http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1430979419
ครึ่งปีงบประมาณ 2558 ผ่านไป ฐานะการคลังดูไม่ค่อยสวยหรูนัก โดยระดับเงินคงคลังลดลงมาเหลือแค่ 1 แสนล้านบาทต้น ๆ จากที่รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 969,950 ล้านบาท ขณะที่การเบิกจ่ายงบประมาณทำได้ 1,461,719 ล้านบาท ทำให้ดุลเงินงบประมาณขาดดุล จำนวน 491,769 ล้านบาท เมื่อรวมกับดุลเงินนอกงบประมาณที่เกินดุล 1,757 ล้านบาท ส่งผลให้รัฐบาลขาดดุลเงินสดรวม 490,012 ล้านบาท
ทั้งนี้ รัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุล 115,362 ล้านบาท ทำให้ดุลเงินสดหลังกู้ขาดดุล 374,650 ล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลัง ณ สิ้นเดือน มี.ค. 2558 อยู่ที่ 121,097 ล้านบาท
และคาดว่าเงินคงคลังปลายงวด (สิ้นเดือน ก.ย. 58) จะอยู่ที่ 357,000 ล้านบาท ต่ำสุดในรอบ 6 ปี
6 เดือนรายได้ "สรรพากร-ศุลฯ" วืด
สำหรับครึ่งปีงบประมาณที่เหลือก็ส่อแววชัดเจนมากขึ้นว่า การจัดเก็บรายได้รัฐบาลคงไม่เป็นไปตามประมาณการ โดยเฉพาะรายได้จาก 3 กรมภาษี ที่ 6 เดือนแรก (ต.ค. 2557-มี.ค. 2558) จัดเก็บรายได้ต่ำ ถึงแม้ว่าภาพรวมจัดเก็บรายได้สุทธิ 973,952 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการแค่ 948 ล้านบาท หรือ 0.1% และสูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 3.5% ก็ตาม
ทว่า หากดูไส้ในจะเห็นได้ว่า กรมสรรพากรจัดเก็บภาษีได้ต่ำกว่าเป้าถึง 41,004 ล้านบาท หรือ 5.5% และกรมศุลกากรก็จัดเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้าหมาย 2,513 ล้านบาท หรือ 4.1%
ส่วนที่มีหน่วยงานอื่นนำส่งรายได้สูงกว่าประมาณการถึง 14,870 ล้านบาท หรือ 18.7% และสูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 36.1% นั่นเพราะมี "รายได้พิเศษ" เข้ามา จากที่กระทรวงการคลังสั่งให้กองทุนหมุนเวียนต่าง ๆ นำส่งเงินสภาพคล่องส่วนเกินกลับมาเป็นรายได้แผ่นดิน เพื่อช่วยชดเชยกับการจัดเก็บรายได้ที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย โดยในเดือน มี.ค.มีการนำส่งสภาพคล่องส่วนเกินของกองทุนหมุนเวียนต่าง ๆ เข้ามาจำนวน 10,427 ล้านบาท
ด้านการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพสามิตที่สูงกว่าประมาณการ 11,091 ล้านบาท หรือ 5.2% ส่วนใหญ่มาจากภาษีน้ำมันที่เก็บได้สูงกว่าเป้าหมาย 19,727 ล้านบาท หรือ 59.9% สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 67.9% เนื่องจากการปรับขึ้นอัตราภาษีน้ำมันดีเซลและราคาขายปลีกน้ำมันที่ลดลง ส่งผลให้ปริมาณการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น
ขันนอตสรรพากร-รีดรัฐวิสาหกิจเพิ่ม
"รังสรรค์ศรีวรศาสตร์" ปลัดกระทรวงการคลัง ได้ยอมรับว่า การเก็บรายได้ปีนี้ จะออกมาต่ำกว่าเป้าหมายเป็นหลักแสนล้านบาท แต่คงไม่ถึง 2 แสนล้านบาท เพราะจะมีการให้รัฐวิสาหกิจนำส่งรายได้มากขึ้นด้วย โดยคาดว่ารัฐวิสาหกิจจะมีการนำส่งรายได้เพิ่มให้อีกประมาณ 5-6 หมื่นล้านบาท
ขณะที่แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า รายได้รัฐปีนี้ จากเดิมประมาณการรายได้สุทธิไว้ในเอกสารงบประมาณทั้งสิ้น 2,325,000 ล้านบาท จะออกมาต่ำกว่าเป้าหมายมากหรือน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับการเก็บรายได้ของกรมสรรพากรเป็นหลัก เพราะมีสัดส่วนในรายได้รัฐปีงบประมาณ 2558 ถึง 65.6% ขณะที่กรมสรรพสามิตมีสัดส่วนเพียง 18.1% กรมศุลกากร 4.8% ส่วนราชการอื่น 6.3% และรัฐพาณิชย์ 5.2%
