็ไม่คุ้มที่จะจ่าย 15,000 บาทที่จะต้องเสียไปกับแค่ค่าที่พักในการท่องเที่ยวเลย
สุดท้ายนี้ก็หวังว่าข้อมูลจะมีประโยชน์ให้กับหลาย ๆท่านที่กำลังวางแผนท่องเที่ยว หรือวางแผนการลดหย่อนภาษีนะ
ถ้าข้อมูลมีประโยชน์ หรือท่านอื่นๆ มีข้อมูลหรือประสบการณ์ ก็เข้ามาแชร์ให้ท่านอื่น ๆ ทราบ เพิ่มเติมกันได้นะ
อุทาหรณ์การลดหย่อนภาษีท่องเที่ยว
1. ตรวจสอบกับทางเวบไซต์สรรพากร บางโรงแรมไม่มี แต่ข้อมูลลงไว้ตั้งแต่ปี 2554 เลยโทรไปเช็คกับทางโรงแรมที่ไปพักทุกโรงแรม โรงแรมบอกว่านำใบเสร็จไปลดหย่อนภาษีได้ ก็เลยตัดสินใจจองโรงแรมไป
2. ข้อมูลออกมาจากสรรพากร อ่านแล้วก็ไม่เห็นชัดเจน ไม่เข้าใจ ไม่มียกตัวอย่างให้เห็นชัด ๆ โทรสอบถามกับเจ้าหน้าที่สรรพากรก็ให้คำตอบไม่ชัดเจน ทำให้เข้าใจว่ารัฐบาลสนับสนุนให้มีการท่องเที่ยวโดยนำค่าที่พักมาเรียกคืนจากภาษีที่ต้องเสีย ส่วนที่ไม่ใช่ค่าที่พักเช่น ค่าน้ำมัน ค่ากิน ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เราต้องจ่ายเอง
จากประเด็นข้อที่ 1 โรงแรมที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้คือโรงแรมที่มีอยู่ในเวบไซต์ของสรรพากร แล้วคือพวกโรมแรมระดับ 3-5 ดาวบางโรงแรมที่ไม่มีชื่ออยู่ในรายการ คือเค้าไม่ได้จดทะเบียนหรืออย่างไร
จากประเด็นข้อที่ 2 ขอยกตัวอย่างตามที่เข้าใจในตอนแรก เช่น ในปี 2557 คำนวณภาษีแล้วน่าจะเสียภาษีประมาณ 8,000 บาท เลยเลือกพักโรงแรมรวมค่าที่พักประมาณ 8,000 บาท เพื่อขอคืนภาษี 8,000 บาท แต่สุดท้ายไม่ใช่ เป็นเพียงแค่ลดรายรับทั้งหมดที่จะต้องนำมาคิดภาษีตามเรทฐานภาษี
เมื่อนำมาคิดค่าใช้จ่ายโดยรวมทั้งหมดแล้ว จ่ายค่าที่พัก ค่าน้ำมัน ค่ากิน ค่าใช้จ่ายระหว่างการเดินทาง ประมาณ 5 วัน ร่วม ๆ รวมจ่ายไปไม่ต่ำกว่า 20,000 บาท ถ้ารู้ว่ามันไม่ลดแบบที่คิดไว้ งั้นนอนอยู่บ้านดีกว่า ไม่ต้องใช้เงิน ไม่ก็เลือกพักโรงแรมถูก ๆ หรือกางเต็นท์นอน ซะยังจะดีกว่า ไม่ต้องมาเสียเงินตั้งเกือบ 20,000 บาท แต่สิ่งที่ได้เหมือนโดนหลอกให้เอาเงินไปสนับสนุนโรงแรมในประเทศ จากการที่เราไม่รู้กฎหมาย อ่านกฎไม่เคลียร์ ตีความเองผิด ๆ (รู้งี้เก็บเงินไว้ไปเที่ยวต่างประเทศดีกว่า)
มีใครประสบเหมือนเราไหม ก็ ไม่อยากให้ใครต้องมาประสบกับเหตุการณ์เสียความรู้สึกแบบนี้ เลยนำข้อมูลมาแชร์ หวังว่าจะไม่มีใครว่าเราโง่นะ จะเรียกว่า ไม่เคลียร์ หลงกล เสียรู้ ก็ไม่รู้สินะ
การใช้นโยบายนี้จะเกิดประโยชน์สูงสุดคือ ใช้เมื่อรายได้คาบเกี่ยวที่จะต้องเสียภาษีต่างเรท เช่น รวมรายได้หลักหักลดหย่อนอย่างอื่น ไม่รวมภาษีท่องเที่ยว อยู่ที่ 310,000 บาท จะตกอยู่ในอัตราคิดภาษี 10% ดังนั้นถ้าไปเที่ยวแล้วบริหารจัดการเงินค่าที่พักให้ได้เกิน 10,000บาท ก็จะนำเงินค่าที่พักนี้มาลดหย่อนจาก 310,000 บาท ก็จะเหลือเงินได้ที่ประมาณ 300,000 บาท ซึ่งก็จะตกอยู่ในอัตราคิดภาษี 5% เมื่อคิดภาษีที่จะต้องจ่ายแล้ว ต่างกันเท่าตัวเลยทีเดียว แต่ถ้าคำนวณแล้วเงินได้ที่เหลือ แล้วใช้ค่าลดหย่อนภาษีท่องเที่ยวมาลดแล้ว ก็ยังอยู่ในอัตราภาษีเดิม ก็ไม่คุ้มที่จะจ่าย 15,000 บาทที่จะต้องเสียไปกับแค่ค่าที่พักในการท่องเที่ยวเลย
สุดท้ายนี้ก็หวังว่าข้อมูลจะมีประโยชน์ให้กับหลาย ๆท่านที่กำลังวางแผนท่องเที่ยว หรือวางแผนการลดหย่อนภาษีนะ
ถ้าข้อมูลมีประโยชน์ หรือท่านอื่นๆ มีข้อมูลหรือประสบการณ์ ก็เข้ามาแชร์ให้ท่านอื่น ๆ ทราบ เพิ่มเติมกันได้นะ