ตอนนี้ก็เข้าปีที่ 7 ของการรับราชการ หันกลับไปมองย้อนหลังและมองสังคมปัจจุบัน และมองน้องๆที่เพิ่งเรียนจบมาและกำลังเคว้งคว้างกับอนาคต เลยอยากจะฝากเรื่องนี้ไว้ เผื่อว่าอาจจะมีข้อคิดและเป็นกำลังใจให้คนที่กำลังท้อ (อารัมพบทซะยืดยาว)
ดิฉันมี พี่ชาย และน้องชาย พี่ชายไม่ได้เรียนต่อ เพราะที่บ้านไม่มีเงิน และแล้วปี 2540 ดิฉันเรียนจบมัธยมศึกษาแห่งหนึ่งในตัวจังหวัดทางอีสาน ดิฉันขอโควต้าแล้วดิฉันก็ได้โควต้านั้น (อย่าคิดนะนะคะว่าดิฉันเรียนเก่ง) เปล่าเลย เกรดเฉลี่ย 1.98 แต่ไม่เคยติดศูนย์ ดิฉันกล้าขอโควต้าอาจารย์ก็กล้าให้ สุดท้ายดิฉันก็ได้โควต้า ปวส. ทางด้านเกษตรสมใจ แต่มันก็ไม่ได้ง่ายเพราะหลังจากที่รู้ว่าได้โควต้า พ่อแม่ต้องหาเงิน ปีนั้น แค่ เงิน 5,000 บาทยังหายากเลย แล้วเหมือนอุปสรรคจะเข้ามาทดสอบความเข้มแข็ง พ่อเอาบ้านไปขายฝากให้กับคนมีอำนาจคนหนึ่ง ได้เงินมา 100,000 บาท จำนวนเงินก็ไม่มาก เขาไล่พวกเราออกจากบ้านเพราะพ่อไม่ได้ส่งดอกเบี้ย สุดท้ายครอบครัวเราก็ต้องย้ายออกจากบ้าน ตอนนั้นเหมือนเป็นจุดต่ำสุดชองชีวิต พ่อแม่ถูกยึดบ้าน น้องชายถูกจับข้อหาค้ายาบ้า เพราะตอนนั้นน้องชายไปนอนที่บ้านที่เคยเป็นของพวกเราตอนเช้าตำรวจมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ ตรวจฉี่ไม่เจอสีม่วงแต่โดนข้อหาค้ายา สุดท้ายน้องชายก็โดนจับ
หลังจากนั้นแม่บอกว่า ยังไงต้องเรียนต่อนะ อย่าทิ้งการเรียน เชื่อมั๊ยคะแม่พาดิฉันขึ้นรถสองแถวไปหาญาติๆ เพื่อขอยืมเงิน แต่ไม่ได้สักบาท ไม่มีญาติพี่น้องคนไหนที่จะให้ เหลือทางออกสุดท้ายแม่พาดิฉันไปหาพี่ชายเขาทำงานที่สถานีวิทยุได้เงินเดือน 4,000 บาท แม่ก็ให้พี่ชายเบิกล่วงหน้าให้ดิฉันก่อน ดิฉันเดินทางไปมอบตัวกับพ่อตอนไปพ่อพาไปรถทัวร์ ดิฉันมอบตัวเสร็จก็ขอผ่อนผันค่าเทอม ส่วนหอพักดิฉันก็เลือกอยู่หอในปีละ 700 ซึ่งถูกมากแต่ตอนขากลับจากพิษณุโลกพ่อพาดิฉันนั่งรถไฟท้องถิ่นกลับ เพราะเงินเหลือไม่พอที่จะจ่ายค่ารถทัวร์ ต้องนั่งรถไฟ 2 ต่อ เหนื่อยแต่ไม่เคยท้อ หลังจากนั้นแม่ก็เข้ากรุงเทพฯ มาทำงานเลี้ยงคนแก่ แม่ก็เบิกเงินเดือนล่วงหน้าให้ดิฉันอีก 3,500 บาท เพื่อให้ไปเรียนช่วงเปิดเทอม ช่วงนั้นแม่กับพ่อก็แยกกันอยู่พี่ชายก็ทำงานน้องชายก็หมดอิสระภาพ พอมาเรียนดิฉันก็กู้ กยศ. เรียน ซึ่งดิฉันเคยกู้เรียนตั้งแต่ ม.4-ม.6 และก็เป็นผู้กู้รายเก่า ซึ่งทางสถาบันฯ ก็ให้ผ่อนผันค่าเทอมได้อีก ช่วงที่ดิฉันเรียนยังไม่มีโทรศัพท์จะติดต่อแม่ก็ลำบากมากต้องรอให้แม่โทรมาที่สถาบันฯแล้วอาจารย์ก็ประกาศชื่อให้ไปรับโทรศัพท์ เอาละนะชีวิตก็เดินต่อไป อาทิตย์ที่ 2 ที่เริ่มเรียน อาจารย์ให้ทุกคนไปเก็บผักบุ้งที่มันทอดยอดอยู่ตามขอบบ่อ ด้วยความที่ดิฉันชอบเรียนเกิดมาก็ไม่เคยได้ทำอะไรกับคนอื่นเขาสักทีแล้วดิฉันก็ไม่เคยได้ไปเดินตลาดเพราะแม่จะเป็นคนไปและทำกับข้าวให้กินตลอด ดิฉันไม่รู้หรอกว่าต้องเก็บผักบุ้งยังไงเพราะเวลาแม่ซื้อผักบุ้งมาให้กินมันก็เป็นผักบุ้งจีนที่มีต้นมีรากอยู่ข้างล่างที่ดิฉันรู้เกี่ยวกับผักบุ้งก็มีเท่านั้น