รีวิวยาว คีตราชนิพนธ์ บทเพลงในดวงใจราษฎร์ คอนเซปดี 4 เรื่องมีดีมีแย่



รีวิวยาว คีตราชนิพนธ์ บทเพลงในดวงใจราษฎร์
คอนเซปดี 4 เรื่องมีดีมีแย่

ขอบอกก่อนเลยว่า ชื่อผู้กำกับ 4 คน กับเสกลงานระดับนี้ และเพิ่งทราบว่าแม่งานใหญ่ของงานนี้คือ GTH อีกตะหาก พูดเลยความคาดหวังพุ่งทะยานสูงลิ่วว่า หนังมันจะต้องทำออกมาได้ปลื้มปริ่มน้ำตาซึมเลยล่ะ  แต่พอเข้าไปดูจริงๆแล้วก็พบว่าในสี่เรื่องมันก็ไม่ได้เพอเฟคและก็มีบางเรื่องที่ยังไม่สมบูรณ์แบบและออกจะเชย แต่ก็มีบางเรื่อง จิกกัดสังคม ตอกหน้าได้อย่างเจ็บแสบ สรุปคือทั้งสี่เรื่องมีครบหมดตั้งแต่ เชยแหลก , ไม่เวิร์ค , ดี ไปจนถึง ดีมาก! แต่เมื่อนำสี่เรื่องมารวมกัน ก็พบว่ามันยังลงตัวอยู่พอสมควร

โดยส่วนตัวของผม ถ้าใครมีโอกาสก็รีบเปิดเวบจองเถอะ เพราะมันเป็นหนังฟรีที่คุณภาพดีกว่าหนังไทยที่ออกมาฉายเก็บตังคนดูหลายสิบหลายร้อยเรื่องในบ้านเราเลยล่ะ

ขอแยกรีวิวเป็นเรื่องๆดังนี้นะครับ

1.The Singer เชยสะบัด คุณภาพหนังไทยรอบบ่าย 6/10

กำกับการแสดงโดย นนทรีย์ นิมิบุตร

ขอบอกว่าเห็นตัวอย่างใน youtube แล้วผมอยากดูหนังเรื่องนี้ที่สุด แต่พอเข้าไปดูผมกลับเห็นหนังไทยเชยๆเรื่องนึงที่มีการเดินเรื่อง การเล่าเรื่อง รวมไปถึงไดอะล็อกที่สุดแสนจะล้าสมัย ไม่ต่างอะไรจากหนังไทยบ่ายวันเสาร์ที่ลงจอช่อง3 เลย คือการเล่าเรื่อง พูดย้ำๆในเรื่องที่มันตลก ยายเงินเป็นคนเสียงดี เลี้ยงหลานที่เป็นโรคไตเรื้อรัวง ยายเงินชอบแอบร้องเพลงให้หลานฟัง แต่ไม่ยอมร้องให้คนอื่นฟัง เพราะสมัยสาวๆยายเงินแกร้องเพลงออกรายการทีวีแล้วเป็นลมเลยฝังใจร้องเพลงต่อหน้าคนเยอะๆไม่ได้ ยายเป้าคือคนแก่ที่ย้ายมาอยู่ในวัด จริงๆยายเป้าแกมีตัง เคยเป็นนักร้อง แต่เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ร้องเพลงไม่ได้แล้ว เลยแอบหนีลูกหลานมาอาศัยวัดอยู่ ย่ายเป้าก็คะยั้นคะยอให้ยายเงินไปประกวดร้องเพลงชิงเงิน 500,000 จะได้เอาตังมารักษาหลาน

คือที่ไม่ชอบก็คือการเดินเรื่องเชยมาก ไดอะล็อกยัดใส่ปากนักแสดงเจื้อยแจ้วแบบนกแก้วนกขุนทอง ปมชีวิตของยายเงินที่ไม่กล้าร้องเพลงต่อหน้าคนเยอะๆไม่ทัชชิ่งให้คนรู้สึกถึงชะตาชีวิต บทเพลงพระราชนิพนธ์ได้เลย สิ่งที่ทัชชิ่งคนดูให้ตระหนักและเข้าใจถึงคำว่าชะแตชีวิตก็คือ วัฏสงสารของ ยายเป้า ยายเงิน และหลานยายเงินที่มีครบ เกิด แก่ เจ็บ ตาย

