สองล้อท่องเขาใหญ่

แสงแดดยามแปดนาฬิกามันช่างร้อนแรงเหลือประมาณ ผมนอนจิบกาแฟอยู่บนเปลใต้ถุนบ้านในอำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี กลิ่นกาแฟร้อนที่หอมกรุ่นทำให้สมองของผมปลอดโปร่ง แต่ความร้อนจากแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลอดเข้ามาใต้ถุนบ้าน ก็ทำเอาเหงื่อในกายแตกพล่านอยู่เหมือนกัน



เวลาผ่านไปไม่นาน แสงแดดที่ร้อนระอุเริ่มลดกำลังลงเพราะมวลหมู่เมฆเริ่มทยอยเข้าบดบัง กิ่งต้นหว้าต้นใหญ่หน้าบ้านเริ่มไหวเอนด้วยแรงลมที่เริ่มแรงขึ้นทีละน้อย บรรยากาศยามนี้คล้ายกับฝนจะตกก็ไม่ปาน

ผมดื่มกาแฟที่เหลือก้นถ้วยจนหมด ผมคิดถึงป่าหญ้า คิดถึงสายลม คิดถึงสายน้ำ ไวเท่าความคิด ผมตะโกนร้องบอกภรรยาให้จัดกระเป๋า เราไปเที่ยวเขาใหญ่กันดีกว่า

ภรรยาผมขึ้นชื่ออยู่แล้วเรื่องเที่ยวป่า เราสองคนไม่มีความเห็นขัดแย้งใด ๆ ในเรื่องนี้ เราตัดสินใจที่จะเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์เก่า ๆ พร้อมบรรทุกสัมภาระไว้ข้างหลัง

มอเตอร์ไซค์ของเราคือฮอนด้าแฟนท่อม อายุ 10 ปี คันนี้เองครับ

อันที่จริงหลายปีมานี้ เราขับรถยนต์ท่องเที่ยวกันอยู่เสมอ แต่ทำยังไงได้ในเมื่อผมก็มีความเป็นชาวสองล้ออยู่ในสายเลือดเหมือนกัน หากมีโอกาสยังไงก็จะต้องหาโอกาสขับไปเที่ยวกันจนได้

ระยะทางจากบ้านไปอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่นั้นห่างประมาณ 150 กม. ผมเลือกเส้นทางจาก อ.พรหมบุรี (สิงห์บุรี) ผ่าน อ.ท่าวุ้ง (ลพบุรี) ผ่าน อ.พระพุทธบาท (สระบุรี) และเข้าสระบุรีไปเลี้ยวซ้ายออกถนนมิตรภาพครับ ผมเลือกเส้นทางสายรองเป็นหลัก ถึงอาจจะอ้อมไปอ้อมมาบ้าง แต่น่าจะเหมาะกับการเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์เนื่องจากปริมาณรถร่วมทางน้อยกว่า



หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัว จัดสัมภาระขึ้นรถอันประกอบไปด้วยเตาแก๊ส ถุงนอน เต๊นท์ ถูกมัดขึ้นตะแกรงหลัง ส่วนเสื้อผ้าและของใช้ถูกพับใส่กระเป๋าข้างทั้งสองใบ ภรรยาผมยังไม่ลืมที่จะต้มกาแฟใส่กระติกเก็บความร้อน

ติดไปให้ผมระหว่างทางอีก (กะว่าจะไม่ให้แวะกินกาแฟตรานกแก้วตาม ปตท.เลยว่างั้นเถอะ) และของสำคัญของงานนี้ที่ขาดไม่ได้จริง ๆ เลยคือเสื้อกันฝนครับ



เก้าโมงสิบห้านาที ก็ได้ฤกษ์ออกเดินทาง ตามปกติแฟนท่อมคันนี้ผมจะเติมเบนซิน 95 ใส่ถังเอาไว้ตลอด แต่คราวนี้เป็นการเดินทาง ผมจึงเลือกที่จะเติมแก๊สโซฮอล์ 95 เต็มถังแทน (ประหยัดไปได้เยอะเลย)

