เรื่องของเรายาวค่ะ อาจจะฟังดูงอแงหน่อยนะคะ แต่เราไม่ไหวแล้วจริงๆ คิดแล้วก็อยากร้องไห้ตลอด
เริ่มเลยนะคะ
คุณพ่อเราเสียตั้งแต่เด็กๆแล้วค่ะ ที่บ้านก็เลยมีแต่แม่ พี่สาวเราที่ตอนนี้อายุ 27 แล้ว กับเราอายุ 20 ค่ะ แม่เรามีอาชีพส่วนตัวค่ะเป็นงานรับจ้าง งานฝีมือ รายได้ดีด้วยนะ
ตั้งแต่พ่อเสียไปก็เหลือแม่เราคนเดียวค่ะที่มีหน้าที่ส่งเรากับพี่เราเรียน เนื่องจากตอนอนุบาลฐานะทางบ้านเราดีค่ะ คุณพ่อเป็นข้าราชการ ส่งเรากับพี่เข้าเรียนโรงเรียนเอกชนค่าเทอมเป็นหมื่น สองคนก็สองหมื่น ไม่รวมค่าอุปกรณ์ ค่าหนังสือ ค่ากิจกรรม ค่าอะไรไม่รู้สารพัดที่โรงเรียนเอกชนจะมีมาขูดเลือดเนื้อผู้ปกครอง พอสิ้นบุญคุณพ่อ ภาระทั้งหมดมาโยนทิ้งกับคุณแม่คนเดียว แม่ก็ทำงานหามรุ่งหามค่ำส่งลูกเรียนสุดความสามารถ แม่ที่จบแค่ป.7 แต่พยายามตะกายมาส่งลูกสาวสองคนจบม.3 โรงเรียนเอกชนได้ แม่ที่เคยแต่งตัวสวยๆ เป็นคุณนาย มีสังคมพร้อม ต้องกลายเป็นป้าแก่ๆ ขลุกตัวทำงานอยู่แต่ในบ้าน มารู้ตัวตอนท้ายๆนี่แล้วซึ้งมากค่ะ ทำไมแม่โครตเก่ง Y_Y
โอเคค่ะ พอจบม.3 เราขอข้ามเรื่องส่วนพี่สาวไปนะคะ เพราะชีวิตนางมันเหมือนมิติลี้ลับยากจะเข้าใจ 5555555
มาที่เรื่องของเรา พอเราจบ.3 ปุ๊บ ถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อชีวิต ด้วยการที่เราเป็นคนรักสัตว์มากมาตั้งแต่เด็กๆ ความฝันคืออยากเป็นสัตวแพทย์ อยากช่วยเหลือเพื่อนร่วมโลก อยากทำงานองค์กรอนุรักษ์สัตว์ป่า ได้ช่วยเหลือสัตว์ป่า ทำงานวิจัยเพื่อต่อชีวิตสัตว์ใกล้สูญพันธ์ ฯลฯ ประมาณความฝันของเด็กๆอ่ะค่ะ ดูสารคดีเข้าไปช่วยลูกลิง วิจัยโรคระบาดในป่าดงดิบ ตั้งเต้นท์สังเกตพฤติกรรมสัตว์ป่า มันใช่มาก เวลาคิดเรื่องแบบนี้แล้วในใจเต้นแรงมากๆ รู้สึกเนื้อเต้นแบบมีความสุข อยากเรียน อยากรู้ อยากทำ อยากเป็นมากๆๆๆ เราคิดว่ามันดีมากเลยนะคะที่ชีวิตนึงเกิดมารู้ว่าอยากทำอะไร ต้องการอะไร
และมันคงไม่ดราม่าถ้าเราจะบอกว่าเราได้เรียนต่อสายวิทย์ เดินตามความฝัน จบอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง 5555 ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่ชีวิตเราแน่นอน
