บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด : จักรพรรดิสายฟ้าแห่งไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก



ว่องไวประดุจฟ้าฟาด เล่นสะอาดไม่มีนอกไม่มีใน
ได้แชมป์ก็เพราะฝีมือ ฝีเท้าเลื่องลือ ธันเดอร์แคทเซิลทีม


ถ้าจะให้ผมพูดถึงสโมสรที่นับจากนี้ต่อไปที่จะกลายเป็น "ตำนาน" ในอนาคตของไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก คงหลีกเลี่ยงที่จะไม่พูดถึง "ยอดทีมจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง" นี้ไม่ได้ .. พวกเขาคือ "บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด"

ด้วยผลงานระดับพรีเมี่ยม จากการเถลิงบัลลังก์ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก 4 สมัย (พ.ศ. 2551, 2554, 2556, 2557) และรองแชมป์อีก 2 สมัย (พ.ศ. 2548, 2553) เท่านั้นยังไม่พอ พวกเขายังคว้า เอฟเอ คัพ 3 สมัยซ้อน (พ.ศ. 2554, 2555, 2556) และแชมป์ลีกคัพ อีก 3 สมัยซ้อน (พ.ศ. 2554, 2555, 2556) รวมถึงได้แชมป์ถ้วยพระราชทาน ก มาครองได้ 3 สมัย (พ.ศ. 2556, 2557 และ 2558) จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมานี้ "นักรบสายฟ้าจากแดนตะวันออกเฉียงเหนือ" ได้ประกาศความยิ่งใหญ่ และยังเดินหน้าไล่ล่าความสำเร็จต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง .. เรามาดูประวัติคร่าว ๆ เพื่อรู้จักพวกเขาให้มากกว่านี้กันครับ

เดิมทีสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ได้เริ่มต้นมาจาก "สโมสรการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค" ซึ่งเป็นทีมองค์กรของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เริ่มก่อตั้งโดย ดร.วีระ ปิตรชาติ ซึ่งเป้าหมาย ณ ขณะนั้นไม่ใช่การลงเล่นในลีกระดับประเทศ เป็นเพียงแต่ทีมที่ใช้เชื่อมสัมพันธ์ของคนในองค์กรและให้พนักงานได้มีส่วนร่วมในการออกกำลังกาย


ดร.วีระ ปิตรชาติ : ผู้ก่อตั้งสโมสรการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
(credit : senate.go.th)


ต่อมาในปี พ.ศ. 2535 สโมสรการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้ลงทำการแข่งขันในลีกสมัครเล่นอันดับล่างสุด คือ ถ้วยพระราชทาน ง และไต่เต้าขึ้นมาโดยลำดับ โดยในปี พ.ศ. 2537 ได้เลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นในระดับ ถ้วยพระราชทาน ค โดยปีต่อมา สโมสรการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ก็ได้สร้างชื่อลือลั่น ด้วยการเอาชนะ สโมสรทหารอากาศ ไป 2-0 ในรอบก่อนรองชนะเลิศ แต่ก็ต้องพบกับความผิดหวังเมื่อรอบรองชนะเลิศพวกเขาพ่ายให้กับ ทีมสโมสรทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ด้วยสกอร์ 1-0 และจบด้วยอันดับที่ 3 ในปีนั้น แต่ก็ยังได้สิทธิ์เลื่อนชั้นไปเล่นในระดับ ถ้วยพระราชทาน ข ในปี พ.ศ. 2539 โดยผลงานในครั้งนี้คงต้องยกให้กับการทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ การวางแผน และบริหารทีมอย่างรัดกุม ของ บรรหาร สมประสงค์ อดีตนักฟุตบอลทีมชาติไทย ที่เข้ามากุมบังเหียนทีม ณ ขณะนั้น