โดยหลังแถลงผลงาน 6 เดือน (วันที่ 22 เม.ย.) อีก 2 วันถัดมา "สมหมาย ภาษี" รมว.คลัง พร้อมด้วย "วิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ" รมช.คลัง และปลัดกระทรวงการคลัง ก็ยกขบวนไปตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายกรมสรรพากร โดย รมว.คลัง กำชับให้ "ประสงค์ พูนธเนศ" อธิบดีกรมสรรพากร เพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้
ปีงบประมาณ 2558 โดยเฉพาะการ "อุดรูรั่ว" ต่าง ๆ เพื่อให้มีรายได้ภาษีจากจุดนี้เพิ่มขึ้นให้ได้อีก 10%
อย่างไรก็ตาม "ประสงค์ พูนธเนศ" อธิบดีกรมสรรพากร เชื่อว่า การเก็บรายได้หลังจากนี้มีแนวโน้มดีขึ้น แม้จะยอมรับว่า ภาษีนิติบุคคลที่จะยื่นในเดือน พ.ค. อาจจะไม่ค่อยดีนัก เพราะเป็นภาพสะท้อนผลประกอบการของเอกชนช่วงครึ่งหลังปี 2557 ซึ่งเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แต่ช่วงเดือน ส.ค.-ก.ย. ที่เป็นผลประกอบการของปี 2558 น่าจะดีขึ้น และคาดว่าทั้งปีนี้ รายได้สรรพากรน่าจะเก็บได้ตามเป้าที่ปรับลดลงมาอยู่ที่ 1.79 ล้านล้านบาทแล้ว จากเป้าเดิม 1.96 ล้านล้านบาท
ส่วนการอุดรูรั่วให้ได้ภาษีเพิ่มขึ้น 10% นั้น อธิบดีกรมสรรพากรบอกว่า จะนำระบบไอทีเข้ามาช่วยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลในการสอบยันภาษี ขณะเดียวกันก็จะเข้มงวดเอาผิดผู้ใช้ใบกำกับภาษีปลอมอย่างเต็มที่ รวมถึงขออัตรากำลังเพิ่มอีก 2.3 หมื่นคน โดยจะทยอยเพิ่มปีละ 2,000 คน
กระเป๋าเงินรัฐบาลลดต่ำสุดในรอบ 6 ปี
นอกจากนี้ แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง ระบุว่า ณ สิ้นเดือน ก.ย.นี้ เงินคงคลังปลายงวดจะอยู่ที่ประมาณ 357,000 ล้านบาทเท่านั้น ประเมินจากการจัดเก็บรายได้ที่ต่ำกว่าเป้าหมายกว่า 1 แสนล้านบาท อีกทั้งมีการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามเป้าหมาย ทำให้มีการใช้จ่ายงบประมาณมากขึ้น เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
จากข้อมูลพบว่า เงินคงคลัง หรือเงินในกระเป๋ารัฐบาลเวลานี้ลดลง ทั้งจากที่การจัดเก็บรายได้ต่ำเป้า ประกอบกับที่รัฐบาลต้องเร่งใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้เงินในกระเป๋ารัฐบาลลดลงต่ำสุดในรอบ 6 ปี หลังจากที่เงินคงคลังเคยตกต่ำเมื่อปีงบประมาณ 2552 อยู่ที่ 293,853 ล้านบาท จากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ และปี 2553 ก็ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 429,322 ล้านบาท และก็ปรับขึ้นมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปีนี้
ข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับปลัดกระทรวงการคลัง ที่กล่าวว่าปีนี้เงินคงคลังปลายงวด ณ สิ้นปีงบประมาณ 2558 จะเหลืออยู่ที่ราว 3-4 แสนล้านบาท จากปีก่อน ๆ ที่สูงถึง 5-6 แสนล้านบาท แต่เงินคงคลังระดับนี้ก็ถือว่า ฐานะการคลังยังแข็งแกร่ง เนื่องจากเคยมีการศึกษาไว้ว่า ระดับเงินคงคลังที่เหมาะสมควรจะรองรับการเบิกจ่ายได้ 15 วัน หรือตกประมาณ 1 แสนล้านบาท
อย่างไรก็ดี ระดับเงินคงคลังที่ลดลง ก็ทำให้แนวคิดที่จะนำเงินคงคลังไปลงทุนหาดอกผลเพิ่มเติมจากที่ฝากไว้กับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยไม่มีผลตอบแทนนั้น ก็ต้องชะลอออกไป
ด้านสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ยืนยันว่า จะดำเนินการกู้เงินเพื่อชดเชยขาดดุลงบประมาณตามแผน คือ เต็มเพดานที่ 250,000 ล้านบาท เนื่องจากยังไม่เห็นสัญญาณว่าการเก็บรายได้รัฐบาลจะสูงกว่าประมาณการได้
จำเป็นต้อง "ขาดดุล" เพื่อกระตุ้น ศก.