รถคันนี้ผมดูแลตรวจเช็คสม่ำเสมอ มันจึงพร้อมเดินทางตลอดเวลาครับ (แต่ก็นาน ๆ จะพามันไปที) น้ำหนักตัวผม 68 กก. ภรรยา 50 กก. และสัมภาระอีกประมาณ 13 กก. ผมเติมลมเพิ่มเข้าไปอีกล้อละ 2 ปอนด์ด้วยสูบจักรยานที่ผมใช้สูบเสือหมอบนั่นเอง กลายเป็นล้อหน้า 35 ล้อหลัง 38

ผมใช้ความเร็วเดินทางในช่วงแรกบนถนนสายเอเซียด้วยความเร็ว 80 กม./ชม. พอเลี้ยวเข้าสู่ถนนหมายเลข 3027 ผมก็ลดความเร็วลงเหลือประมาณ 60 และใช้ความเร็วอยู่ประมาณ 60-80 ชม



วิวทิวทัศน์ข้างทางไปเรื่อย ๆ ถนนสองข้างทางที่เต็มไปด้วยท้องไร่ท้องนานี่มันสดชื่นดีจริง ๆ ขับไปได้สัก 20 กม. ก็เจอด่านตรวจครับ คุณตำรวจถามว่าครบไหม (น่าจะหมายถึงใบขับขี่ ทะเบียน พรบ.) ผมตอบไปว่าครบครับ คิดว่าคุณตำรวจคงถามไปอย่างนั้นเอง เพราะลักษณะรถมอเตอร์ไซค์ที่จัดสัมภาระเต็มเพื่อเดินทางไกลขนาดนี้ ส่วนใหญ่ต้องครบอยู่แล้ว แถมรถผมกับรถคุณตำรวจที่จอดอยู่ใต้ต้นไม้ก็รุ่นเดียวกันนั่นแหละ อิอิ

ผ่านด่านตรวจมาได้สักพักอยู่ ๆ แสงแดดที่มันหายไปสักพักใหญ่ ๆ ดันกลับมาทำหน้าที่ของมันต่อ ความร้อนพุ่งขึ้นสูงลิ่วบนถนน ผมดื่มน้ำบ่อยขึ้น (ภรรยาส่งตลอดเวลา) พักตามปั๊มก็บ่อยขึ้น ประมาณ 30 กม.ก็พักครั้งหนึ่ง

เส้นทางตรงช่วงสายพระพุทธบาท - พุแค ถนนช่วงนี้จะมีรถสิบล้อบรรทุกหินวิ่งกันเยอะ ไหล่ทางมีเศษกรวดทราย และหลุมบ่อจนลงไปวิ่งไม่ได้ ผมสังเกตว่าแม้แต่รถเจ้าถิ่นเอง (ไม่สวมหมวกกันน๊อค) ก็ยังออกมา



วิ่งในเลนหลักตามรถใหญ่ไป ผมจึงเลือกอยู่เลนกลางบ้าง ซ้ายบ้าง รถส่วนใหญ่จะขับตาม ๆ กันไปทำความเร็วกันอยู่ช่วงประมาณ 60-80 เท่านั้น ส่วนรถที่เร็วกว่าก็จะใช้เลนขวาสุดไล่กวดกันไป สิ่งที่ต้องระวังในเส้นนี้นอกจากรถบรรทุกและไหล่ทางไม่ดีแล้ว ทางยูเทิร์นตรงเกาะกลางถนนมีค่อนข้างถี่และรถเจ้าถิ่นขับขี่ด้วยความเร็วกันพอสมควร ขับย้อนศรยังขับเร็วเลย อาจเกิดอุบัติเหตุได้ถ้าไม่ระวังตัวครับ

ถนนช่วงพุแค-ทางแยกยกระดับสระบุรี บอกเลยตรงนี้นรกของแท้ เนื่องจากถนนมีสภาพไม่ดีเลย มันไม่เรียบครับ บางช่วงยางมะตอยเป็นลอนขึ้นมา เลนซ้ายสุดนี่รถมอเตอร์ไซค์วิ่งคงจะไม่ปลอดภัยเป็นแน่ ผมก็เลยใช้เลนกลางตามพวกรถกระบะเขาไป ซึ่งเขาก็ใช้ความเร็วได้ไม่มากอยู่แล้ว ผ่านช่วงนี้ไปได้ก็โล่งครับ