The Singer เกือบไม่รอด ถ้าไม่ได้พลังของนักแสดงรุ่นเก๋าอย่าง นีรนุช ปัทมสูตร และ วาสนา ชลากร มาช่วยพยุงหนังเอาไว้ โดยส่วนตัวผมผิดหวังกับผลงานของคุณอุ๋ย นนทรีย์ เรื่องนี้พอสมควร ที่น่าจะดีกว่านี้อีกหน่อย แต่ยังไงก็ยังโอเคกว่า Timeline จดหมายความทรงจำเมื่อปีก่อน
------------------------------------------------

2.อมยิ้ม หนังโฆษณาความยาว 40 นาที 5/10
กำกับการแสดงโดย วัลลภ ประสพผล

ผมไม่รู้จักคุณวัลลภ ประสพผล เลย เพราะผมไม่คุ้นชินกับงานโฆษณาทีวีเท่าไหร่ เพราะผมไม่ค่อยดูทีวีเท่าไหร่ ก็เลยต้องไป search ผลงานของเค้าใน google ก็พบว่าเค้าน่าจะเป็นมือทำโฆษณาระดับต้นๆ แต่สำหรับการนำเสนอในรูปแบบภาพยนตร์แล้ว ผมคิดว่าเค้าเอาภาษาของนักโฆษณามาใส่ในหนังมากเกินไป นั่นคือการพยายามนำเสนอสาระใส่ลงไปในหนังสั้นอย่างเต็มที่แต่ไร้ชั้นเชิงจนดูแทบจะกลายเป็นการยัดเยียดและชวนเชื่อ

ไม่กี่เดือนก่อน ใครคุ้นๆวลีคำคมใน facebook ประมาณว่า "เราจะบีบแตรใส่คนที่ยืนยึกยักข้างถนนแยกที่ผ่านมามั้ย ..ถ้ารู้ว่าเขาใส่ขาเทียม"  อะไรทำนองนั้น หนังเรื่องนี้ก็นำเสนอมาในทำนองนั้นแหละ แถมโยกสวลีคำคมกลุ่มนี้ทั้งกะบิมาใส่ในหนังตอนจบอีกอย่างยืดยาว

การนำเสนอดูดีๆ นึกว่าโฆษณาไทยประกันชีวิต เรื่องราวของ น้องก้อง เด็กหนุ่มที่ไม่เคยยิ้ม ไม่เคยหัวเราะ ไม่เคยแสดงสีหน้าอะไร ขนาดพ่อตายหน้ายังเฉย เพื่อนเรียกก้องว่า จ่าเฉยบ้าง ไอ้แข็งบ้าง ผีดิบบ้าง แต่ก้องก็เหมือนจะไม่แสดงอาการอะไรออกมา เพราะก้องหน้านิ่งตลอดเรื่อง จนเพื่อนๆพากันรังเกียจและล้อเลียนก้องเหมือนตัวสังคมรังเกียจ ...... แต่จุดนี้แหละที่ผมว่าหนังทำไม่ถึง น้องก้องหน้านิ่ง ไม่แสดงสีหน้า แต่น้องก้องหล่อมาก!! หล่อไปไหน หน้าตาก็น่ารักฌกินไปที่จะมารับบทนี้ น้ำหนักในความเป็นตัวสังคมรังเกียจมันเลยไม่สามารถส่งผ่านคนดูอย่างผมได้

น้องก้องมาแสดงละครกับนางเอกของเรื่องที่ชื่อดาว น้องนางเอกที่ชื่อดาว เป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารักมาก อวย อาเศียรวาทเลย น้องดาวยิ้มสวย โลกสดใส ร้องไห้ก็สวยน่าสงสาร เด็กคนนี้น่าจะอนาคตไกลเลยล่ะ น้องดาวยอมเล่นละครกับน้องก้องเพราะเลิกกับแฟนพอดี และเหมือนจะสงสารน้องก้องนิดนึง