และแล้วดิฉันก็สาวผักบุ้งเครือผักบุ้งยาวเท่าไหร่ดิฉันสาวมาหมดเพื่อให้เจอรากของผักบุ้ง ดิฉันไม่มองดูเพื่อนๆเลยว่าเขาเก็บผักบุ้งกันยังไง แล้วก็เอาผักบุ้งไปให้อาจารย์ดูพอเพื่อนๆเห็นเท่านั้นแหละหัวเราะกันทั้งห้อง เพราะเด็กเกษตรส่วนใหญ่จะลุยๆ แต่มีฉันคนเดียวที่เรียบร้อยเพราะที่ผ่านมาแม่ทำให้หมดทุกอย่าง วันนั้น อาจารย์บอกว่า เคยเห็นต้นข้าวไหม ต้นข้าวเกิดคนละที่ มันก็ย่อมแตกต่างกัน พวกเราทุกคนก็เหมือนกันมาจากคนละที่การเลี้ยงดูที่ต่างกัน เพื่อนเราบางคนในห้องก็ยังเก็บผักบุ้งไม่เป็น แต่เรามาเริ่มเรียนรู้ไปพร้อมๆ กันได้ และแล้วเรื่องที่ดิฉันเก็บผักบุ้งไม่เป็นก็รู้ทั้งคณะ จนอาจารย์ท่านหนึ่งบอกว่าให้ดิฉันย้ายไปเรียนบริหารหรือการจัดการซึ่งมันจะเหมาะกับบุคลิกมากกว่า วันนั้นดิฉันบอกอาจารย์ว่าดิฉันจะเรียนเกษตรและจะเรียนให้จบ พอเรียนได้เทอมที่ 2 ดิฉันก็ได้ทุนของมูลนิธิร่วมจิตต์น้อมเกล้า ทำให้ดิฉันมีแรงสู้ และหลังจากนั้นไม่นาน แม่ก็โทรมาบอกว่าพ่อได้ทำสัญญาเช่าห้องพักนะเจ้าของเขาหาคนดูแลเราต้องจ่ายเขาวันละ 300 บาท แต่ว่ามีห้องอยู่ 7 ห้องแม่แบ่งไว้อยู่เอง 1 ห้องที่เหลือให้เขาเช่าเป็นรายวัน ตอนนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินแล้วนะตั้งใจเรียน ซึ่งแม่ดิฉันจะส่งเงินให้ใช้ทุกเย็นวันศุกร์อาทิตย์ละ 700 บาท ซึ่งดิฉันก็ประหยัดใช้เท่าที่จำเป็นจนกระทั้งดิฉันเรียนจบ ปวส. และเรียนต่อปริญญาตรีที่สถาบันเดิมจนดิฉันเรียนจบในปี 2545
โชคเข้าข้างอีกแล้ว พอเรียนจบดิฉันได้งานทันที และดิฉันก็เริ่มต้นมีความรัก (ซึ่งถ้าย้อนเวลากลับไปแก้ไขได้ต่อให้มีผู้ชายมานอนดิ้นตายต่อหน้าดิฉันก็จะปล่อยทิ้งไว้แบบนั้น) ปีนั้นธุรกิจสัตว์น้ำเติบโตดีมาก แต่โตได้ไม่กี่เดือนเพราะทางอียู เขาตีกลับสินค้าเราเยอะมากจนกระทั่งบริษัทต้องปิดกิจการ ช่วงนั้นดิฉันก็รับปริญญาพอดี และเริ่มตกงาน ดิฉันตระเวนหางานส่งใบสมัครไปทุกที่ แต่สิ่งที่ดิฉันทำคือไม่เคยขอความช่วยเหลือจากแฟนไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินหรือเรื่องงาน จากนั้น ดิฉันก็ได้งานเป็นธุรการของบริษัทแห่งหนึ่งแถวพระราม 4 เงินเดือน 8,000 บาท ดิฉันไม่เคยขอเงินพอแม่ใช้เพราะตอนเรียนแม่ส่งให้ใช้อาทิตย์ละ 700 บาท และได้จาก กยศ. อีก เดือนละ 1,200 บาท ดิฉันเอาเงินส่วนนี้แหละฝากธนาคารไว้ใช้เฉพาะที่แม่ส่งมาให้เท่านั้น ดิฉันไปเช่าห้องเล็กๆในซอยงามดูพลี อยู่ในชุมชนที่คับแคบหรือที่คนส่วนใหญ่เรียกว่าสลัม อยู่ได้หนึ่งเดือนพอมีเงินบ้างดิฉันก็ย้ายออกมาอยู่ห้องที่เขาแบ่งเช่าเป็นตึกเล็กๆห้องเล็กๆ มีแค่เตียงวางได้อันเดียวเท่านั้นเป็นห้องน้ำรวม ดิฉันต้องรีบอาบน้ำก่อนคำทุกวันเพราะมันน่ากลัว แฟนดิฉันมาหาเขาบอกว่าเขาเสียใจที่ไม่เห็นดิฉันลำบาก ดิฉันบอกว่าไม่เป็นไรแค่นี้ทนไหว กลางดีกของคืนหนึ่งมีคนถีบประตูห้องดิฉันแต่ดิฉันล็อคกุญแจด้านในเลยไม่พังดิฉันสวดมนต์นึกถึงพระคุณพ่อแม่ให้ปกปักรักษา จนตี 4 ตำรวจมากันเต็มเพราะห้องข้างมีโจรขั้นมามาลักทรัพย์และทำร้ายเจ้าของห้อง ดิฉันตัดสินใจย้ายออกทันที แล้วไปเช่าอพาร์ตเม้นต์ เดือนละ 2,800 บาทอยู่แทน และแฟนดิฉันก็มาทุกเดือนแต่ดิฉันก็ไม่เคยขอตังค์เขาใช้เหมือนเดิมเพราะคิดว่าเขาคงลำบาก
