สวัสดีครับ นี่เป็นกระทู้ที่สองของผมในพันทิปที่มาบอกเล่าประสบการณ์การเดินทางท่องเที่ยว จากครั้งแรกที่เวียดนาม กระทู้นี้
http://pantip.com/topic/33143064 ส่วนครั้งนี้จะพาไปเหนือแบบดีเล๊ย์ ดีเลย์ เพราะไปมาตั้งแต่ต้นปีแต่เพิ่งจะมารีวิวเอาตอนนี้ ฮ่าๆๆ
อย่างที่จั่วหัวกระทู้ไว้ครับว่า แบกเป้เที่ยวไปคนเดียวก็ได้ (แต่เหงา) มันน่าจะเหงาจริงๆ แหละ การเดินทางครั้งนี้ผมเลยชวนคู่หูคนรู้ใจไปด้วย (จริงๆ เป็นความอยากเที่ยวของทั้งคู่) การเดินทางครั้งนี้เลยไม่ได้เหงาอย่างที่คิด แล้วเดี๋ยวยังจะมีเรื่องเซอร์ไพร้ส์และประสบการณ์ของการเดินทางที่น่าจดจำอีกมากมายเลย
เริ่มเลยแล้วกันครับ การเดินทางครั้งนี้วางแผนไว้คร่าวๆ ว่าเราจะเที่ยวสวนกับอื่น คือกะจะให้เลยปีใหม่ก่อนแล้วค่อยเดินทาง ผลก็คือช่วยได้เยอะทีเดียวครับ หลายๆ ที่ที่ไปคนก็ไม่ได้เยอะไว้อย่างที่คิดจริงๆ ถือว่าค่อนข้างเข้าทีที่เลือกเดินทางแบบนี้ครับ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
วันแรก 2 ม.ค. 58
เราออกจากที่พักเพื่อไปขึ้นรถนครชัยแอร์ (ตรงกำแพงเพชร 2) ราวๆ 18.30 น. ไปนั่งกินข้าวแล้วจิบนมร้อนๆ รอจนกระทั่ง 22.00 น.ล้อก็หมุนไปเชียงใหม่ ระหว่างทางนั่งดู How to Train your Dragon 2 ไปด้วย ทั้งๆ ที่ยังไม่เคยดูภาค 1 เปิดมาก็งงเลยว่าอะไรคือเขี้ยวกุด 555555
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
วันที่สอง 3 ม.ค. 58
ราวๆ 7.00 น. เราถึงอาเขต จับรถสองแถวไปที่พักที่ “บ้านเสลา” นิมนามฯ ซอย 5 อีกชั่วโมงถัดมาเราก็ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จเรียบร้อย ออกไปเช่ามอเตอร์ไซค์ที่ร้าน Bikky กะไว้ว่าจะขี่ไปขึ้นดอยอินทนนท์ แล้วก็จะแว๊นไปต่อที่ม่อนแจ่ม คุยไปคุยมาเหมือนว่าจะไม่ทัน จึงเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ “งานพืชสวนโลก” แล้วค่อยโยกมา “ม่อนแจ่ม”
10.20 น. ผมหยุดรถที่ลานจอดรถ ถ้าไม่ขับเลยแยกทางเข้าแบบผมจะต้องถึงเร็วกว่านี้แน่นอน ฮิๆ พอถึงก็ไปนั่งกินข้าวเหนียวหมูทอดที่ซื้อมาจากหลังมช. พร้อมกับส้มตำไทรสเด็ดๆ อีกหนึ่งจานใหญ่ เกือบ 11 โมงก็ไปเดินซื้อบัตรเข้างานครับ ค่าเข้าผู้ใหญ่ราคา 50 บาท บวกกับค่ารถรางอีก 20 บาท เรานั่งรถรางวนไปรอบๆ เห็นจุดนู้นจุดนี้น่าสนใจก็แวะลงไปถ่ายรูปแล้วกลับขึ้นมาต่อ ถ่ายรูปได้นิดหน่อยก็จะไม่ไหวแล้วเพราะอากาศวันนั้นนี่ชวนให้ตัวละลายมากๆ ครับ