ในปี พ.ศ. 2540 พวกเขาก็ได้สิทธิ์เลื่อนชั้นมาเล่นในระดับดิวิชั่น 1 ในฤดูกาล 2541 ได้สำเร็จ และก็โลดแล่นในระดับนี้จนถึง พ.ศ. 2547 พวกเขาสามารถคว้ารองแชมป์ดิวิชั่น 1 มาได้สำเร็จและได้สิทธิ์เลื่อนชั้นขึ้นสู่ลีกสูงสุด อย่าง ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีกได้ ในฤดูกาล 2548 ซึ่ง ณ ตอนนั้น สโมสรการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ก็มีตัวผู้เล่นที่สำคัญ ๆ ที่เป็นกำลังหลักในการสู้ศึกไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาล 2548 อาทิ อภิเชษฐ์ พุฒตาล, วรพรรณ ตุ่นต้น, สระราวุฒิ ตรีพันธ์, เทพนคร ทิศแดง, ศุภกิจ จินะใจ เป็นต้น ซึ่งในฤดูกาลนั้นพวกเขาก็สามารถสร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมโดยการคว้ารองแชมป์ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีกมาครอง พร้อมได้สิทธิ์ไปเล่นในรายการ AFC Champion League 2006


อภิเชษฐ์ พุฒตาล
(credit : siamsport.co.th)


แต่น่าเสียดายที่ในรายการระดับเอเซียอย่าง  AFC Champion League 2006 สโมสรการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคไม่สามารถที่จะลงทะเบียนนักเตะในรายการดังกล่าวได้ทันเวลาทำให้ถูกตัดสิทธิ์การแข่งขันไปอย่างน่าเสียดาย และก็ยังวนเวียนอยู่ในระดับไทยแลนด์พรีเมียร์ลีกด้วยผลงานที่ไม่สู้ดีนัก จนในฤดูกาล 2551 พวกเขาก็ประกาศความยิ่งใหญ่ ด้วยการคว้าแชมป์ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก เป็นครั้งแรกของสโมสรนับตั้งแต่ก่อตั้งมา ด้วยการร่ายมนต์ของ "น้าเหม่ง" ประพล พงษ์พาณิชย์ ผู้ปลุกการหลับใหลของมนุษย์ไฟ้ฟ้าให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาประกาศศักดาได้สำเร็จ รวมถึงคว้าสิทธิ์ไปเล่นรอบคัดเลือกในรายการ AFC Champion League 2009 อีกครั้ง ซึ่ง ณ ตอนนี้พวกเขามีขุมกำลังที่น่ากลัว ไม่ว่าจะเป็น รังสรรค์ วิวัฒชัยโชติ, พิพัฒน์ ต้นกันยา, ณรงค์ชัย วชิรบาล, อภิเชษ พุฒตาล, รณชัย รังสิโย, โคยูอาคู ทาฮิรี่เฮนรี่, ปฏิภาณ เพ็ชรพูล, อัมรินทร์ เยาวดำ, โชคทวี พรหมรัตน์, กฤษณะ วงษ์บุตรดี ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นเหล่าขุนพลที่น่ากลัวของการไฟฟ้าฯ ชุดนี้เลยก็ว่าได้


ประพล พงษ์พาณิชย์
(credit : news.tlcthai.com)



สโมสรการไฟฟ้าฯ กับแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรก
(credit : oknation.net)


และน่าเสียดายอีกครั้งที่พวกเขาไม่สามารถทะลุเข้าไปเล่นในรอบแบ่งกลุ่ม AFC Champion League 2009 ได้ เมื่อตกรอบคัดเลือก โดยการเล่นในสนามราชมังคลากีฬาสถาน พ่ายแพ้ สโมสรสิงค์โปร อาร์มฟอช จากประเทศสิงค์โปรไปในช่วงต่อเวลาพิเศษ 1-4 ซึ่งน่าเสียดายที่พวกเขาได้ประตูขึ้นนำไปก่อนในนาทีที่ 6 จาก อภิภู สุนทรพนาเวศ แต่ก็ต้องถูกดับฝัน โดยลูกโทษในช่วงทดเวลาของผู้เล่นสิงค์โปร ซึ่งนักเตะคนที่ดับฝันพวกเขา ในเวลาต่อมาคือแกนหลักทีมชาติไทย คือ เทอดศักดิ์ ใจมั่น ที่ซัดสองประตู พาสิงค์โปร อาร์มฟอช ถล่ม การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคผ่านเข้ารอบต่อไปได้สำเร็จ


อภิภู สุนทรพนาเวศ
(credit : siamsport.co.th)