ขณะที่ "กฤษฎา จีนะวิจารณะ" ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ระบุว่า สถานการณ์ด้านการคลังในครึ่งปีงบประมาณหลัง ถือว่า "ยังไม่น่าห่วง" เนื่องจากผ่านมาครึ่งปีการจัดเก็บรายได้ภาพรวมต่ำกว่าเป้าหมายไปแค่กว่า 900 ล้านบาท และตั้งแต่ต้นปีงบประมาณมา มีเงินคงคลังต้นงวดกว่า 4 แสนล้านบาท
"มันไม่ได้ต่างไปจากที่เราประมาณการไว้มากนัก โดยในส่วนรายได้สรรพากร ก็ต้องรอดูตัวเลขการยื่นภาษีนิติบุคคลในเดือน พ.ค.นี้ และเรายังโชคดีที่มีรายได้ตัวอื่นมาช่วย อย่างเช่น รายได้สรรพสามิต และรายได้รัฐวิสาหกิจที่ยังมาช่วยได้ รวมถึงการนำส่งของทุนหมุนเวียนก็มาช่วยได้ในภาวะเช่นนี้" นายกฤษฎากล่าวและว่า
แม้ระดับเงินคงคลัง อาจลดลงไปบ้าง แต่ก็ยังมีความ "จำเป็น" ที่จะต้องขาดดุลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
และหวังว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจจะได้ผล เพื่อช่วยให้การจัดเก็บรายได้ภาษีจะไม่ต่ำกว่าเป้าหมายเกินไปนัก !
---------------------------------------------------------------------------------
งบเงินเดือนข้าราชการ ปีงบหน้าพอจ่ายมะ * * อย่าลืม วินัยการคลังนะครัส
หนึ่งในสาเหตุที่รัฐต้องรีบรีดภาษี ต่างๆ
ครึ่งปีงบประมาณ 2558 ผ่านไป ฐานะการคลังดูไม่ค่อยสวยหรูนัก โดยระดับเงินคงคลังลดลงมาเหลือแค่ 1 แสนล้านบาทต้น ๆ จากที่รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 969,950 ล้านบาท ขณะที่การเบิกจ่ายงบประมาณทำได้ 1,461,719 ล้านบาท ทำให้ดุลเงินงบประมาณขาดดุล จำนวน 491,769 ล้านบาท เมื่อรวมกับดุลเงินนอกงบประมาณที่เกินดุล 1,757 ล้านบาท ส่งผลให้รัฐบาลขาดดุลเงินสดรวม 490,012 ล้านบาท
ทั้งนี้ รัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุล 115,362 ล้านบาท ทำให้ดุลเงินสดหลังกู้ขาดดุล 374,650 ล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลัง ณ สิ้นเดือน มี.ค. 2558 อยู่ที่ 121,097 ล้านบาท
และคาดว่าเงินคงคลังปลายงวด (สิ้นเดือน ก.ย. 58) จะอยู่ที่ 357,000 ล้านบาท ต่ำสุดในรอบ 6 ปี
6 เดือนรายได้ "สรรพากร-ศุลฯ" วืด
สำหรับครึ่งปีงบประมาณที่เหลือก็ส่อแววชัดเจนมากขึ้นว่า การจัดเก็บรายได้รัฐบาลคงไม่เป็นไปตามประมาณการ โดยเฉพาะรายได้จาก 3 กรมภาษี ที่ 6 เดือนแรก (ต.ค. 2557-มี.ค. 2558) จัดเก็บรายได้ต่ำ ถึงแม้ว่าภาพรวมจัดเก็บรายได้สุทธิ 973,952 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการแค่ 948 ล้านบาท หรือ 0.1% และสูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 3.5% ก็ตาม
ทว่า หากดูไส้ในจะเห็นได้ว่า กรมสรรพากรจัดเก็บภาษีได้ต่ำกว่าเป้าถึง 41,004 ล้านบาท หรือ 5.5% และกรมศุลกากรก็จัดเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้าหมาย 2,513 ล้านบาท หรือ 4.1%
ส่วนที่มีหน่วยงานอื่นนำส่งรายได้สูงกว่าประมาณการถึง 14,870 ล้านบาท หรือ 18.7% และสูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 36.1% นั่นเพราะมี "รายได้พิเศษ" เข้ามา จากที่กระทรวงการคลังสั่งให้กองทุนหมุนเวียนต่าง ๆ นำส่งเงินสภาพคล่องส่วนเกินกลับมาเป็นรายได้แผ่นดิน เพื่อช่วยชดเชยกับการจัดเก็บรายได้ที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย โดยในเดือน มี.ค.มีการนำส่งสภาพคล่องส่วนเกินของกองทุนหมุนเวียนต่าง ๆ เข้ามาจำนวน 10,427 ล้านบาท