ละครของน้องก้องเป็นการแสดงของผู้หญิงกับผู้ชายที่ไร้อารมณ์ ตอนแรกเพื่อนทั้ง รร ระดมพลปั้นกระดาษจะเอาไปปาก้องบนเวที (ตลกมาก รร บ้าอะไร ทำไมทำอะไรกันแบบนี้ )

สรุปหนังจบตรงที่(สปอยล์) น้องก้องเป็นเด็กพิเศษ ที่ไม่สามารถแสดงอารมณ์ได้ มีความสุขก็ยิ้มไม่ได้ ใครอยากเห็นน้องก้องยิ้ม ต้องใช้ใจสัมผัส และจนแล้วจนรอด ผมก็ไม่เข้าใจว่า หนังเรื่องนี้จะเอาบทเพลงพระราชนิพนธ์ ยิ้มสู้ มาสื่ออะไร นอกจากไดอะล็อกยาวๆ ข้างต้น "เราจะบีบแตรใส่คนที่ยืนยึกยักข้างถนนแยกที่ผ่านมามั้ย ..ถ้ารู้ว่าเขาใส่ขาเทียม" และตามมาอีกเป็นพะเรอเกวียน ผมสงสัยว่า นักโฆษณาทำหนังได้แค่นี้เองหรือ ทำไมสื่อสารกับคนดูง่ายไปไหม ส่วนตัวผมให้เรื่องนี้แย่ที่สุดในสี่เรื่อง แต่พระเอกของนางเอกคือน่ารักและสดใสมาก อันนี้ผมก็พออภัยให้ได้ แต่ก็ยังไม่ให้ผ่านนะครับ
--------------------------------------------------------

3.ฝนตกที่ห้วยขาแข้ง ทัชชิ่งใจคนดูในเวลาอันสั้น 8/10
กำกับการแสดงโดย ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ

เรื่องนี้น่าจะเป็นตอนที่คนรอดูมากที่สุด คือเรื่องราวประสวัติชีวิตช่วงสุดท้ายของคุณ สืบ นาคะเสถียร ที่รับบทโดยคุณ นพชัย ชัยนาม ซึ่งก็ขอบอกเลยว่า คุณนพชัย ตีบทคุณสืบแตกกระจุย พลังการแสดงของคุณนพชัยเหลือเฟือ บวกกับโปรดักชั่น การถ่ายทำที่ดีมาก รวมไปถึงการเล่าเรื่องในเวลาอันสั้น กับการทำการบ้าน บวกกับฟุตเตจเก่าๆ เรื่องราวของสัตว์ป่า สัตว์สงวน ที่ทำให้คนดุที่ตระหนักถึงการอนุรักษ์ต้องดูแล้วสะเทือนใจ น้ำตาไหล

คุณสืบ นาคะเสถียร เป็นข้าราชการไทย เป็นนักอนุรักษ์และนักวิชาการด้านทรัพยากรธรรมชาติ ที่ต่อสู้เพื่อป้องกันแก่งเชียวหลาน และต่อสู้เพื่อไม่ให้สร้างเขื่อนน้ำโจนจนสำเร็จ ด้วยการทุ่มเทและหาข้อมูลไปนำเสนอกับภาครัฐ จนสามารถงดสร้างเขื่อนสำเร็จ จากนั้นคุณสืบก็ขออาสาไปลงพื้นที่ ทำงานที่ห้วยขาแข้ง โดยคุณสืบอาจจะคาดไม่ถึงว่า ทั้งอิทธิพลของคนในท้องถิ่น รวมไปถึงข้าราชการที่คอรัปชั่น จะบีบเค้นให้คุณสืบไม่สามารถทำงานให้สำเร็จได้ จนคุณสืบต้องยิงตัวตาย และหลังจากการตายของคุณสืบ กระแสอนุรักษณ์ รวมไปถึงยูเนสโก้ ได้ขึ้นทะเบียนให้ห้วยขาแข้งกลายเป็นมรดกโลก รวมถึงมีมูลนิธิสืบ นาคะเสถียรขึ้นมา ดังนั้นคำว่า ฝนตกที่ห้วยขาแข้ง นั่นคือ ฝนที่มาหลังการเสียสละและการฆ่าตัวตายของคุณสืบ