อีกทั้งผลงานในฤดูกาลนั้น ก็ทำไม่ค่อยดีเท่าที่ควร จบที่อันดับ 9 ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมจาก ประพล พงษ์พาณิช มาเป็น ทองสุข สัมปหังสิต อดีตผู้จัดการทีมชาติไทยเข้ามาทำทีม ซึ่งในปี พ.ศ. 2552 นี้ นับได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของสโมสรการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเลยก็ว่าได้ เมื่อ นายเนวิน ชิดชอบ นักการเมืองของจังหวัดบุรีรัมย์ ต้องการที่จะซื้อสิทธิ์สโมสรในระดับไทยแลนด์พรีเมียร์ลีกเพื่อมาปลุกปั้นในจังหวัดบุรีรัมย์ โดยมีการตกลงเจรจากับหลายสโมสร ไม่ว่าจะเป็น สโมสรฟุตบอลตำรวจ, สโมสรทีโอที และสโมสรฟุตบอลทหารบก แต่ก็ได้รับการปฏิเสธ จนในที่สุดก็ได้มาตกลงกับสโมสรการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และมีการตกลงในเรื่องของการใช้สนามเหย้าเปลี่ยนจากอยุธยา มาเป็น บุรีรัมย์ พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อสโมสรเป็น "สโมสรบุรีรัมย์-พีอีเอ"


เนวิน ชิดชอบ
(credit : pantip.com)


จากนั้น บุรีรัมย์-พีอีเอ ภายใต้การบริหารงานของทีมบริหารชุดใหม่ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงผู้ฝึกสอนบางส่วน, การนำระบบการจัดการแบบฟุตบอลอาชีพมาใช้อย่างเป็นรูปธรรม อาทิ การเซ็นสัญญาจ้างนักเตะ, การทำสัญญาซื้อขายนักฟุตบอล, การสร้างสนามฟุตบอล, การบริหารธุรกิจแบบมืออาชีพ ภายใต้การนำของประธานสโมสรอย่าง เนวิน ชิดชอบ ทำให้ บุรีรัมย์-พีอีเอ ยังทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง ด้วยการคว้ารองแชมป์ในฤดูกาล 2553 และคว้าแชมป์ในปี 2554 มาครองได้สำเร็จ ภายใต้การคุมทีมของโค้ชยอดฝีมือของวงการฟุตบอลไทย อย่าง อรรถพล ปุษปาคม รวมถึงสร้างปรากฏการณ์ผู้เข้าชมไทยแลนด์พรีเมียร์ลีกสูงสุดที่ 25,000 คน และขายของที่ระลึกได้สูงสุด ที่ 1.4 ล้านบาท ในนัดที่เตะกับเมืองทอง ยูไนเต็ด เดือนกันยา ปี พ.ศ. 2553


อรรถพล ปุษปาคม
(credit : sport.sanook.com)


ซึ่งในปี พ.ศ. 2554 ถือเป็นการเถลิงบัลลังก์อย่างงดงามของ สโมสรบุรีรัมย์-พีอีเออย่างแท้จริง ด้วยผลงานการคว้า "ทริปเปิ้ลแชมป์" มาครองได้สำเร็จ นับเป็นสโมสรฟุตบอลทีมแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลไทยที่สามารถคว้า 3 แชมป์มาครองในฤดูกาลเดียวได้สำเร็จ (แชมป์ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก, แชมป์เอฟเอคัพ และ แชมป์ลีกคัพ) และยังสามารถคว้าโทรฟี่โตโยต้า พรีเมียร์คัพ ด้วยการเอาชนะ เวกัลตะ เซนได จากเจลีก จากจุดโทษ นับเป็นแชมป์ที่ 4 ในฤดูกาลเดียวกัน

ต่อมาใน พ.ศ. 2555 เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกครั้ง สำหรับ สโมสรบุรีรัมย์-พีอีเอ โดยฝ่ายเจ้าของสิทธิ์สโมสรเดิม คือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ซึ่งเดิมอยู่ในการดูแลของนายชวรัตน์ ชาญวีกูล ได้เปลี่ยนมาเป็น นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ ได้มีนโยบายที่จะย้ายสโมสรออกจากจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งผลการเจรจาในครั้งนั้น ทำให้นายเนวิน ชิดชอบ จะขายหุ้น 70% ที่ถืออยู่ออกไป โดยจะแยกทีมการไฟฟ้าออกจากจังหวัดบุรีรัมย์ ส่วนของนักกีฬาและเจ้าหน้าที่ของทีมสโมสรบุรีรัมย์-พีอีเอเดิม จะย้ายไปเล่นกับ สโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ เอฟซี แชมป์ดิวิชั่น 1 และได้สิทธิ์เลื่อนชั้นมาเล่นในไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2555 พร้อมเปลี่ยนชื่อสโมสรเป็น "สโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด"