บ่ายโมง เราเสร็จภารกิจที่งานพืชสวนโลกเรียบร้อย จับมอเตอร์ฮอนด้าที่เช่ามาให้กระชับแล้วขับ (จริงๆ ต้องขี่ ให้ต้องเอาให้คล้องจอง แฮ่) ไปต่อที่ดอยม่อนแจ่ม ระยะทางประมาณ 38 กิโลเมตร ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่งเราก็ถึงดอยม่อนแจ่มครับ ที่ม่อนแจ่มนี่ขนาดเลยวันปีใหม่มาแล้ว คนยังทยอยขึ้นมาเรื่อยๆ ด้วยความที่ทั้งคนเยอะและแดดร้อนมว๊าก ผมจึงไปนั่งหลบร้อนจนราวๆ สี่โมงเย็นถึงได้ออกมาถ่ายรูป
17.00 น. โฉบไปดอยม่อนตะวัน แล้วขี่วกกลับเข้าตัวเมือง แวะซื้อสตรอเบอรี่ข้างทางราคา 300 บาท เพื่อจะมาเจอร้านใกล้ๆ ที่พักที่ราคากล่องละ 150 บาท 555555 กลับถึงที่พัก แล้วต้องพักจริงๆ ครับ เพราะผลจากการที่ขี่รถมอเตอร์ไซค์ตากแดดวันนี้ทั้งวัน ทำเอาเป็นไข้แดดไปเลยยย เรี่ยวแรงโดนสูบจนหมดตัว ก่อนนอนซัดยาไป 1 เม็ดจากคำแนะนำของเภสัชกร พร้อมกับเอาผ้าชุบน้ำโปะหน้าผากไว้
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
วันที่สาม 4 ม.ค. 58
ตื่นนอนตั้งแต่ 7 โมง อาการไข้เมื่อคืนหายเป็นปลิดทิ้ง เรารีบเก็บข้าวของเตรียมออกเดินทาง 8 โมง กินข้าวเช้าเสร็จ คืนรถ แล้วนั่งสองแถวต่อไปยังสถานีช้างเผือกเพื่อจะขึ้นรถบัสไปดอยอ่างขาง ได้ขึ้นรถรอบ 9.20 น. ใช้เวลาบนรถกว่า 3 ชั่วโมงจึงถึงทางขึ้นดอยอ่างขาง (วัดหาดสำราญ)
ในรถบัสคันที่เรามานั้นมีอีก 2 กลุ่ม (กลุ่มแรก 4 คนเป็นน้องๆ นักศึกษาจากเกษตรศาสตร์และลาดกระบัง อีกกลุ่ม 2 คน เป็นคุณแม่กับลูกมาจากพัทลุง) ที่จะร่วมแชร์ค่าเหมารถขึ้นดอยกับเรา ถ้าจำไม่ผิดค่ารถแบบไม่เหมาน่าจะอยู่ที่ราวๆ 80 บาทต่อคน ต่อเที่ยว ส่วนใหญ่รถสองแถวมักจะชวนให้เราเหมารอบมากกว่า ทีแรกผมก็อิดออดเพราะดูเหมือนจะไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็ไปครับ และนี่เป็นประสบการณ์ที่ดีครั้งแรกของการเดินทางครั้งนี้เลย
** ราคาค่าเหมาไป-กลับ 1,400 บาท + ค่าทัวร์คนละ 100 บาท (คนขับสองแถวคิดเพิ่ม) +ค่าเข้าชมศูนย์เกษตรคนละ 50 บาท (เก็บจากทุกคนที่เข้า) + ค่าจอดรถ 50 บาท (หารกันกับเพื่อนร่วมทาง) คิดเบ็ดเสร็จจะอยู่ที่ประมาณ 330 บาท ซึ่งหารจากเพื่อนร่วมทางทั้งหมด 8 คน **
ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงรถจากหน้าวัดหาดสำราญก็ขึ้นถึงดอยอ่างขางครับ เราแวะกินข้าวเที่ยงกันก่อนเริ่มไปเที่ยวในสถานีเกษตรฯ ข้างในคนขับสองแถวก็จะพาเราวนไปรอบๆ สถานี มีจอดแวะให้ถ่ายรูปตามอัธยาศัย ซึ่งพอไปถึงจริงๆ แล้วก็พบว่ามีรถของทางสถานีเกษตรฯ เหมือนกันแฮะ 5555 ตอนจะออกจากสถานีฯ ก็แวะซื้อสตรอเบอรี่ครับ ของที่นี่ 90 บาท ทั้งสดทั้งถูก พอเสร็จเรียบร้อยเราก็ให้คุณลุงคนขับสองแถวพาไปหาที่กางเต็นท์ ซึ่งเราเล็งไว้ว่าจะไปนอนที่การไฟฟ้าเพราะมีคนรู้จักที่เคยมาแนะนำ น้องๆ นศ. เพื่อนร่วมทางที่มาด้วยก็ยังไม่ได้ของที่พักมา สุดท้ายก็ไปกางเต็นท์นอนใกล้ๆ กันนั่นแหละครับ