สิ่งที่ดูแล้วผมตระหนักและน้ำตาซึมก็คือ ในยุคปี 2529-2532 ไม่มีอินเตอร์เนต ไม่มีโซเลียล คุณสืบไม่สามารถที่จะตะโกนบอกโลกให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ห้วยขาแข้ง นอกจากใช้ความตายของตัวเองเป็นการจุดกระแสอนุรักษ์ ซึ่งถ้ามานึกถึงการใช้โซเชียลตะโกนบอกโลกของคนสมัยนี้คือการแก้ผ้า โชว์นม โชว์อวัยวะเพศ และหวังยอดไลค์แค่เพียงข้ามคืน ก็ต้องบอกเลยว่า มันไร้ค่ามาก ถ้าเทียบกับการยอมเสียสละเอาตัวเอาชีวิตเข้าแลกของคนในสมัยนั้น

ฝนตกที่ห้วยขาแข้ง เป็นหนังที่ทรงคุณค่าและควรเข้าไปดูเป็นอย่างยิ่ง รีบไปกดบัตรจองดูฟรีเร็วๆ
----------------------------------------------------------------------

ดาว สมราคาหนังปิด จิกกัด เสน่ห์แพรวพราว 9/10
กำกับการแสดงโดย ยงยุทธ ทองกองทุน

ตอนแรกผมนึกว่า ดาว จะโดนฉายเรื่องแรกหรือเรื่องแรกๆ เพราะดูเสกลความใหญ่ของคอนเซปหนังเหมือนจะเล็กที่สุด เพราะภาพของหนังเรื่อง ดาว มันดูเป็นหนังเด็ก ที่มีแต่เด็กเป็นตัวเดินเรื่อง แต่พอดูจบนี่แทบกรี๊ด พี่สิน ยงยุทธ เป็นคนที่สื่อสารกับคนดูได้ดีมาก มีชั้นเชิง แพรวพราว คือจากเรื่องเล็กๆของเด็กๆ แต่หนังแตกประเด็นออกไปให้ตระหนักได้ถึงในระดับประเทศชาติบ้านเมืองอย่างนึกไม่ถึงเลย

หนุ่ยเป็นเด็กชั้น เป็นเด็กนักเรียนป.๕ ขึ้น ป.๖ เรียนหนังสือปานกลาง  อยากทำให้พ่อแม่ภูมิใจด้วยการได้เป็นคนเชิญธงชาติขึ้นสู่ยอดเสา โดยหนุ่ยขออาสาเป็นคนเชิญธงชาติ แต่หนุ่ยยังต้องเจอคู่แข่งอีกคนคือ ยสกร ที่อยากเชิญธงเพียงเพราะอยากจีบสาวที่เชิญธงคู่กันเท่านั้น ครูให้ทั้งสองคนลองมาเชิญธงดู หนุ่ยเชิญธงขึ้นถึงยอดเสาช้ากว่าเพลง แต่ยศกรแม้จะเชิญธงทัน แต่ยศกรไม่สนใจธงเลย จนธงขึ้นไปพันเสาด้านบน สุดท้ายครูเลยยังไม่ยอมตัดสิน แต่ให้สองคนนี้ทำความดี ใครทำความดี 1 อย่างจะได้ดาว 1 ดวง

ยศกร เอาหน้าสารพัด ประจบครูสุดๆ และมิหนำซ้ำยังทำกล้วยบวชชีมาแจกครูและเพื่อนๆในห้องด้วย จนได้ใจทั้งครูและเพื่อนๆ ลุ้นสุดๆให้ยศกรได้เป็นคนเชิญธงชาติ ส่วนหนึ่งไม่รู้จะทำอะไร  ก็พยายามเลียนแบบยศกร แต่ก็ไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่ หนึ่งก็เลยมาช่วยภารโรงเก็บขยะ ปรากฏว่าเวิร์ค หนุ่ยกับยศกรก็เลยแข่งกันเก็บขยะจนโรงเรียนสะอาด จนถึงก่อนวันตัดสินหนึ่งวันทั้งสองคนได้ดาวเท่ากัน แต่ข่าวร้ายกว่านั้นคือ พ่อหนุ่ยที่เป็นทหารโทรมาบอกว่า มางานวันพ่อไม่ทันอีกตะหาก....