จนปี 47 ดิฉันได้ทำงานที่ส่วนราชการแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ ทำได้ 2 ปี ดิฉันก็ต้องออกเพราะหมดงบประมาณที่จะจ้าง แต่ก็โชคดีที่ดิฉันได้งานที่ส่วนราชการอีกแห่งที่อยู่ที่ภาคกลาง และดิฉันกับแฟนก็คบกันเรื่อยมา (ที่ต้องบอกว่ามีแฟนเพราะมันจะเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตคะ) ซึ่งแฟนดิฉันก็มาทุกเดือนแต่มีบางสิ่งผิดปกติ แต่มั่นใจ ไม่คิดมาก ผ่านมาหลายปีเขาก็ยังมีเรานี่น่า คิดเองคนเดียว ซึ่งดิฉันเชื่อว่าไม่ได้มีแค่ดิฉันคนเดียวแน่ที่มองความรักเป็นสิ่งสวยงาม มองด้านเดียวใช้ความรู้สึกของตัวเองตัดสินใจคนเดียว (นี่คือข้อเสียของความรักที่ขาดสติ)
จนกระทั่ง ปี 2549 ดิฉันสมัครสอบรับราชการของกรมหนึ่งสังกัดกระทรวงเกษตร พอเดือนมีนาคมแฟนดิฉันบอกเลิกเพราะเขาให้เหตุผลว่า "ความรักไม่ใช่ทุกอย่างเรากัดก้อนเกลือกินไม่ได้" เขามีคนที่มีพร้อมทุกอย่างแล้ว และจะแต่งงาน เขาโทรมาบอกดิฉัน ดิฉันเลยบอกว่ามาคุยกัน เพราะตอนที่คุณจีบฉันคุณก็มาพบมาคุยถ้าจะเลิกก็มาบอกเลิก โชคดีที่เขาบอกเลิกหลังสอบเสร็จ ดิฉันตรอมใจเข้าออกโรงพยาบาลยังกะเข้าร้านสะดวกซื้อ หมอก็รักษาตามอาการ นอนโรงพยาบาลให้น้ำเกลือเพราะความเครียดลงกระเพาะ ลำไส้อักเสบเพราะไม่กินข้าว เอาแต่ร้องไห้กินยานอนหลับทุกวัน ดิฉันต้องพบหมอจิตแพทย์ ดิฉันออกจากโรงพยาบาล วันที่ 5 ตุลาคม 2549 ก็นั่งรถทัวร์กลับบ้านร้องไห้ตลอดทาง เสียใจน้อยใจที่เราป่วยขนาดนี้ผู้ชายคนนั้นยังไม่คิดจะถามข่าวคราว
ดิฉันถึงบ้าน เช้าของวันที่ 6 ตุลาคม 2549 พอจะเดินเข้าบ้านดิฉันปวดท้องมากเดินไม่ไหวพ่อรีบพาไปโรงพยาบาล ผลอัลตร้าซาวด์ "ดิฉันเป็นเนื้องอกในรังไข่ทั้งสองข้าง" ต้องผ่าตัดทันที อาการเศร้าอกหักจากความรักหายไปทันที แต่ความกลัวเข้ามาแทนที่ กลัวตาย กลัวเป็นมะเร็ง แม่ร้องไห้ พ่อตกใจ ทุกคนเครียดกันหมด พอเห็นพ่อแม่พี่น้องเสียใจเริ่มคิดได้ที่ผ่านมาทำไมเราต้องไปทุ่มเทเพื่อผู้ชายคนหนึ่งมากขนาดนั้น ตรวจ DNA ก็หาความสัมพันธ์ทางเครือญาติไม่เจอแล้วทำไมฉันต้องบ้าขนาดนั้น
ดิฉันเข้าห้องผ่าตัดตอน 6 โมงเย็น ทีแรกจะผ่าเช้าแต่ร่างกายไม่พร้อมเพราะดิฉันเพิ่งออกจากโรงพยาบาลแห่งหนึ่งแล้วมาเข้าอีกแห่งเดินทางไกลอีกต่างหาก หมอเลยให้น้ำเกลือกับยาระงับปวดก่อน พอตอนผ่าตัดเป็นอย่างที่หมอคาดการณ์ ดิฉันหายใจแผ่วลงเรื่อยๆ แล้วก็หยุดหายใจ หมอให้ออกซิเจน หมอช่วยชีวิตดิฉันขึ้นมาอีกครั้ง และเดินมาบอกแม่ แม่ก็ภาวนาให้ดิฉันรอดแล้วดิฉันก็รอด คุณหมอขอคุยกับดิฉัน หมอถามดิฉันว่าคนไข้ทานยาคุมหรือเปล่า คะที่ผ่านมาหนูทานยาคุมฉุกเฉินทุกครั้ง แล้วก็ทานมาเกือบ 4 ปี แล้วคุณหมอก็อธิบายอะไรหลายๆอย่างให้ฟัง ดิฉันเริ่มรู้สึกว่า สุดท้ายดิฉันก็เจ็บอีกเพราะความรักเกือบตายก็เพราะรัก แต่ผู้ชายคนนั้นมีความสุขกับรักใหม่