ถนนมิตรภาพ ผมใช้ทางคู่ขนานขับไปเรื่อย ๆ พอเข้าเขตอำเภอแก่งคอย ผมก็ต้องขยับเข้ามาสู่ถนนหลักเพราะวิ่งซ้ายไม่ได้ถนนมันเป็นลอน ๆ จึงใช้ความเร็วเพิ่มขึ้นอยู่ช่วง 100-120 ในบางครั้งพอถึงบริเวณหน้าโรงปูนซิเมนต์ตรานกอินทรีถึงได้ลงไปวิ่งไหล่ทางได้ ถนนช่วงอำเภอมวกเหล็กไม่ค่อยดีเท่าไหร่สำหรับมอเตอร์ไซค์นะครับ เลือกไลน์กันให้ดีล่ะกันค่อย ๆ ไปครับ







พอผ่านมวกเหล็กมาได้ผมชิดขวาเตรียมยูเทิร์น ผมจะใช้เส้นทางมวกเหล็ก-บ้านเหวปลากั้ง ซึ่งเป็นทางสายรอง รถน้อยกว่าไปเข้าทางปากช่อง อีกทั้งเส้นทางที่ยาวประมาณ 30 กม.สายนี้เต็มไปด้วยรีสอร์ทและบ้านคนมากมาย ขับขี่ได้ปลอดภัย ถ้าใช้ความเร็วไม่มากนัก ช่วงนี้ผมจะเจอเพื่อนร่วมทางเต็มไปหมดทั้งจักรยาน ผมก็โบกมือให้เขา (เขาคงจะงงว่า ไอ้นี่มาโบกมือให้ทำไม อิอิ) บิ๊กไบค์หลายกลุ่มขับสวนมา เขาก็โบกมือให้ผม ก็ทักทายกันไปด้วยภาษามือ ช่วงนี้แสงแดดหมดไปแล้ว ลมแรงขึ้นพร้อมกับเม็ดฝนที่เริ่มโปรยปรายลงมาทำให้ผมต้องจอดรถสวมเสื้อกันฝนและป้องกันสัมภาระเตรียมตัวกันก่อน



ผมขับมาถึงด่านเสียค่าธรรมเนียมเข้าอุทยาน ก็มีบิ๊กไบค์หลายคันขับตามเข้ามา ตรงนี้ จนท.อุทยานเข้มงวดเรื่องเสียงท่อมากครับ ถามทุกคันเลยว่าเสียงท่อดังหรือเปล่า ถ้าดัง ไม่ให้เข้าครับ แต่ไม่ยักกะถามรถผม อิอิ



จ่ายค่าธรรมเนียมของรถจักรยานยนต์ 30 บ. คนอีก 80 บาทรวม 110 บ.





ผมขับผ่านศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ขึ้นไป ถนนเริ่มชันขึ้นพร้อมกับอากาศเย็นที่เข้ามาแทนที่ ผมใช้ความเร็วอยู่ที่ 40 กม.ต่อชั่วโมง ไต่ไปเรื่อย ๆ บางช่วงชันมาก ๆ ก็ต้องเปลี่ยนเกียร์ช่วยกันไป กำลังเครื่องของแฟนท่อม 200 มันดีกว่าตัว 150 เครื่อง 2 จังหวะ ที่ผมเคยพามาเสียจริง ๆ (ผมมีทั้งสองรุ่น ตัว 150 เคยต้องใช้เท้าดันช่วยเวลาขึ้นเขาชัน ๆ) มาจอดตรงจุดชมวิว ขอบอกว่า เขาใหญ่ก็ยังคงเป็นเขาใหญ่ สวยจริง ๆ ครับไม่ว่าจะมาสักกี่ครั้งก็ตาม



ผมขับมาจอดที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเพื่อที่จะเข้าไปชมนิทรรศการ แต่ตอนนี้ในศูนย์บริการนักท่องเที่ยวมากมายคนเยอะแยะไปหมด ผมเลยเดินไปด้านหลังเพื่อจะไปสั่งกาแฟนั่งจิบคลายเมื่อยล้าเสียหน่อย แต่คนขาย