ความฝันของเราทั้งหมดถูกหักทิ้งไม่เหลือชิ้นดีกับการตัดสินใจของแม่ เพราะแม่อยากให้เราสบาย โตขึ้นมาหางานทำง่ายๆ ด้วยเหตุผลแค่ว่า เรียนสายวิทย์แบบนั้นมันเป็นคณะของพวกคนรวยเรียน แม่ไม่มีปัญญาส่งเราเรียนแบบนั้น บ้านเราจนเกินกว่าจะไปจ่ายค่าเรียนพิเศษแพงๆเพื่อสอบเข้า เพราะแม่คิดว่าถ้าไม่เรียนพิเศษก็ไม่มีทางสอบเข้า ไม่มีทางสอบแข่งขันใครได้ ดี๊ดี
เรานี่วีนบ้านแตกเลยค่ะ ทั้งที่เราเป็นเด็กเงียบๆ เรียบร้อย เชื่อฟังมาก อะไรก็ได้ง่ายๆมาตั้งแต่เด็กละ รู้สึกตอนนั้นนี่เป็นดราม่าที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่เกิดมาเลยค่ะ คือไม่เอา ไม่ ไม่ ไม่ ถ้าไม่ได้เรียนสายวิทย์ก็จะไม่เรียนแล้ว ถ้าแม่ไม่มีปัญญาส่งเราเรียนเราก็จะไปอยู่กับป้า จะไม่อยู่กับแม่แล้ว ถ้าไม่ได้เรียนสายวิทย์ก็ไม่เรียนแล้วจะออกไปทำงานหาเงิน บลาๆๆๆ แม่ร้องไห้ เราร้องไห้ ทะเลาะกันเป็นอาทิตย์ ข้าวปลาไม่กิน
เรื่องนี้วกกลับมาพูดทีไรก็จะดราม่าตลอด ถือเป็นเรื่องที่ไม่มีวันปรับความเข้าใจกันได้ค่ะ เรากับแม่เลยพยายามเลี่ยงจะคุยกันเรื่องนี้มากกว่า (อารมณ์แบบรับสภาพ 555)
โอเคค่ะ หมดปิดเทอมที่สุดแสนจะดราม่า สุดท้ายก็ตายรังค่ะเพราะเราดันเป็นลูกติดบ้าน ใครจะไปทนเห็นแม่เจ็บปวดลงล่ะ ตอนนั้นนี่เหมือนถูกกระชากหัวใจเป็นเสี่ยงๆไม่เหลือชิ้นดี ต้องมานั่งเรียนต่ออาชีวะ ในสาขาที่เราไม่เคยคิดไม่เคยฝันเลยว่าต้องมาจมอยู่กับมัน บัญชีค่ะ
ในตอนนั้นมันดราม่ามากเลยนะคะ คุณลองคิดดูว่าเรามาจากสังคมเด็กโรงเรียนเอกชนค่าเทอมเหยียบหมื่น การแข่งขันสูง เด็กแต่ละคนอยากเป็นหมอ อยากเรียนวิศวะ อยากเข้าทันตะ เกรดตอนอยู่มอต้นเราอยู่ช่วง 3-3.5 ไม่ได้ขี้เหร่อะไร วิทย์เราก็ได้ คณิตเราก็ได้ อังกฤษเราก็เก่ง แต่ต้องมาเรียนอาชีวะ?? เทียบกับเพื่อนตอนม.ต้นคนอื่น สอบม.4 เข้าที่ใหม่บ้างเรียนที่เดิมบ้าง ได้เรียนโรงเรียนระดับท็อปๆ เรียนสายวิทย์คณิต ได้ทำแลป ได้พรีเซ้นต์งานภาษาอังกฤษล้วน แล้วเราล่ะ?