หลังจากกลับบ้านมาพักฟื้นดิฉันก็ เปลี่ยนตัวเองเลิกรักเลิกคิดถึง ตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือสอบ ภาค ก วุฒิ ป.ตรี ซึ่งตอนนั้นดิฉันใช้วุฒิ ปวส. สอบขึ้นบัญชีไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งรอเรียกบรรจุเท่านั้น ดิฉันใช้เวลา 3 เดือน หนังสือทุกหน้าดิฉันทำความเข้าใจโจทย์ เห็นโจทย์แล้วแก้ได้ พอวันสอบดิฉันเดินออกมาด้วยความมั่นใจว่าดิฉันต้องผ่าน ซึ่ง ดิฉันก็ผ่านภาค ก วุฒิ ป.ตรี
วันที่ 10 พฤศจิกายน 2549 หลังจากผ่าตัด 1 เดือน ดิฉันก็ได้งานเป็นธุรการฟาร์มของบริษัทยักษ์ใหญ่ในประเทศไทยรับเงินเดือน 20,000 บาท รวมเบี้ยกันดารและเงินพิเศษอื่นนะคะ ดิฉันก็ฝากประจำทุกเดือนๆละ 10,000 บาท ทำอยู่ที่นี่ 1 ปี 7 เดือน ดิฉัน มีเงินเก็บเกือบสองแสน รวมโบนัสกับ Insentive นะคะ
เดือนมิถุนายน 2551 ดิฉันได้รับหนังสือให้มารายงานตัวเข้ารับราชการ นั่นคือจุดเปลี่ยนอีกครั้ง ด้วยความที่ดิฉันเคยได้เงินเดือนสูง และมีเก็บทุกเดือน ดิฉันต้องไปรับเงินเดือน 7,100 บาท ซึ่งมันต่างกันมากมาย แต่พอมองย้อนกลับไปถึงตอนที่ครอบครัวของดิฉันมีปัญหาเดือนร้อนไม่มีใครช่วยมีแต่คนคอยซ้ำเติม ไม่มีญาติพี่น้อง ทำให้ดิฉันตัดสินใจไม่ยาก เลือกลาออกแล้วมารับราชการทันที ในระหว่างนั้นน้องชายดิฉันก็เรียนจบ ปวส.ช่างไฟฟ้า เรียบร้อย พอดิฉันมารับราชการเมื่อทุกอย่างเข้าที่ ถึงเวลาที่ต้องตอบแทนบุญคุณ ดิฉันกู้เงินสวัสดิการมา 250,000 บาท ส่วนหนึ่งให้แม่เก็บไว้เวลาที่เดือดร้อน อีกส่วนส่งพี่ชายเรียน ซึ่งดิฉันก็ให้พี่ชายเรียนเสาร์-อาทิตย์ ที่สารพัดช่าง วุฒิ ปวส. สาขาไฟฟ้า ค่าเทอมแพงมากเพราะ เรียนแบบ Block Course ซึ่งตอนนี้ พี่ชายดิฉันก็เรียนจบและทำงานในส่วนท้องถิ่นแห่งหนึ่ง ส่วนน้องชายดิฉันเขาก็ทำงานด้านไฟฟ้าได้เงินเดือน 30,000 กว่าบาท สอบรับราชการไม่ได้เพราะประวัติไม่ดี ดิฉันเองก็มีบ้านเป็นของตัวเอง มีเงินออมไว้บ้างเล็กน้อย และรู้สึกว่ามีแต่คนอยากจะมาเป็นญาติ ทั้งหมดนี้ เพราะแฟนเก่าดิฉันที่เขาบอกว่า "ความรักไม่ใช่ทุกอย่างเรากัดก้อนเกลือกินไม่ได้" ดิฉันเลยเพียรพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด แล้วก็ประสบผลสำเร็จ ทุกวันนี้ดิฉันให้เงินแม่ใช้ทุกเดือนๆละ 2,000 บาท ดิฉันบอกแม่ว่า "แม่รักหนูไง หนูเลยให้เงินแม่ถ้าแม่เลิกรักหนูเมื่อไหร่หนูก็เลิกให้เงินแม่เมื่อนั้นแหละ ห้ามเลิกรักหนูนะเดี๋ยวแม่ไม่มีตังค์ใช้"
ส่วนแฟนเก่าดิฉันเขาก็ติดต่อมาหลังจากหายไป 10 ปี ดิฉันก็บอกเขาไปว่าขอบคุณที่พี่ทำให้รู้ว่า ก้อนเกลือรสชาดเป็นยังไง เพราะเกลือไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนมันก็ยังเป็นเกลือมันมีคุณค่าในตัวของมัน ต่อให้เกลือโดนน้ำละลายไปหมดแต่พอแสงแดดส่องมาอีกครั้งเกลือมันก็ตกผลึกได้ใหม่ และบางทีเกลือก้อนนั้นอาจจะสะอาดและมีคุณค่ามากขึ้น ขอบคุณที่ทำให้เรียนรู้คะ ดิฉันบอกเขาแบบนั้น และเขาก็ได้แค่พูดคำว่า ขอโทษ