กาแฟหน้าบอกบุญไม่รับบอกผมอีกว่า "ปิดเครื่องแล้วค่ะ" เอ่อ.... เล่นเอาผมเซ็งจิต นี่เพิ่งจะบ่ายสามโมงนะเฟ้ย นักท่องเที่ยวเยอะแยะไปหมด ทำไมไม่ขายต่อฟะ ถ้าเป็นร้านผมล่ะก็จะเปิดถึงเย็นเลยเชียว

ผมเลยพาภรรยาออกมาจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว และไปหาที่กางเต๊นท์ก่อนดีกว่า เพราะฝนฟ้าก็ทำท่าจะตก (ลุ้นให้ตกครับ เย็นดี) ผมเลือกลานกางเต๊นท์ลำตะคอง มากี่ครั้งก็กางมันที่นี่ทุกที เพราะตรงนี้วิวสวย จนท.เยอะ ห้องน้ำก็เยอะสะดวกมากครับ

ในลานกางเต๊นท์ลำตะคองในคืนนี้ มีรถจักรยานยนต์เข้ามาทั้งสิ้น 5 คัน เป็น Big Bike 2 คัน รถผม 1 คัน (ไม่รู้จะเรียกอะไรไบค์ดี อิอิ) กับฟีโน่อีก 2 คัน แต่กางเต๊นท์กระจายกันคนละมุมโลกเลย

ผมเลือกชัยภูมิที่ใกล้ห้องน้ำไว้ก่อน เผื่อฝนตกมันจะได้ไม่ลำบากมาก อิอิ

ผมลงมือกางเต๊นท์โดมเก่าแก่อายุ 10 ปีหลังนี้ และเมื่ออาทิตย์ก่อนเต๊นท์หลังนี้เพิ่งสร้างวีรกรรมเต๊นท์เป็นอ่างเลี้ยงปลาที่ อช.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรีมาแล้ว คือซีลกันน้ำมันหมดสภาพกันฝนไม่ได้แล้ว แต่ด้วยสภาพมันยังดีอยู่ จะให้ทิ้งก็เสียดาย ซื้อใหม่ก็เสียดายตังค์ ผมเลยใช้วิชาลูกเสือเอาถุงดำใส่ขยะ มาทำการตัดและผูกเชือกทำเป็นฟลายชีตกันน้ำฝนแทน และเพื่อให้นอนสบายหน่อย ผมก็ไปเช่าแผ่นรองนอนของอุทยานราคาแผ่นละ 35 บาทมาสองแผ่น ทีนี้นอนสบายขึ้นเยอะเลย ไอ้แผ่นนี่มีประโยชน์จริง ๆ กลับไปจะต้องไปซื้อมาเก็บไว้ใช้บ้าง



อาหารเย็นในวันนี้คือ ต้มมาม่ากระป๋องครับ ไม่รู้จะทำอะไรกินให้มันดีกว่านี้เพราะไม่สะดวก มาคันเดียว สัมภาระเอามาได้จำกัด แต่ก็ยังได้อารมณ์แค้มปิ้ง พอได้ ๆ



คืนนั้นฝนตกพรำ ๆ อากาศเย็นสบาย นอนฟังเสียงจักจั่น เสียงกวางขโมยอาหาร (ขโมยจริง ๆ เผลอ ๆ เก่งกว่ากวางภูกระดึงอีก) หลับสบายจนถึงเช้าเลย จะมีที่ไหนมีความสุขใจเท่านี้

ตื่นมาตอนเช้า แค่หกโมงเช้าแต่แสงแดดพาดผ่านเต๊นท์เข้ามาเลย ผมลุกขึ้นมาจุดเตาแก๊สต้มกาแฟ แสงแดดมีก็จริงแต่อากาศยังเย็นอยู่พอสมควร อาหารมื้อเช้าของเราก็คือมาม่ากระป๋องเหมือนเดิม แต่มีขนมปังที่ซื้อมาแกล้มกาแฟด้วย พออิ่มเอาตัวรอดไปได้ เราตัดสินใจเก็บเต๊นท์เลย เพื่อที่จะได้ท่องเที่ยวต่อไปโดยไม่ต้องกังวล

แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่