วิวหน้าเต๊นท์คืนนี้ครับ
17.00 น. เรากางเต็นท์เก็บของเสร็จสรรพก็ออกมาหาอะไรกินที่ตลาดอ่างขาง เริ่มด้วยของกินจุกจิก นู่นนิดนี่หน่อย (กินบ่อยๆ ก็อ้วน 5555) คือของกินที่นี่เยอะมากๆ ครับ เราเริ่มจาก “ชาปากี”, “ซามูซา”, “แอลมอนต์อบเนย” ฯลฯ สุดท้ายคือไม่ได้กินของหนักจำพวกข้าวแต่อย่างใด แค่ของกินเล่นจุกจิกนี่ก็อิ่มแล้ววว
พอกลับมาที่เต็นท์ผมกับแฟนก็ไปนั่งคุยกับน้องๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการท่องเที่ยวนี่แหละครับ ความรู้สึกมันเป็นกันเองมากเวลาคนที่ชอบอะไรคล้ายๆ กัน มานั่งคุยกัน 22.00 น. ก็แยกย้ายกันไปนอนครับ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
วันที่สี่ 5 ม.ค. 58
ตื่นตอนตั้งแต่ 05.30 น.มาล้างหน้าล้างตา มือนี่ทั้งสั่นทั้งชา พอหกโมงตรงคุณลุงสองแถวก็มาตามนัด รับพวกเราไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ขอบด้ง เรามาถึงที่ขอบด้งตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างดี ตื่นตาตื่นใจกับร้านรวงมากมายที่ตั้งเรียงรายครับ มีทั้งชาร้อน กาแฟร้อน โจ๊ก ข้าวต้ม เรียกได้ว่าครบ ! 07.02 น. พระอาทิตย์ดวงโตๆ ก็โผล่พ้นยอดเขาขึ้นมา ชักภาพนิดหน่อยก่อนไปต่อที่ไร่ชา ไร่สตรอเบอรี่ และจบที่บ้านนอแล สุดเขตแดนไทย-พม่า (ทั้งหมดนี้รวมอยู่ในทัวร์ 100 บาทที่ชี้แจงรายละเอียดไปแล้วครับ)
ข้อมูลติดต่อครับ
11.00 น. เราลงจากดอยอ่างขางครับ ก่อนลงจากดอยผมโทรไปที่ “อุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก” เพื่อคอนเฟิร์มเรื่องการจะไปขึ้นดอย แรกเริ่มเดิมทีกะว่าจะไปหาโบกรถหรือไม่ก็ขึ้นรถประจำทางเอาที่หน้าวัดหาดสำราญ แต่จากการเดินทางสองวันหนึ่งคืนกับคุณลุงสองแถว ต้องบอกว่าลุงอัธยาศัยดี น่ารัก และเป็นมิตร เราจึงใช้บริการของลุงณรงค์ให้แกช่วยไปส่งที่บ่อน้ำพุร้อน เพื่อรอขึ้นดอยผ้าห่มปกครับ (ค่ารถจากดอยอ่างขางไปดอยผ้าห่มปก 350 บาท ราคานี้ผ่านการต่อมาแล้วครับ ฮิๆ)
ลุงณรงค์
พอเราไปถึงก็เจอชายหนุ่มสองนักเดินทางนั่งรออยู่ก่อนแล้ว มาทราบภายหลังจากที่ได้คุยกันคือ พี่ๆ เค้าตระเวนเที่ยวแถบภาคเหนือแล้วถ่ายภาพมาเรื่อยๆ ดอยผ้าห่มปกเป็นที่สุดท้ายก่อนจะกลับเชียงใหม่ นั่งรอตั้งแต่เที่ยงตรงจนถึงบ่ายโมงครึ่งไม่มีวี่แววว่าจะมีกรุ๊ปใดมาสมทบเพิ่ม เรา 4 คนจึงขึ้นรถ 4x4 ที่เหมาคันอีกเช่นเคยครับ