ด้านการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพสามิตที่สูงกว่าประมาณการ 11,091 ล้านบาท หรือ 5.2% ส่วนใหญ่มาจากภาษีน้ำมันที่เก็บได้สูงกว่าเป้าหมาย 19,727 ล้านบาท หรือ 59.9% สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 67.9% เนื่องจากการปรับขึ้นอัตราภาษีน้ำมันดีเซลและราคาขายปลีกน้ำมันที่ลดลง ส่งผลให้ปริมาณการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น
ขันนอตสรรพากร-รีดรัฐวิสาหกิจเพิ่ม
"รังสรรค์ศรีวรศาสตร์" ปลัดกระทรวงการคลัง ได้ยอมรับว่า การเก็บรายได้ปีนี้ จะออกมาต่ำกว่าเป้าหมายเป็นหลักแสนล้านบาท แต่คงไม่ถึง 2 แสนล้านบาท เพราะจะมีการให้รัฐวิสาหกิจนำส่งรายได้มากขึ้นด้วย โดยคาดว่ารัฐวิสาหกิจจะมีการนำส่งรายได้เพิ่มให้อีกประมาณ 5-6 หมื่นล้านบาท
ขณะที่แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า รายได้รัฐปีนี้ จากเดิมประมาณการรายได้สุทธิไว้ในเอกสารงบประมาณทั้งสิ้น 2,325,000 ล้านบาท จะออกมาต่ำกว่าเป้าหมายมากหรือน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับการเก็บรายได้ของกรมสรรพากรเป็นหลัก เพราะมีสัดส่วนในรายได้รัฐปีงบประมาณ 2558 ถึง 65.6% ขณะที่กรมสรรพสามิตมีสัดส่วนเพียง 18.1% กรมศุลกากร 4.8% ส่วนราชการอื่น 6.3% และรัฐพาณิชย์ 5.2%
โดยหลังแถลงผลงาน 6 เดือน (วันที่ 22 เม.ย.) อีก 2 วันถัดมา "สมหมาย ภาษี" รมว.คลัง พร้อมด้วย "วิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ" รมช.คลัง และปลัดกระทรวงการคลัง ก็ยกขบวนไปตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายกรมสรรพากร โดย รมว.คลัง กำชับให้ "ประสงค์ พูนธเนศ" อธิบดีกรมสรรพากร เพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้
ปีงบประมาณ 2558 โดยเฉพาะการ "อุดรูรั่ว" ต่าง ๆ เพื่อให้มีรายได้ภาษีจากจุดนี้เพิ่มขึ้นให้ได้อีก 10%
อย่างไรก็ตาม "ประสงค์ พูนธเนศ" อธิบดีกรมสรรพากร เชื่อว่า การเก็บรายได้หลังจากนี้มีแนวโน้มดีขึ้น แม้จะยอมรับว่า ภาษีนิติบุคคลที่จะยื่นในเดือน พ.ค. อาจจะไม่ค่อยดีนัก เพราะเป็นภาพสะท้อนผลประกอบการของเอกชนช่วงครึ่งหลังปี 2557 ซึ่งเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แต่ช่วงเดือน ส.ค.-ก.ย. ที่เป็นผลประกอบการของปี 2558 น่าจะดีขึ้น และคาดว่าทั้งปีนี้ รายได้สรรพากรน่าจะเก็บได้ตามเป้าที่ปรับลดลงมาอยู่ที่ 1.79 ล้านล้านบาทแล้ว จากเป้าเดิม 1.96 ล้านล้านบาท
ส่วนการอุดรูรั่วให้ได้ภาษีเพิ่มขึ้น 10% นั้น อธิบดีกรมสรรพากรบอกว่า จะนำระบบไอทีเข้ามาช่วยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลในการสอบยันภาษี ขณะเดียวกันก็จะเข้มงวดเอาผิดผู้ใช้ใบกำกับภาษีปลอมอย่างเต็มที่ รวมถึงขออัตรากำลังเพิ่มอีก 2.3 หมื่นคน โดยจะทยอยเพิ่มปีละ 2,000 คน
กระเป๋าเงินรัฐบาลลดต่ำสุดในรอบ 6 ปี