ตอนนี้ดิฉันมีความสุขกับการใช้ชีวิตและตอบแทนบุญคุณพ่อแม่คะ
กว่าจะมีวันนี้ วันที่ได้ชื่อว่า ข้าราชการ
ดิฉันมี พี่ชาย และน้องชาย พี่ชายไม่ได้เรียนต่อ เพราะที่บ้านไม่มีเงิน และแล้วปี 2540 ดิฉันเรียนจบมัธยมศึกษาแห่งหนึ่งในตัวจังหวัดทางอีสาน ดิฉันขอโควต้าแล้วดิฉันก็ได้โควต้านั้น (อย่าคิดนะนะคะว่าดิฉันเรียนเก่ง) เปล่าเลย เกรดเฉลี่ย 1.98 แต่ไม่เคยติดศูนย์ ดิฉันกล้าขอโควต้าอาจารย์ก็กล้าให้ สุดท้ายดิฉันก็ได้โควต้า ปวส. ทางด้านเกษตรสมใจ แต่มันก็ไม่ได้ง่ายเพราะหลังจากที่รู้ว่าได้โควต้า พ่อแม่ต้องหาเงิน ปีนั้น แค่ เงิน 5,000 บาทยังหายากเลย แล้วเหมือนอุปสรรคจะเข้ามาทดสอบความเข้มแข็ง พ่อเอาบ้านไปขายฝากให้กับคนมีอำนาจคนหนึ่ง ได้เงินมา 100,000 บาท จำนวนเงินก็ไม่มาก เขาไล่พวกเราออกจากบ้านเพราะพ่อไม่ได้ส่งดอกเบี้ย สุดท้ายครอบครัวเราก็ต้องย้ายออกจากบ้าน ตอนนั้นเหมือนเป็นจุดต่ำสุดชองชีวิต พ่อแม่ถูกยึดบ้าน น้องชายถูกจับข้อหาค้ายาบ้า เพราะตอนนั้นน้องชายไปนอนที่บ้านที่เคยเป็นของพวกเราตอนเช้าตำรวจมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ ตรวจฉี่ไม่เจอสีม่วงแต่โดนข้อหาค้ายา สุดท้ายน้องชายก็โดนจับ
หลังจากนั้นแม่บอกว่า ยังไงต้องเรียนต่อนะ อย่าทิ้งการเรียน เชื่อมั๊ยคะแม่พาดิฉันขึ้นรถสองแถวไปหาญาติๆ เพื่อขอยืมเงิน แต่ไม่ได้สักบาท ไม่มีญาติพี่น้องคนไหนที่จะให้ เหลือทางออกสุดท้ายแม่พาดิฉันไปหาพี่ชายเขาทำงานที่สถานีวิทยุได้เงินเดือน 4,000 บาท แม่ก็ให้พี่ชายเบิกล่วงหน้าให้ดิฉันก่อน ดิฉันเดินทางไปมอบตัวกับพ่อตอนไปพ่อพาไปรถทัวร์ ดิฉันมอบตัวเสร็จก็ขอผ่อนผันค่าเทอม ส่วนหอพักดิฉันก็เลือกอยู่หอในปีละ 700 ซึ่งถูกมากแต่ตอนขากลับจากพิษณุโลกพ่อพาดิฉันนั่งรถไฟท้องถิ่นกลับ เพราะเงินเหลือไม่พอที่จะจ่ายค่ารถทัวร์ ต้องนั่งรถไฟ 2 ต่อ เหนื่อยแต่ไม่เคยท้อ หลังจากนั้นแม่ก็เข้ากรุงเทพฯ มาทำงานเลี้ยงคนแก่ แม่ก็เบิกเงินเดือนล่วงหน้าให้ดิฉันอีก 3,500 บาท เพื่อให้ไปเรียนช่วงเปิดเทอม ช่วงนั้นแม่กับพ่อก็แยกกันอยู่พี่ชายก็ทำงานน้องชายก็หมดอิสระภาพ พอมาเรียนดิฉันก็กู้ กยศ. เรียน ซึ่งดิฉันเคยกู้เรียนตั้งแต่ ม.4-ม.6 และก็เป็นผู้กู้รายเก่า ซึ่งทางสถาบันฯ ก็ให้ผ่อนผันค่าเทอมได้อีก ช่วงที่ดิฉันเรียนยังไม่มีโทรศัพท์จะติดต่อแม่ก็ลำบากมากต้องรอให้แม่โทรมาที่สถาบันฯแล้วอาจารย์ก็ประกาศชื่อให้ไปรับโทรศัพท์ เอาละนะชีวิตก็เดินต่อไป อาทิตย์ที่ 2 ที่เริ่มเรียน อาจารย์ให้ทุกคนไปเก็บผักบุ้งที่มันทอดยอดอยู่ตามขอบบ่อ ด้วยความที่ดิฉันชอบเรียนเกิดมาก็ไม่เคยได้ทำอะไรกับคนอื่นเขาสักทีแล้วดิฉันก็ไม่เคยได้ไปเดินตลาดเพราะแม่จะเป็นคนไปและทำกับข้าวให้กินตลอด ดิฉันไม่รู้หรอกว่าต้องเก็บผักบุ้งยังไงเพราะเวลาแม่ซื้อผักบุ้งมาให้กินมันก็เป็นผักบุ้งจีนที่มีต้นมีรากอยู่ข้างล่างที่ดิฉันรู้เกี่ยวกับผักบุ้งก็มีเท่านั้น และแล้วดิฉันก็สาวผักบุ้งเครือผักบุ้งยาวเท่าไหร่ดิฉันสาวมาหมดเพื่อให้เจอรากของผักบุ้ง