** บ่อน้ำพุร้อน คือสถานที่ตั้งของที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก ซึ่งเป็นคนละที่กับทางขึ้นดอยผ้าห่ม ถ้าเราไม่มีรถส่วนตัวต้องไปติดต่อเจ้าหน้าที่ของที่ทำการอุทยานฯ ก่อนครับ**
*** ค่าเหมารถขึ้นดอยผ้าห่มปก ราคา 1,600 บาท หาร 4 เท่ากับคนละ 400 บาทครับ ***
ขึ้นถึงดอยผ้าห่มปกปุ๊ป ตกใจปั๊บ ! เพราะไม่มีนักท่องเที่ยวคนไหนอีกเลยนอกจากเราสี่คน นอกจากไม่มีนักท่องเที่ยวแล้วที่หนักกว่านั้นคือ ร้านค้าก็ปิด ! 5555 ความซวยบังเกิดก็คราวนี้ล่ะครับ คือก่อนขึ้นมาเจ้าหน้าที่ที่ทำการอุทยานฯลองโทรเช็คให้ ก็บอกว่าร้านค้าเปิดตามปกติเราเลยไม่ได้ซื้อเสบียงติดขึ้นมาเลยสักกะนิด สุดท้ายพี่เจ้าหน้าที่ที่ดอยผ้าห่มปกก็โทรประสานกับทางร้านค้าให้ แกก็ใจดีขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้นมาผัดข้าวให้พวกเรากินก่อนจะกลับลงไปด้านล่าง
เราเดินดูไปรอบๆ บริเวรณที่กางเต็นท์ ถ่ายพระอาทิตย์ก่อนตกดินมานิดหน่อย ถ่ายดาวตอนกลางคืนมาก็นิดหน่อย แล้วก็รีบนอนครับ พรุ่งนี้เช้าต้องตื่นตีสี่ !!
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เดี๋ยวมาต่อให้ครับ
[CR] 9 วัน 8 คืน [เชียงใหม่ x แม่ฮ่องสอน x เชียงใหม่] แบกเป้เที่ยวไปคนเดียวก็ได้ (แต่เหงา)
อย่างที่จั่วหัวกระทู้ไว้ครับว่า แบกเป้เที่ยวไปคนเดียวก็ได้ (แต่เหงา) มันน่าจะเหงาจริงๆ แหละ การเดินทางครั้งนี้ผมเลยชวนคู่หูคนรู้ใจไปด้วย (จริงๆ เป็นความอยากเที่ยวของทั้งคู่) การเดินทางครั้งนี้เลยไม่ได้เหงาอย่างที่คิด แล้วเดี๋ยวยังจะมีเรื่องเซอร์ไพร้ส์และประสบการณ์ของการเดินทางที่น่าจดจำอีกมากมายเลย
เริ่มเลยแล้วกันครับ การเดินทางครั้งนี้วางแผนไว้คร่าวๆ ว่าเราจะเที่ยวสวนกับอื่น คือกะจะให้เลยปีใหม่ก่อนแล้วค่อยเดินทาง ผลก็คือช่วยได้เยอะทีเดียวครับ หลายๆ ที่ที่ไปคนก็ไม่ได้เยอะไว้อย่างที่คิดจริงๆ ถือว่าค่อนข้างเข้าทีที่เลือกเดินทางแบบนี้ครับ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
วันแรก 2 ม.ค. 58
เราออกจากที่พักเพื่อไปขึ้นรถนครชัยแอร์ (ตรงกำแพงเพชร 2) ราวๆ 18.30 น. ไปนั่งกินข้าวแล้วจิบนมร้อนๆ รอจนกระทั่ง 22.00 น.ล้อก็หมุนไปเชียงใหม่ ระหว่างทางนั่งดู How to Train your Dragon 2 ไปด้วย ทั้งๆ ที่ยังไม่เคยดูภาค 1 เปิดมาก็งงเลยว่าอะไรคือเขี้ยวกุด 555555
