คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
อันดับแรก ห้ามเขียนไม่ลาออกเด็ดขาด แจ้งให้เขาทําหนังสือเลิกจ้างมาครับ
หากเขาบีบมาก ๆ ก็ออกมาและไปร้องทุกข์ต่อพนักงานตรวจแรงงาน ณ กรมสวัสดิการและคัมครองแรงงาน
ที่อยู่ในพื้นที่เดียวกับบริษัทที่คุณทํางานครับ เจอหนังสือจากพนักงานตรวจแรงงานเข้าไป ก็หนาวแล้ว
เพราะหากไม่ปฎิบัติตามนายจ้างโดนคดีอาญาครับ
ย้ำห้ามเขียนใบลาออกเด็ดขาด
หากเขาบีบมาก ๆ ก็ออกมาและไปร้องทุกข์ต่อพนักงานตรวจแรงงาน ณ กรมสวัสดิการและคัมครองแรงงาน
ที่อยู่ในพื้นที่เดียวกับบริษัทที่คุณทํางานครับ เจอหนังสือจากพนักงานตรวจแรงงานเข้าไป ก็หนาวแล้ว
เพราะหากไม่ปฎิบัติตามนายจ้างโดนคดีอาญาครับ
ย้ำห้ามเขียนใบลาออกเด็ดขาด
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
โดยพฤติกรรมของนายจ้างนั้น ถือว่าการเลิกจ้างเกิดขึ้นสมบูรณ์แล้ว เพราะนายจ้างมาบอกว่า "ให้ทำงานวันนี้วันสุดท้าย" แสดงว่านิติกรรมสัญญาความเป็นนายจ้างลูกจ้างได้ขาดสะบั้นลงแล้ว (ภาษากฎหมาย) ดังนั้น การที่นายจ้างมากลับคำว่า ให้ทำงานต่อถึงวันที่ 25 นั้น การทำงานถือเป็นสภาพการจ้าง ซึ่งต่างจากการเลิกจ้าง ซึ่งนายจ้างกระทำได้เองฝ่ายเดียว แต่ในเมื่อสภาพการเป็นนายจ้างลูกจ้างได้ขาดสะบั้นลงไปแล้ว นายจ้างจะมาสร้างสภาพของสัญญาจ้างใหม่เองไม่ได้ฝ่ายเดียว เพราะสภาพแห่งสัญญาจ้าง ต้องได้รับความตกลงทั้งสองฝ่าย ดังน้ัน การที่นายจ้างมาบอกให้ทำงานต่อ หลังจากที่นายจ้างได้แจ้งเลิกจ้างไปแล้ว จึงไม่สามารถทำได้ครับ
แต่คำแนะนำของผม ผมพิจารณาจากทรงของนายจ้าง ผมดูแล้วว่าเขามีพฤติกรรมที่จะไม่จ่ายเงินชดเชยแน่นอน หากท่านหยุดงาน แล้วไปร้องยังแรงงานเขตพื้นที่ นายจ้างจะต่อสู้ว่า เขาเองยังไม่ได้เลิกจ้าง ขอให้ท่านจำไว้ว่า ลิ้นมันไม่มีกระดูกครับ มันพลิกได้ตลอดเวลา แล้วหากนายจ้างอ้างเช่นนั้นว่ายังไม่ได้เลิกจ้าง แต่ท่านหยุดงานไปร้องแรงงาน ถือเป็นการขาดงาน (หากเกิน 3 วันก็เข้ามาตรา 119)
ดังนั้น ผมแนะนำเช่นนี้ครับ
1. อยู่ทำงานไปต่อเนื่อง ทำงานไปเรื่อยๆไม่ต้องสนใจอะไร รอจนเกินหลักฐานพฤติกรรมสภาพการเลิกจ้าง เช่น นายจ้างไม่ให้เข้าทำงาน หรือนายจ้างออกหนังสือเลิกจ้าง จึงค่อยไปแรงงานเขตพื้นที่