ดิฉันไม่มองดูเพื่อนๆเลยว่าเขาเก็บผักบุ้งกันยังไง แล้วก็เอาผักบุ้งไปให้อาจารย์ดูพอเพื่อนๆเห็นเท่านั้นแหละหัวเราะกันทั้งห้อง เพราะเด็กเกษตรส่วนใหญ่จะลุยๆ แต่มีฉันคนเดียวที่เรียบร้อยเพราะที่ผ่านมาแม่ทำให้หมดทุกอย่าง วันนั้น อาจารย์บอกว่า เคยเห็นต้นข้าวไหม ต้นข้าวเกิดคนละที่ มันก็ย่อมแตกต่างกัน พวกเราทุกคนก็เหมือนกันมาจากคนละที่การเลี้ยงดูที่ต่างกัน เพื่อนเราบางคนในห้องก็ยังเก็บผักบุ้งไม่เป็น แต่เรามาเริ่มเรียนรู้ไปพร้อมๆ กันได้ และแล้วเรื่องที่ดิฉันเก็บผักบุ้งไม่เป็นก็รู้ทั้งคณะ จนอาจารย์ท่านหนึ่งบอกว่าให้ดิฉันย้ายไปเรียนบริหารหรือการจัดการซึ่งมันจะเหมาะกับบุคลิกมากกว่า วันนั้นดิฉันบอกอาจารย์ว่าดิฉันจะเรียนเกษตรและจะเรียนให้จบ พอเรียนได้เทอมที่ 2 ดิฉันก็ได้ทุนของมูลนิธิร่วมจิตต์น้อมเกล้า ทำให้ดิฉันมีแรงสู้ และหลังจากนั้นไม่นาน แม่ก็โทรมาบอกว่าพ่อได้ทำสัญญาเช่าห้องพักนะเจ้าของเขาหาคนดูแลเราต้องจ่ายเขาวันละ 300 บาท แต่ว่ามีห้องอยู่ 7 ห้องแม่แบ่งไว้อยู่เอง 1 ห้องที่เหลือให้เขาเช่าเป็นรายวัน ตอนนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินแล้วนะตั้งใจเรียน ซึ่งแม่ดิฉันจะส่งเงินให้ใช้ทุกเย็นวันศุกร์อาทิตย์ละ 700 บาท ซึ่งดิฉันก็ประหยัดใช้เท่าที่จำเป็นจนกระทั้งดิฉันเรียนจบ ปวส. และเรียนต่อปริญญาตรีที่สถาบันเดิมจนดิฉันเรียนจบในปี 2545
โชคเข้าข้างอีกแล้ว พอเรียนจบดิฉันได้งานทันที และดิฉันก็เริ่มต้นมีความรัก (ซึ่งถ้าย้อนเวลากลับไปแก้ไขได้ต่อให้มีผู้ชายมานอนดิ้นตายต่อหน้าดิฉันก็จะปล่อยทิ้งไว้แบบนั้น) ปีนั้นธุรกิจสัตว์น้ำเติบโตดีมาก แต่โตได้ไม่กี่เดือนเพราะทางอียู เขาตีกลับสินค้าเราเยอะมากจนกระทั่งบริษัทต้องปิดกิจการ ช่วงนั้นดิฉันก็รับปริญญาพอดี และเริ่มตกงาน ดิฉันตระเวนหางานส่งใบสมัครไปทุกที่ แต่สิ่งที่ดิฉันทำคือไม่เคยขอความช่วยเหลือจากแฟนไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินหรือเรื่องงาน จากนั้น ดิฉันก็ได้งานเป็นธุรการของบริษัทแห่งหนึ่งแถวพระราม 4 เงินเดือน 8,000 บาท ดิฉันไม่เคยขอเงินพอแม่ใช้เพราะตอนเรียนแม่ส่งให้ใช้อาทิตย์ละ 700 บาท และได้จาก กยศ. อีก เดือนละ 1,200 บาท ดิฉันเอาเงินส่วนนี้แหละฝากธนาคารไว้ใช้เฉพาะที่แม่ส่งมาให้เท่านั้น ดิฉันไปเช่าห้องเล็กๆในซอยงามดูพลี อยู่ในชุมชนที่คับแคบหรือที่คนส่วนใหญ่เรียกว่าสลัม อยู่ได้หนึ่งเดือนพอมีเงินบ้างดิฉันก็ย้ายออกมาอยู่ห้องที่เขาแบ่งเช่าเป็นตึกเล็กๆห้องเล็กๆ มีแค่เตียงวางได้อันเดียวเท่านั้นเป็นห้องน้ำรวม ดิฉันต้องรีบอาบน้ำก่อนคำทุกวันเพราะมันน่ากลัว แฟนดิฉันมาหาเขาบอกว่าเขาเสียใจที่ไม่เห็นดิฉันลำบาก ดิฉันบอกว่าไม่เป็นไรแค่นี้ทนไหว กลางดีกของคืนหนึ่งมีคนถีบประตูห้องดิฉันแต่ดิฉันล็อคกุญแจด้านในเลยไม่พังดิฉันสวดมนต์นึกถึงพระคุณพ่อแม่ให้ปกปักรักษา จนตี 4 ตำรวจมากันเต็มเพราะห้องข้างมีโจรขั้นมามาลักทรัพย์และทำร้ายเจ้าของห้อง ดิฉันตัดสินใจย้ายออกทันที แล้วไปเช่าอพาร์ตเม้นต์ เดือนละ 2,800 บาทอยู่แทน และแฟนดิฉันก็มาทุกเดือนแต่ดิฉันก็ไม่เคยขอตังค์เขาใช้เหมือนเดิมเพราะคิดว่าเขาคงลำบาก