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
วันที่สอง 3 ม.ค. 58
ราวๆ 7.00 น. เราถึงอาเขต จับรถสองแถวไปที่พักที่ “บ้านเสลา” นิมนามฯ ซอย 5 อีกชั่วโมงถัดมาเราก็ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จเรียบร้อย ออกไปเช่ามอเตอร์ไซค์ที่ร้าน Bikky กะไว้ว่าจะขี่ไปขึ้นดอยอินทนนท์ แล้วก็จะแว๊นไปต่อที่ม่อนแจ่ม คุยไปคุยมาเหมือนว่าจะไม่ทัน จึงเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ “งานพืชสวนโลก” แล้วค่อยโยกมา “ม่อนแจ่ม”
10.20 น. ผมหยุดรถที่ลานจอดรถ ถ้าไม่ขับเลยแยกทางเข้าแบบผมจะต้องถึงเร็วกว่านี้แน่นอน ฮิๆ พอถึงก็ไปนั่งกินข้าวเหนียวหมูทอดที่ซื้อมาจากหลังมช. พร้อมกับส้มตำไทรสเด็ดๆ อีกหนึ่งจานใหญ่ เกือบ 11 โมงก็ไปเดินซื้อบัตรเข้างานครับ ค่าเข้าผู้ใหญ่ราคา 50 บาท บวกกับค่ารถรางอีก 20 บาท เรานั่งรถรางวนไปรอบๆ เห็นจุดนู้นจุดนี้น่าสนใจก็แวะลงไปถ่ายรูปแล้วกลับขึ้นมาต่อ ถ่ายรูปได้นิดหน่อยก็จะไม่ไหวแล้วเพราะอากาศวันนั้นนี่ชวนให้ตัวละลายมากๆ ครับ
บ่ายโมง เราเสร็จภารกิจที่งานพืชสวนโลกเรียบร้อย จับมอเตอร์ฮอนด้าที่เช่ามาให้กระชับแล้วขับ (จริงๆ ต้องขี่ ให้ต้องเอาให้คล้องจอง แฮ่) ไปต่อที่ดอยม่อนแจ่ม ระยะทางประมาณ 38 กิโลเมตร ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่งเราก็ถึงดอยม่อนแจ่มครับ ที่ม่อนแจ่มนี่ขนาดเลยวันปีใหม่มาแล้ว คนยังทยอยขึ้นมาเรื่อยๆ ด้วยความที่ทั้งคนเยอะและแดดร้อนมว๊าก ผมจึงไปนั่งหลบร้อนจนราวๆ สี่โมงเย็นถึงได้ออกมาถ่ายรูป
17.00 น. โฉบไปดอยม่อนตะวัน แล้วขี่วกกลับเข้าตัวเมือง แวะซื้อสตรอเบอรี่ข้างทางราคา 300 บาท เพื่อจะมาเจอร้านใกล้ๆ ที่พักที่ราคากล่องละ 150 บาท 555555 กลับถึงที่พัก แล้วต้องพักจริงๆ ครับ เพราะผลจากการที่ขี่รถมอเตอร์ไซค์ตากแดดวันนี้ทั้งวัน ทำเอาเป็นไข้แดดไปเลยยย เรี่ยวแรงโดนสูบจนหมดตัว ก่อนนอนซัดยาไป 1 เม็ดจากคำแนะนำของเภสัชกร พร้อมกับเอาผ้าชุบน้ำโปะหน้าผากไว้
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
วันที่สาม 4 ม.ค. 58
ตื่นนอนตั้งแต่ 7 โมง อาการไข้เมื่อคืนหายเป็นปลิดทิ้ง เรารีบเก็บข้าวของเตรียมออกเดินทาง 8 โมง กินข้าวเช้าเสร็จ คืนรถ แล้วนั่งสองแถวต่อไปยังสถานีช้างเผือกเพื่อจะขึ้นรถบัสไปดอยอ่างขาง ได้ขึ้นรถรอบ 9.20 น. ใช้เวลาบนรถกว่า 3 ชั่วโมงจึงถึงทางขึ้นดอยอ่างขาง (วัดหาดสำราญ)