ทั้งที่ตอนมอต้นเพื่อนทุกคนมีความฝันคล้ายๆกัน แต่ทำไมเราต้องมาทำอะไรอยู่อย่างนี้? ที่ๆไม่ใช่ที่ของเรา ความฝันก็ไม่ใช่ความฝันเรา เราไร้ความฝัน ไร้แรงบันดาลใจ อยู่เหมือนหายใจทิ้งไปวันๆมากค่ะ
เรื่องนี้ทำให้เราเฟลมากๆไปตลอดเวลาที่เรียนปวช.เลยค่ะ ตอนเรียนปวช.เราเลยไม่ตั้งใจเรียน เล่นเกม ติดเกม อ่านการ์ตูน วาดรูป แอนตี้โลกไปหลายปี ทั้งโดดทั้งหลับในห้อง การบ้านก็ไม่ทำ 555 แต่เกรดก็ยังเกิน 3.5 ตลอดเพราะจบเอกชนมา ไม่อยากจะยอมรับเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่มันคือเรื่องจริงที่การอาชีวะนี่ไม่ต้องอ่านหนังสือก็ยังทำข้อสอบได้อะค่ะ ภาษาอังกฤษนี่เหมือนภาษาอังกฤษเด็กประถมไปเลย แต่จะบอกว่าเพื่อนในชั้นแม้แต่ Wh-question ก็ไม่รู้จัก อ่าน Who เป็น วู (คงติดมาจาก what) ผัน verb to be ตาม subject ไม่ได้ ทำไม He ถึงใช้ is ? แล้วทำไม I ใช้กับ am เรื่องนี้เราช็อคมาก 555 ความคิดตอนนั้นก็เลยแอนตี้เด็กอาชีวะไปเลย (แหมตัวเองก็อาชีวะหรอก 555) ตอนนั้นเลยไม่คบเพื่อนคนไหนเลยค่ะ รู้สึกเหมือนสมองคนละชั้นมาก แหมคุณ ตอนเรียนเราก็หลับเพราะเล่นเกมดึก คนอื่นตั้งใจเรียนกว่าเราแต่สุดท้ายก็ต้องให้เรามานั่งสอนบัญชีให้ นั่งสอนคณิตให้ เอือมชีวิตช่วงนั้นมากกกกก
ระหว่างสามปีที่อยู่ในโลกอีกใบ ที่ทุกคนรอบข้างต่างแต่งหน้าทาปาก ส่องกระจกทั้งคาบมาเรียน มีสามีเป็นตัวเป็นตน (เพื่อนที่ให้เราสอนการบ้านให้สองคนลาออกไปเพราะท้อง)
ใครจะรู้ว่าสังคมที่ดรอปลงมากๆ มันกลับดันเราขึ้นสูงโดยที่เราไม่รู้ตัวเลยค่ะ วันนี้ วันที่เขียนกระทู้นี้ เรากล้าพูดเต็มปากเลยว่าถ้าเราไม่ได้เรียนอาชีวะ ถ้าเรายังเป็นเด็กโรงเรียนเอกชนเหมือนเดิม เราก็คงไม่กลายเป็นเราในวันนี้
(มีต่อค่ะ)
อีกกี่ครั้งถึงจะพอ ถูกทำลายความฝันซ้ำๆซากๆ อายุไม่เท่าไหร่แต่ท้อกับชีวิตมาก
เริ่มเลยนะคะ
คุณพ่อเราเสียตั้งแต่เด็กๆแล้วค่ะ ที่บ้านก็เลยมีแต่แม่ พี่สาวเราที่ตอนนี้อายุ 27 แล้ว กับเราอายุ 20 ค่ะ แม่เรามีอาชีพส่วนตัวค่ะเป็นงานรับจ้าง งานฝีมือ รายได้ดีด้วยนะ
ตั้งแต่พ่อเสียไปก็เหลือแม่เราคนเดียวค่ะที่มีหน้าที่ส่งเรากับพี่เราเรียน เนื่องจากตอนอนุบาลฐานะทางบ้านเราดีค่ะ คุณพ่อเป็นข้าราชการ ส่งเรากับพี่เข้าเรียนโรงเรียนเอกชนค่าเทอมเป็นหมื่น สองคนก็สองหมื่น ไม่รวมค่าอุปกรณ์ ค่าหนังสือ ค่ากิจกรรม ค่าอะไรไม่รู้สารพัดที่โรงเรียนเอกชนจะมีมาขูดเลือดเนื้อผู้ปกครอง พอสิ้นบุญคุณพ่อ ภาระทั้งหมดมาโยนทิ้งกับคุณแม่คนเดียว แม่ก็ทำงานหามรุ่งหามค่ำส่งลูกเรียนสุดความสามารถ แม่ที่จบแค่ป.7 แต่พยายามตะกายมาส่งลูกสาวสองคนจบม.3 โรงเรียนเอกชนได้ แม่ที่เคยแต่งตัวสวยๆ เป็นคุณนาย มีสังคมพร้อม ต้องกลายเป็นป้าแก่ๆ ขลุกตัวทำงานอยู่แต่ในบ้าน มารู้ตัวตอนท้ายๆนี่แล้วซึ้งมากค่ะ ทำไมแม่โครตเก่ง Y_Y
โอเคค่ะ พอจบม.3 เราขอข้ามเรื่องส่วนพี่สาวไปนะคะ เพราะชีวิตนางมันเหมือนมิติลี้ลับยากจะเข้าใจ 5555555