จนปี 47 ดิฉันได้ทำงานที่ส่วนราชการแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ ทำได้ 2 ปี ดิฉันก็ต้องออกเพราะหมดงบประมาณที่จะจ้าง แต่ก็โชคดีที่ดิฉันได้งานที่ส่วนราชการอีกแห่งที่อยู่ที่ภาคกลาง และดิฉันกับแฟนก็คบกันเรื่อยมา (ที่ต้องบอกว่ามีแฟนเพราะมันจะเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตคะ) ซึ่งแฟนดิฉันก็มาทุกเดือนแต่มีบางสิ่งผิดปกติ แต่มั่นใจ ไม่คิดมาก ผ่านมาหลายปีเขาก็ยังมีเรานี่น่า คิดเองคนเดียว ซึ่งดิฉันเชื่อว่าไม่ได้มีแค่ดิฉันคนเดียวแน่ที่มองความรักเป็นสิ่งสวยงาม มองด้านเดียวใช้ความรู้สึกของตัวเองตัดสินใจคนเดียว (นี่คือข้อเสียของความรักที่ขาดสติ)
จนกระทั่ง ปี 2549 ดิฉันสมัครสอบรับราชการของกรมหนึ่งสังกัดกระทรวงเกษตร พอเดือนมีนาคมแฟนดิฉันบอกเลิกเพราะเขาให้เหตุผลว่า "ความรักไม่ใช่ทุกอย่างเรากัดก้อนเกลือกินไม่ได้" เขามีคนที่มีพร้อมทุกอย่างแล้ว และจะแต่งงาน เขาโทรมาบอกดิฉัน ดิฉันเลยบอกว่ามาคุยกัน เพราะตอนที่คุณจีบฉันคุณก็มาพบมาคุยถ้าจะเลิกก็มาบอกเลิก โชคดีที่เขาบอกเลิกหลังสอบเสร็จ ดิฉันตรอมใจเข้าออกโรงพยาบาลยังกะเข้าร้านสะดวกซื้อ หมอก็รักษาตามอาการ นอนโรงพยาบาลให้น้ำเกลือเพราะความเครียดลงกระเพาะ ลำไส้อักเสบเพราะไม่กินข้าว เอาแต่ร้องไห้กินยานอนหลับทุกวัน ดิฉันต้องพบหมอจิตแพทย์ ดิฉันออกจากโรงพยาบาล วันที่ 5 ตุลาคม 2549 ก็นั่งรถทัวร์กลับบ้านร้องไห้ตลอดทาง เสียใจน้อยใจที่เราป่วยขนาดนี้ผู้ชายคนนั้นยังไม่คิดจะถามข่าวคราว
ดิฉันถึงบ้าน เช้าของวันที่ 6 ตุลาคม 2549 พอจะเดินเข้าบ้านดิฉันปวดท้องมากเดินไม่ไหวพ่อรีบพาไปโรงพยาบาล ผลอัลตร้าซาวด์ "ดิฉันเป็นเนื้องอกในรังไข่ทั้งสองข้าง" ต้องผ่าตัดทันที อาการเศร้าอกหักจากความรักหายไปทันที แต่ความกลัวเข้ามาแทนที่ กลัวตาย กลัวเป็นมะเร็ง แม่ร้องไห้ พ่อตกใจ ทุกคนเครียดกันหมด พอเห็นพ่อแม่พี่น้องเสียใจเริ่มคิดได้ที่ผ่านมาทำไมเราต้องไปทุ่มเทเพื่อผู้ชายคนหนึ่งมากขนาดนั้น ตรวจ DNA ก็หาความสัมพันธ์ทางเครือญาติไม่เจอแล้วทำไมฉันต้องบ้าขนาดนั้น
ดิฉันเข้าห้องผ่าตัดตอน 6 โมงเย็น ทีแรกจะผ่าเช้าแต่ร่างกายไม่พร้อมเพราะดิฉันเพิ่งออกจากโรงพยาบาลแห่งหนึ่งแล้วมาเข้าอีกแห่งเดินทางไกลอีกต่างหาก หมอเลยให้น้ำเกลือกับยาระงับปวดก่อน พอตอนผ่าตัดเป็นอย่างที่หมอคาดการณ์ ดิฉันหายใจแผ่วลงเรื่อยๆ แล้วก็หยุดหายใจ หมอให้ออกซิเจน หมอช่วยชีวิตดิฉันขึ้นมาอีกครั้ง และเดินมาบอกแม่ แม่ก็ภาวนาให้ดิฉันรอดแล้วดิฉันก็รอด คุณหมอขอคุยกับดิฉัน หมอถามดิฉันว่าคนไข้ทานยาคุมหรือเปล่า คะที่ผ่านมาหนูทานยาคุมฉุกเฉินทุกครั้ง แล้วก็ทานมาเกือบ 4 ปี แล้วคุณหมอก็อธิบายอะไรหลายๆอย่างให้ฟัง ดิฉันเริ่มรู้สึกว่า สุดท้ายดิฉันก็เจ็บอีกเพราะความรักเกือบตายก็เพราะรัก แต่ผู้ชายคนนั้นมีความสุขกับรักใหม่