2. ระหว่างนี้ ห้ามเขียนหนังสือลาออกทุกกรณี เพราะการเขียนหนังสือลาออก เป็นการสละสิทธิซึ่งเงินชดเชย
สุดท้าย ผมอยากจะชื่นชมท่านเจ้าของกระทู้ที่ถึงแม้เป็นเด็กรุ่นใหม่ แต่ก็ไม่ยอมให้ตัวเองตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบนายจ้างที่อาศัยช่องที่ลูกจ้างไม่รู้ข้อกฎหมาย เอาเปรียบลูกจ้างอยู่เรื่อยไป ผมเองมีงานที่ปรึกษาด้านกฎหมายแรงงาน ซึ่งในทุกๆวัน ผมต้องได้รับคำถาม และสายโทรศัพท์เข้ามาปรึกษาปัญหาแรงงานมากมาย ผมมักพูดอยู่บ่อยครั้งว่า ทุกวันนี้ผมเหนื่อย เพราะพวกเราซึ่งทำงานกัน ไม่รู้จักรักษาสิทธิตัวเอง ท่านจึงต้องมาพึ่งนิติกรแรงงาน หรือนักกฎหมายให้ช่วยท่านต่อสู้ แต่หากลูกจ้างมีความรู้ด้านกฎหมายแรงงาน เอาเพียงมาตราพื้นฐานก็เพียงพอ ท่านเองจะได้ไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และนักกฎหมายเองก็จะไม่เหนื่อยด้วยครับ
ผมให้บทความอันเกี่ยวเนื่องกับการเลิกจ้าง ในช่วงทดลองงานซึ่งผมเขียนเอาไว้นานมากแล้ว เอาไว้ให้ท่านเจ้าของกระทู้ลองอ่าน เพราะเกี่ยวข้อกับกรณีของท่านอยู่พอควรครับ http://topicstock.pantip.com/silom/topicstock/2011/05/B10620643/B10620643.html
แต่คำแนะนำของผม ผมพิจารณาจากทรงของนายจ้าง ผมดูแล้วว่าเขามีพฤติกรรมที่จะไม่จ่ายเงินชดเชยแน่นอน หากท่านหยุดงาน แล้วไปร้องยังแรงงานเขตพื้นที่ นายจ้างจะต่อสู้ว่า เขาเองยังไม่ได้เลิกจ้าง ขอให้ท่านจำไว้ว่า ลิ้นมันไม่มีกระดูกครับ มันพลิกได้ตลอดเวลา แล้วหากนายจ้างอ้างเช่นนั้นว่ายังไม่ได้เลิกจ้าง แต่ท่านหยุดงานไปร้องแรงงาน ถือเป็นการขาดงาน (หากเกิน 3 วันก็เข้ามาตรา 119)
ดังนั้น ผมแนะนำเช่นนี้ครับ
1. อยู่ทำงานไปต่อเนื่อง ทำงานไปเรื่อยๆไม่ต้องสนใจอะไร รอจนเกินหลักฐานพฤติกรรมสภาพการเลิกจ้าง เช่น นายจ้างไม่ให้เข้าทำงาน หรือนายจ้างออกหนังสือเลิกจ้าง จึงค่อยไปแรงงานเขตพื้นที่
2. ระหว่างนี้ ห้ามเขียนหนังสือลาออกทุกกรณี เพราะการเขียนหนังสือลาออก เป็นการสละสิทธิซึ่งเงินชดเชย