มาที่เรื่องของเรา พอเราจบ.3 ปุ๊บ ถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อชีวิต ด้วยการที่เราเป็นคนรักสัตว์มากมาตั้งแต่เด็กๆ ความฝันคืออยากเป็นสัตวแพทย์ อยากช่วยเหลือเพื่อนร่วมโลก อยากทำงานองค์กรอนุรักษ์สัตว์ป่า ได้ช่วยเหลือสัตว์ป่า ทำงานวิจัยเพื่อต่อชีวิตสัตว์ใกล้สูญพันธ์ ฯลฯ ประมาณความฝันของเด็กๆอ่ะค่ะ ดูสารคดีเข้าไปช่วยลูกลิง วิจัยโรคระบาดในป่าดงดิบ ตั้งเต้นท์สังเกตพฤติกรรมสัตว์ป่า มันใช่มาก เวลาคิดเรื่องแบบนี้แล้วในใจเต้นแรงมากๆ รู้สึกเนื้อเต้นแบบมีความสุข อยากเรียน อยากรู้ อยากทำ อยากเป็นมากๆๆๆ เราคิดว่ามันดีมากเลยนะคะที่ชีวิตนึงเกิดมารู้ว่าอยากทำอะไร ต้องการอะไร
และมันคงไม่ดราม่าถ้าเราจะบอกว่าเราได้เรียนต่อสายวิทย์ เดินตามความฝัน จบอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง 5555 ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่ชีวิตเราแน่นอน
ความฝันของเราทั้งหมดถูกหักทิ้งไม่เหลือชิ้นดีกับการตัดสินใจของแม่ เพราะแม่อยากให้เราสบาย โตขึ้นมาหางานทำง่ายๆ ด้วยเหตุผลแค่ว่า เรียนสายวิทย์แบบนั้นมันเป็นคณะของพวกคนรวยเรียน แม่ไม่มีปัญญาส่งเราเรียนแบบนั้น บ้านเราจนเกินกว่าจะไปจ่ายค่าเรียนพิเศษแพงๆเพื่อสอบเข้า เพราะแม่คิดว่าถ้าไม่เรียนพิเศษก็ไม่มีทางสอบเข้า ไม่มีทางสอบแข่งขันใครได้ ดี๊ดี
เรานี่วีนบ้านแตกเลยค่ะ ทั้งที่เราเป็นเด็กเงียบๆ เรียบร้อย เชื่อฟังมาก อะไรก็ได้ง่ายๆมาตั้งแต่เด็กละ รู้สึกตอนนั้นนี่เป็นดราม่าที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่เกิดมาเลยค่ะ คือไม่เอา ไม่ ไม่ ไม่ ถ้าไม่ได้เรียนสายวิทย์ก็จะไม่เรียนแล้ว ถ้าแม่ไม่มีปัญญาส่งเราเรียนเราก็จะไปอยู่กับป้า จะไม่อยู่กับแม่แล้ว ถ้าไม่ได้เรียนสายวิทย์ก็ไม่เรียนแล้วจะออกไปทำงานหาเงิน บลาๆๆๆ แม่ร้องไห้ เราร้องไห้ ทะเลาะกันเป็นอาทิตย์ ข้าวปลาไม่กิน
เรื่องนี้วกกลับมาพูดทีไรก็จะดราม่าตลอด ถือเป็นเรื่องที่ไม่มีวันปรับความเข้าใจกันได้ค่ะ เรากับแม่เลยพยายามเลี่ยงจะคุยกันเรื่องนี้มากกว่า (อารมณ์แบบรับสภาพ 555)
โอเคค่ะ หมดปิดเทอมที่สุดแสนจะดราม่า สุดท้ายก็ตายรังค่ะเพราะเราดันเป็นลูกติดบ้าน ใครจะไปทนเห็นแม่เจ็บปวดลงล่ะ ตอนนั้นนี่เหมือนถูกกระชากหัวใจเป็นเสี่ยงๆไม่เหลือชิ้นดี ต้องมานั่งเรียนต่ออาชีวะ ในสาขาที่เราไม่เคยคิดไม่เคยฝันเลยว่าต้องมาจมอยู่กับมัน บัญชีค่ะ
ในตอนนั้นมันดราม่ามากเลยนะคะ คุณลองคิดดูว่าเรามาจากสังคมเด็กโรงเรียนเอกชนค่าเทอมเหยียบหมื่น การแข่งขันสูง เด็กแต่ละคนอยากเป็นหมอ อยากเรียนวิศวะ อยากเข้าทันตะ เกรดตอนอยู่มอต้นเราอยู่ช่วง 3-3.5 ไม่ได้ขี้เหร่อะไร วิทย์เราก็ได้ คณิตเราก็ได้ อังกฤษเราก็เก่ง แต่ต้องมาเรียนอาชีวะ?? เทียบกับเพื่อนตอนม.ต้นคนอื่น สอบม.4 เข้าที่ใหม่บ้างเรียนที่เดิมบ้าง ได้เรียนโรงเรียนระดับท็อปๆ เรียนสายวิทย์คณิต ได้ทำแลป ได้พรีเซ้นต์งานภาษาอังกฤษล้วน แล้วเราล่ะ?