หลังจากกลับบ้านมาพักฟื้นดิฉันก็ เปลี่ยนตัวเองเลิกรักเลิกคิดถึง ตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือสอบ ภาค ก วุฒิ ป.ตรี ซึ่งตอนนั้นดิฉันใช้วุฒิ ปวส. สอบขึ้นบัญชีไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งรอเรียกบรรจุเท่านั้น ดิฉันใช้เวลา 3 เดือน หนังสือทุกหน้าดิฉันทำความเข้าใจโจทย์ เห็นโจทย์แล้วแก้ได้ พอวันสอบดิฉันเดินออกมาด้วยความมั่นใจว่าดิฉันต้องผ่าน ซึ่ง ดิฉันก็ผ่านภาค ก วุฒิ ป.ตรี
วันที่ 10 พฤศจิกายน 2549 หลังจากผ่าตัด 1 เดือน ดิฉันก็ได้งานเป็นธุรการฟาร์มของบริษัทยักษ์ใหญ่ในประเทศไทยรับเงินเดือน 20,000 บาท รวมเบี้ยกันดารและเงินพิเศษอื่นนะคะ ดิฉันก็ฝากประจำทุกเดือนๆละ 10,000 บาท ทำอยู่ที่นี่ 1 ปี 7 เดือน ดิฉัน มีเงินเก็บเกือบสองแสน รวมโบนัสกับ Insentive นะคะ
เดือนมิถุนายน 2551 ดิฉันได้รับหนังสือให้มารายงานตัวเข้ารับราชการ นั่นคือจุดเปลี่ยนอีกครั้ง ด้วยความที่ดิฉันเคยได้เงินเดือนสูง และมีเก็บทุกเดือน ดิฉันต้องไปรับเงินเดือน 7,100 บาท ซึ่งมันต่างกันมากมาย แต่พอมองย้อนกลับไปถึงตอนที่ครอบครัวของดิฉันมีปัญหาเดือนร้อนไม่มีใครช่วยมีแต่คนคอยซ้ำเติม ไม่มีญาติพี่น้อง ทำให้ดิฉันตัดสินใจไม่ยาก เลือกลาออกแล้วมารับราชการทันที ในระหว่างนั้นน้องชายดิฉันก็เรียนจบ ปวส.ช่างไฟฟ้า เรียบร้อย พอดิฉันมารับราชการเมื่อทุกอย่างเข้าที่ ถึงเวลาที่ต้องตอบแทนบุญคุณ ดิฉันกู้เงินสวัสดิการมา 250,000 บาท ส่วนหนึ่งให้แม่เก็บไว้เวลาที่เดือดร้อน อีกส่วนส่งพี่ชายเรียน ซึ่งดิฉันก็ให้พี่ชายเรียนเสาร์-อาทิตย์ ที่สารพัดช่าง วุฒิ ปวส. สาขาไฟฟ้า ค่าเทอมแพงมากเพราะ เรียนแบบ Block Course ซึ่งตอนนี้ พี่ชายดิฉันก็เรียนจบและทำงานในส่วนท้องถิ่นแห่งหนึ่ง ส่วนน้องชายดิฉันเขาก็ทำงานด้านไฟฟ้าได้เงินเดือน 30,000 กว่าบาท สอบรับราชการไม่ได้เพราะประวัติไม่ดี ดิฉันเองก็มีบ้านเป็นของตัวเอง มีเงินออมไว้บ้างเล็กน้อย และรู้สึกว่ามีแต่คนอยากจะมาเป็นญาติ ทั้งหมดนี้ เพราะแฟนเก่าดิฉันที่เขาบอกว่า "ความรักไม่ใช่ทุกอย่างเรากัดก้อนเกลือกินไม่ได้" ดิฉันเลยเพียรพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด แล้วก็ประสบผลสำเร็จ ทุกวันนี้ดิฉันให้เงินแม่ใช้ทุกเดือนๆละ 2,000 บาท ดิฉันบอกแม่ว่า "แม่รักหนูไง หนูเลยให้เงินแม่ถ้าแม่เลิกรักหนูเมื่อไหร่หนูก็เลิกให้เงินแม่เมื่อนั้นแหละ ห้ามเลิกรักหนูนะเดี๋ยวแม่ไม่มีตังค์ใช้"
ส่วนแฟนเก่าดิฉันเขาก็ติดต่อมาหลังจากหายไป 10 ปี ดิฉันก็บอกเขาไปว่าขอบคุณที่พี่ทำให้รู้ว่า ก้อนเกลือรสชาดเป็นยังไง เพราะเกลือไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนมันก็ยังเป็นเกลือมันมีคุณค่าในตัวของมัน ต่อให้เกลือโดนน้ำละลายไปหมดแต่พอแสงแดดส่องมาอีกครั้งเกลือมันก็ตกผลึกได้ใหม่ และบางทีเกลือก้อนนั้นอาจจะสะอาดและมีคุณค่ามากขึ้น ขอบคุณที่ทำให้เรียนรู้คะ ดิฉันบอกเขาแบบนั้น และเขาก็ได้แค่พูดคำว่า ขอโทษ
ตอนนี้ดิฉันมีความสุขกับการใช้ชีวิตและตอบแทนบุญคุณพ่อแม่คะ