แม้ ดาว จะเป็นหนังเด็ก แต่กลับนำเสนอประเด็นที่ชวนคิดและทำให้เราตระหนักว่า ค่านิยม การทำความดี การให้สินบน การทำประชานิยม ในบ้านเรานั้นมันโดนปลูกฝังตั้งแต่เด็กแล้ว ถ้าเทียบหนุ่ยกับยศกร ในฐานะเป็นคนที่จะมาเป็นผุ้นำประเทศเราจะพบว่า

หนุ่ยอาจจะเป็นผู้นำประเทศที่ซื่อสัตย์ แต่ทำงานเชื่องช้า และไม่ค่อยทันประเทศอื่นๆเค้า

ยศกร ไม่ได้อยากเข้ามาเป็นผู้นำเพราะอยากรับผิดชอบ แต่เข้ามาด้วยเจตนาแอบแฝงส่วนตัว(คือจะจีบสาว) แต่ยศกรก็ทำทุกวิถีทาง ตั้งแต่ประจบครู ถ้าเทียบกับผุ้ใหญ่คือการวิ่งเต้นเล่นเส้นเล่นสายเข้าหาผู้ใหญ่ ไปจนถึงทำขนมมาแจกครูและเพื่อนในห้อง ถ้าเทียบคือประชานิยม แต่ยศกรเป็นคนที่ทำงานแบบไม่ใส่ใจบ้านเมืองนัก จากตอนเชิญธงที่ไม่ใส่ใจมองธงเลย จนธงพันยอดเสา

สุดท้ายหนุ่ยจะได้ดาวสมใจไหม และ ความฝันอันสูงสุด ในมุมมองของเด็กน้อยอย่างหนุ่ย คืออะไร นั่นคือการอยากให้คนเห็นคุณค่าในตัวเอง ผมคิดว่า ดาว เป็นหนังที่สมราคาหนังปิด คีตราชนิพนธ์อย่างสง่างามและลงตัวที่สุด
----------------------------------------------------------

ภาพรวม

ดาว คือตัวแทนวัยเด็ก มีความฝัน มีแรงขับดัน มีPassion ที่อยากจะทำอะไรๆแล้วพุ่งชนแบบไม่มีเหตุผล แต่ความฝันของเด็กสาวยงามเสมอ

อมยิ้ม คือตัวแทนวัยรุ่น ที่เน้นทุกอย่างไปตามอารมณ์เป็นที่ตั้ง ยิ้ม หัวเราะ ร้องไห้ อย่างจริงใจตรงไปตรงมา นี่คือเสน่หืของวัยรุ่น

ฝนตกที่ห้วยขาแข้ง คือตัวแทนวัยทำงาน การตั้งใจทำงาน อุทิศชีวิต เพื่ออุดมการณ์ นั่นคือวัยหนุ่มสาวที่เลอค่า

The Singer คือตัวแทนวัยชรา ผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านความทถกข์ ผ่านความเจ็บปวด ผ่านมาทั้งการเกิด การแก่ การเจ็บ และชะตาชีวิตกำลังจะพาไปสู่ความตาย

แม้หนังสี่เรื่องจะมีบางเรื่องขาดๆเกินๆ แต่พอเอามาดูรวมกัน กลับเป็นส่วนผสมที่ลงตัว และวิเศษมาก อยากให้เค้าเปิดฉายให้คนได้ดูแบบเสียเงินเป็นเรื่องเป็นราว จะเอารายได้ภวายในหลวงหรือการกุศลก็ได้ เพราะตอนนี้ทราบมาว่า 20,000 ที่นั่งที่เปิดเพิ่มก็จะเต็มแล้ว รีบๆไปกดจองเลยที่ http://www.คีตราชนิพนธ์.com
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่