ทั้งที่ตอนมอต้นเพื่อนทุกคนมีความฝันคล้ายๆกัน แต่ทำไมเราต้องมาทำอะไรอยู่อย่างนี้? ที่ๆไม่ใช่ที่ของเรา ความฝันก็ไม่ใช่ความฝันเรา เราไร้ความฝัน ไร้แรงบันดาลใจ อยู่เหมือนหายใจทิ้งไปวันๆมากค่ะ
เรื่องนี้ทำให้เราเฟลมากๆไปตลอดเวลาที่เรียนปวช.เลยค่ะ ตอนเรียนปวช.เราเลยไม่ตั้งใจเรียน เล่นเกม ติดเกม อ่านการ์ตูน วาดรูป แอนตี้โลกไปหลายปี ทั้งโดดทั้งหลับในห้อง การบ้านก็ไม่ทำ 555 แต่เกรดก็ยังเกิน 3.5 ตลอดเพราะจบเอกชนมา ไม่อยากจะยอมรับเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่มันคือเรื่องจริงที่การอาชีวะนี่ไม่ต้องอ่านหนังสือก็ยังทำข้อสอบได้อะค่ะ ภาษาอังกฤษนี่เหมือนภาษาอังกฤษเด็กประถมไปเลย แต่จะบอกว่าเพื่อนในชั้นแม้แต่ Wh-question ก็ไม่รู้จัก อ่าน Who เป็น วู (คงติดมาจาก what) ผัน verb to be ตาม subject ไม่ได้ ทำไม He ถึงใช้ is ? แล้วทำไม I ใช้กับ am เรื่องนี้เราช็อคมาก 555 ความคิดตอนนั้นก็เลยแอนตี้เด็กอาชีวะไปเลย (แหมตัวเองก็อาชีวะหรอก 555) ตอนนั้นเลยไม่คบเพื่อนคนไหนเลยค่ะ รู้สึกเหมือนสมองคนละชั้นมาก แหมคุณ ตอนเรียนเราก็หลับเพราะเล่นเกมดึก คนอื่นตั้งใจเรียนกว่าเราแต่สุดท้ายก็ต้องให้เรามานั่งสอนบัญชีให้ นั่งสอนคณิตให้ เอือมชีวิตช่วงนั้นมากกกกก
ระหว่างสามปีที่อยู่ในโลกอีกใบ ที่ทุกคนรอบข้างต่างแต่งหน้าทาปาก ส่องกระจกทั้งคาบมาเรียน มีสามีเป็นตัวเป็นตน (เพื่อนที่ให้เราสอนการบ้านให้สองคนลาออกไปเพราะท้อง)
ใครจะรู้ว่าสังคมที่ดรอปลงมากๆ มันกลับดันเราขึ้นสูงโดยที่เราไม่รู้ตัวเลยค่ะ วันนี้ วันที่เขียนกระทู้นี้ เรากล้าพูดเต็มปากเลยว่าถ้าเราไม่ได้เรียนอาชีวะ ถ้าเรายังเป็นเด็กโรงเรียนเอกชนเหมือนเดิม เราก็คงไม่กลายเป็นเราในวันนี้
(มีต่อค่ะ)