นอกจากนี้ แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง ระบุว่า ณ สิ้นเดือน ก.ย.นี้ เงินคงคลังปลายงวดจะอยู่ที่ประมาณ 357,000 ล้านบาทเท่านั้น ประเมินจากการจัดเก็บรายได้ที่ต่ำกว่าเป้าหมายกว่า 1 แสนล้านบาท อีกทั้งมีการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามเป้าหมาย ทำให้มีการใช้จ่ายงบประมาณมากขึ้น เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
จากข้อมูลพบว่า เงินคงคลัง หรือเงินในกระเป๋ารัฐบาลเวลานี้ลดลง ทั้งจากที่การจัดเก็บรายได้ต่ำเป้า ประกอบกับที่รัฐบาลต้องเร่งใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้เงินในกระเป๋ารัฐบาลลดลงต่ำสุดในรอบ 6 ปี หลังจากที่เงินคงคลังเคยตกต่ำเมื่อปีงบประมาณ 2552 อยู่ที่ 293,853 ล้านบาท จากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ และปี 2553 ก็ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 429,322 ล้านบาท และก็ปรับขึ้นมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปีนี้
ข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับปลัดกระทรวงการคลัง ที่กล่าวว่าปีนี้เงินคงคลังปลายงวด ณ สิ้นปีงบประมาณ 2558 จะเหลืออยู่ที่ราว 3-4 แสนล้านบาท จากปีก่อน ๆ ที่สูงถึง 5-6 แสนล้านบาท แต่เงินคงคลังระดับนี้ก็ถือว่า ฐานะการคลังยังแข็งแกร่ง เนื่องจากเคยมีการศึกษาไว้ว่า ระดับเงินคงคลังที่เหมาะสมควรจะรองรับการเบิกจ่ายได้ 15 วัน หรือตกประมาณ 1 แสนล้านบาท
อย่างไรก็ดี ระดับเงินคงคลังที่ลดลง ก็ทำให้แนวคิดที่จะนำเงินคงคลังไปลงทุนหาดอกผลเพิ่มเติมจากที่ฝากไว้กับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยไม่มีผลตอบแทนนั้น ก็ต้องชะลอออกไป
ด้านสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ยืนยันว่า จะดำเนินการกู้เงินเพื่อชดเชยขาดดุลงบประมาณตามแผน คือ เต็มเพดานที่ 250,000 ล้านบาท เนื่องจากยังไม่เห็นสัญญาณว่าการเก็บรายได้รัฐบาลจะสูงกว่าประมาณการได้
จำเป็นต้อง "ขาดดุล" เพื่อกระตุ้น ศก.
ขณะที่ "กฤษฎา จีนะวิจารณะ" ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ระบุว่า สถานการณ์ด้านการคลังในครึ่งปีงบประมาณหลัง ถือว่า "ยังไม่น่าห่วง" เนื่องจากผ่านมาครึ่งปีการจัดเก็บรายได้ภาพรวมต่ำกว่าเป้าหมายไปแค่กว่า 900 ล้านบาท และตั้งแต่ต้นปีงบประมาณมา มีเงินคงคลังต้นงวดกว่า 4 แสนล้านบาท
"มันไม่ได้ต่างไปจากที่เราประมาณการไว้มากนัก โดยในส่วนรายได้สรรพากร ก็ต้องรอดูตัวเลขการยื่นภาษีนิติบุคคลในเดือน พ.ค.นี้ และเรายังโชคดีที่มีรายได้ตัวอื่นมาช่วย อย่างเช่น รายได้สรรพสามิต และรายได้รัฐวิสาหกิจที่ยังมาช่วยได้ รวมถึงการนำส่งของทุนหมุนเวียนก็มาช่วยได้ในภาวะเช่นนี้" นายกฤษฎากล่าวและว่า
แม้ระดับเงินคงคลัง อาจลดลงไปบ้าง แต่ก็ยังมีความ "จำเป็น" ที่จะต้องขาดดุลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
และหวังว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจจะได้ผล เพื่อช่วยให้การจัดเก็บรายได้ภาษีจะไม่ต่ำกว่าเป้าหมายเกินไปนัก !
---------------------------------------------------------------------------------
งบเงินเดือนข้าราชการ ปีงบหน้าพอจ่ายมะ * * อย่าลืม วินัยการคลังนะครัส