ในรถบัสคันที่เรามานั้นมีอีก 2 กลุ่ม (กลุ่มแรก 4 คนเป็นน้องๆ นักศึกษาจากเกษตรศาสตร์และลาดกระบัง อีกกลุ่ม 2 คน เป็นคุณแม่กับลูกมาจากพัทลุง) ที่จะร่วมแชร์ค่าเหมารถขึ้นดอยกับเรา ถ้าจำไม่ผิดค่ารถแบบไม่เหมาน่าจะอยู่ที่ราวๆ 80 บาทต่อคน ต่อเที่ยว ส่วนใหญ่รถสองแถวมักจะชวนให้เราเหมารอบมากกว่า ทีแรกผมก็อิดออดเพราะดูเหมือนจะไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็ไปครับ และนี่เป็นประสบการณ์ที่ดีครั้งแรกของการเดินทางครั้งนี้เลย
** ราคาค่าเหมาไป-กลับ 1,400 บาท + ค่าทัวร์คนละ 100 บาท (คนขับสองแถวคิดเพิ่ม) +ค่าเข้าชมศูนย์เกษตรคนละ 50 บาท (เก็บจากทุกคนที่เข้า) + ค่าจอดรถ 50 บาท (หารกันกับเพื่อนร่วมทาง) คิดเบ็ดเสร็จจะอยู่ที่ประมาณ 330 บาท ซึ่งหารจากเพื่อนร่วมทางทั้งหมด 8 คน **
ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงรถจากหน้าวัดหาดสำราญก็ขึ้นถึงดอยอ่างขางครับ เราแวะกินข้าวเที่ยงกันก่อนเริ่มไปเที่ยวในสถานีเกษตรฯ ข้างในคนขับสองแถวก็จะพาเราวนไปรอบๆ สถานี มีจอดแวะให้ถ่ายรูปตามอัธยาศัย ซึ่งพอไปถึงจริงๆ แล้วก็พบว่ามีรถของทางสถานีเกษตรฯ เหมือนกันแฮะ 5555 ตอนจะออกจากสถานีฯ ก็แวะซื้อสตรอเบอรี่ครับ ของที่นี่ 90 บาท ทั้งสดทั้งถูก พอเสร็จเรียบร้อยเราก็ให้คุณลุงคนขับสองแถวพาไปหาที่กางเต็นท์ ซึ่งเราเล็งไว้ว่าจะไปนอนที่การไฟฟ้าเพราะมีคนรู้จักที่เคยมาแนะนำ น้องๆ นศ. เพื่อนร่วมทางที่มาด้วยก็ยังไม่ได้ของที่พักมา สุดท้ายก็ไปกางเต็นท์นอนใกล้ๆ กันนั่นแหละครับ
วิวหน้าเต๊นท์คืนนี้ครับ
17.00 น. เรากางเต็นท์เก็บของเสร็จสรรพก็ออกมาหาอะไรกินที่ตลาดอ่างขาง เริ่มด้วยของกินจุกจิก นู่นนิดนี่หน่อย (กินบ่อยๆ ก็อ้วน 5555) คือของกินที่นี่เยอะมากๆ ครับ เราเริ่มจาก “ชาปากี”, “ซามูซา”, “แอลมอนต์อบเนย” ฯลฯ สุดท้ายคือไม่ได้กินของหนักจำพวกข้าวแต่อย่างใด แค่ของกินเล่นจุกจิกนี่ก็อิ่มแล้ววว
พอกลับมาที่เต็นท์ผมกับแฟนก็ไปนั่งคุยกับน้องๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการท่องเที่ยวนี่แหละครับ ความรู้สึกมันเป็นกันเองมากเวลาคนที่ชอบอะไรคล้ายๆ กัน มานั่งคุยกัน 22.00 น. ก็แยกย้ายกันไปนอนครับ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
วันที่สี่ 5 ม.ค. 58