ต่อมาเมื่อวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2555 นายเนวิน ชิดชอบ ได้เปิดแถลงข่าวว่า "ได้ซื้อหุ้นอีก 30% ของสโมสรการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคมาบริหารจัดการเองทั้งหมด" (เดิมจะขายคืนให้ 70% แต่ไป ๆ มา ๆ ก็รวบไว้หมดเลย) รวมทั้งสิทธิ์ในนามการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จากนั้นเปลี่ยนชื่อเป็น "สโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด" ตามแผนเดิมที่คิดไว้ ส่วนสิทธิ์การเล่นในไทยพรีเมียร์ลีกของ บุรีรัมย์ เอฟซี จะโอนให้กับ "สงขลา เอฟซี" ของนายนิพนธ์ บุญญามณี เป็นอันสิ้นสุดตำนานของสโมสรการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคไว้เพียงเท่านี้ โดยที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคนั้นจะไม่มีการส่งทีมเข้าแข่งขันรายการของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยอีกต่อไป


นายเนวิน ชิดชอบ ตั้งโต๊ะแถลงข่าวซื้อสิทธิ์การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
(credit : thairath.co.th)


หลังจากนั้น ตำนานบทใหม่ของนักรบสายฟ้าจากแดนอีสานตอนล่าง ก็ได้เริ่มต้นไล่ล่าความสำเร็จอีกครั้ง โดยการคว้าแชมป์ ไทยคม เอฟเอคัพ ฤดูกาล 2555 และคว้าสิทธิ์ไปเล่น AFC Champion League 2013 รอบคัดเลือก ตามด้วยการคว้าแชมป์ โตโยต้า ลีกคัพ 2555 ซึ่งนับเป็นดับเบิ้ลแชมป์ ต่อจากการคว้าทริปเปิ้ลแชมป์เมื่อปีที่แล้ว อีกทั้งในปี 2556 สโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ก็เถลิงบัลลังก์ลีกสูงสุดอีกครั้ง ด้วยการคว้าแชมป์ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก 2556 และทำทริปเบิ้ลแชมป์อีกครั้งในปีเดียวกัน ด้วยการคว้าแชมป์ไทยคม เอฟเอคัพ 2556 พร้อมทั้งคว้าสิทธิ์ไปเล่นรอบคัดเลือก AFC Champion League 2014 รวมถึงแชมป์โตโยต้าลีกคัพ 2556 มาครองเป็นสมัยที่ 3 รวมถึงการคว้าแชมป์ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก 2557 มาครองเป็นสมัยที่ 4 อีกด้วย

ซึ่งใน AFC Champion League 2013 พวกเขาก็สามารถทำผลงานด้วยดี โดยการทะลุผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย ด้วยการเป็นที่ 2 ของกลุ่ม E และชนะ บุนยอดกอ ยอดทีมจากอุซเบกิสถาน ไปด้วยสกอร์ 2-1 แต่ก็ต้องจอดแค่รอบ 8 ทีมสุดท้ายเมื่อพ่ายแพ้ให้ เอสเตกาล ทีมจากอิหร่านไปด้วยสกอร์รวม 3-1 และน่าจะเป็นการผ่านเข้ารอบที่ลึกที่สุดในระดับเอเซียตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรมา


สุเชาว์ นุชนุ่ม กับตันทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด พาบอลหนีผู้เล่นเอสเตกัล ในศึก AFC Champion League 2013
(credit : buriramunited.co.th)


ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ จะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า พวกเขาคือ "ยอดทีมชั้นแนวหน้าของประเทศไทย" ที่ยังคงมุ่งมั่นไล่ล่าความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีความพร้อมด้านผู้เล่น, ทุนทรัพย์ รวมถึงการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ผลงานที่หลั่งไหลมาสู่สโมสรแห่งนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ณ ตอนนี้พวกเขาคือ "จักรพรรดิสายฟ้าแห่งไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก" อย่างแท้จริง

ผิดพลาดประการใดขออภัยไว้ ณ ทีนี้
ปอปฏิเวธ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่