ตื่นตอนตั้งแต่ 05.30 น.มาล้างหน้าล้างตา มือนี่ทั้งสั่นทั้งชา พอหกโมงตรงคุณลุงสองแถวก็มาตามนัด รับพวกเราไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ขอบด้ง เรามาถึงที่ขอบด้งตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างดี ตื่นตาตื่นใจกับร้านรวงมากมายที่ตั้งเรียงรายครับ มีทั้งชาร้อน กาแฟร้อน โจ๊ก ข้าวต้ม เรียกได้ว่าครบ ! 07.02 น. พระอาทิตย์ดวงโตๆ ก็โผล่พ้นยอดเขาขึ้นมา ชักภาพนิดหน่อยก่อนไปต่อที่ไร่ชา ไร่สตรอเบอรี่ และจบที่บ้านนอแล สุดเขตแดนไทย-พม่า (ทั้งหมดนี้รวมอยู่ในทัวร์ 100 บาทที่ชี้แจงรายละเอียดไปแล้วครับ)
ข้อมูลติดต่อครับ
11.00 น. เราลงจากดอยอ่างขางครับ ก่อนลงจากดอยผมโทรไปที่ “อุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก” เพื่อคอนเฟิร์มเรื่องการจะไปขึ้นดอย แรกเริ่มเดิมทีกะว่าจะไปหาโบกรถหรือไม่ก็ขึ้นรถประจำทางเอาที่หน้าวัดหาดสำราญ แต่จากการเดินทางสองวันหนึ่งคืนกับคุณลุงสองแถว ต้องบอกว่าลุงอัธยาศัยดี น่ารัก และเป็นมิตร เราจึงใช้บริการของลุงณรงค์ให้แกช่วยไปส่งที่บ่อน้ำพุร้อน เพื่อรอขึ้นดอยผ้าห่มปกครับ (ค่ารถจากดอยอ่างขางไปดอยผ้าห่มปก 350 บาท ราคานี้ผ่านการต่อมาแล้วครับ ฮิๆ)
ลุงณรงค์
พอเราไปถึงก็เจอชายหนุ่มสองนักเดินทางนั่งรออยู่ก่อนแล้ว มาทราบภายหลังจากที่ได้คุยกันคือ พี่ๆ เค้าตระเวนเที่ยวแถบภาคเหนือแล้วถ่ายภาพมาเรื่อยๆ ดอยผ้าห่มปกเป็นที่สุดท้ายก่อนจะกลับเชียงใหม่ นั่งรอตั้งแต่เที่ยงตรงจนถึงบ่ายโมงครึ่งไม่มีวี่แววว่าจะมีกรุ๊ปใดมาสมทบเพิ่ม เรา 4 คนจึงขึ้นรถ 4x4 ที่เหมาคันอีกเช่นเคยครับ
** บ่อน้ำพุร้อน คือสถานที่ตั้งของที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก ซึ่งเป็นคนละที่กับทางขึ้นดอยผ้าห่ม ถ้าเราไม่มีรถส่วนตัวต้องไปติดต่อเจ้าหน้าที่ของที่ทำการอุทยานฯ ก่อนครับ**
*** ค่าเหมารถขึ้นดอยผ้าห่มปก ราคา 1,600 บาท หาร 4 เท่ากับคนละ 400 บาทครับ ***
ขึ้นถึงดอยผ้าห่มปกปุ๊ป ตกใจปั๊บ ! เพราะไม่มีนักท่องเที่ยวคนไหนอีกเลยนอกจากเราสี่คน นอกจากไม่มีนักท่องเที่ยวแล้วที่หนักกว่านั้นคือ ร้านค้าก็ปิด ! 5555 ความซวยบังเกิดก็คราวนี้ล่ะครับ คือก่อนขึ้นมาเจ้าหน้าที่ที่ทำการอุทยานฯลองโทรเช็คให้ ก็บอกว่าร้านค้าเปิดตามปกติเราเลยไม่ได้ซื้อเสบียงติดขึ้นมาเลยสักกะนิด สุดท้ายพี่เจ้าหน้าที่ที่ดอยผ้าห่มปกก็โทรประสานกับทางร้านค้าให้ แกก็ใจดีขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้นมาผัดข้าวให้พวกเรากินก่อนจะกลับลงไปด้านล่าง
เราเดินดูไปรอบๆ บริเวรณที่กางเต็นท์ ถ่ายพระอาทิตย์ก่อนตกดินมานิดหน่อย ถ่ายดาวตอนกลางคืนมาก็นิดหน่อย แล้วก็รีบนอนครับ พรุ่งนี้เช้าต้องตื่นตีสี่ !!
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เดี๋ยวมาต่อให้ครับ