สุดท้าย ผมอยากจะชื่นชมท่านเจ้าของกระทู้ที่ถึงแม้เป็นเด็กรุ่นใหม่ แต่ก็ไม่ยอมให้ตัวเองตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบนายจ้างที่อาศัยช่องที่ลูกจ้างไม่รู้ข้อกฎหมาย เอาเปรียบลูกจ้างอยู่เรื่อยไป ผมเองมีงานที่ปรึกษาด้านกฎหมายแรงงาน ซึ่งในทุกๆวัน ผมต้องได้รับคำถาม และสายโทรศัพท์เข้ามาปรึกษาปัญหาแรงงานมากมาย ผมมักพูดอยู่บ่อยครั้งว่า ทุกวันนี้ผมเหนื่อย เพราะพวกเราซึ่งทำงานกัน ไม่รู้จักรักษาสิทธิตัวเอง ท่านจึงต้องมาพึ่งนิติกรแรงงาน หรือนักกฎหมายให้ช่วยท่านต่อสู้ แต่หากลูกจ้างมีความรู้ด้านกฎหมายแรงงาน เอาเพียงมาตราพื้นฐานก็เพียงพอ ท่านเองจะได้ไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และนักกฎหมายเองก็จะไม่เหนื่อยด้วยครับ
ผมให้บทความอันเกี่ยวเนื่องกับการเลิกจ้าง ในช่วงทดลองงานซึ่งผมเขียนเอาไว้นานมากแล้ว เอาไว้ให้ท่านเจ้าของกระทู้ลองอ่าน เพราะเกี่ยวข้อกับกรณีของท่านอยู่พอควรครับ http://topicstock.pantip.com/silom/topicstock/2011/05/B10620643/B10620643.html
แสดงความคิดเห็น
ขอความรู้และความคิดเห็นค่ะ โดนปลดกลางอากาศ ระหว่างทดลองงาน
เราเป็นนักศึกษาจบใหม่ค่ะ แต่ประสบการณ์ทำงานก็ 4 ปีกว่า เพราะเรียนจบ ปวช. ก็เรียนมหาลัยภาคค่ำ ทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะค่ะ ทำงานมาเกือบครบทั้งสายบริหาร ธุรการ งานเอกสาร บัญชี บุคคล การขาย การตลาด ทั้งนี้แต่ละบริษัทที่ผ่านๆมา ที่มีการเปลี่ยนงานลาออกไป เพราะเราติดภาระทั้งการเรียนและการเดินทาง แต่ก็ไม่มีปัญหากับบริษัทอะไรค่ะ พี่ๆพนักงาน หัวหน้างานก็เข้าใจเราดี
พอเราเรียนจบเมื่อกลางปี 2557 เราก็เริ่มมองหาสายงานที่ตรงกับที่เรียนมา คือ ธุรกิจระหว่างประเทศค่ะ ไม่ใช่ความคิดที่ยึดติดอะไรนะค่ะ แค่อยากลองทำงานที่ได้ใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมาอย่างเต็มที่ เราเลยลองส่ง Resume สมัครงานหลายๆที่ แต่ก็ไม่มีการตอบรับใดๆ หลายเดือนผ่านไป จนกระทั่งปลายปี 2557 มีบริษัทฯหนึ่งโทรเข้ามาให้เราไปสัมภาษณ์งานค่ะ(ซึ่งเราไม่ได้ยื่น resume ไปที่บริษัทฯนี้ค่ะ) เราตอบตกลงเข้าไปสัมภาษณ์งานดู เพราะเห็นว่าใกล้ที่พักด้วย เดินทางสะดวก ไม่น่ามีปัญหาอะไร ตอนที่เข้าไปสัมภาษณ์งาน ก็ได้รับการตอบตกลงทันทีเลยค่ะ เซ็นสัญญาจ้างวันนั้นเลย
และนี้คือจุดเริ่มต้นของความผิดพลาดค่ะ...
โดยวันนั้นเราได้ทำการขอ Copy สัญญาจ้าง แต่พี่ฝ่ายบุคคลบอก ที่นี้ไม่มีให้นะค่ะ เซ็นแล้วคือ เก็บเข้าแฟ้มบริษัทเลย เราก็เอะใจแล้วละค่ะ เพราะที่ผ่านมาทุกบริษัทฯที่เราเคยทำงาน บริษัทฯมีการให้สำเนาสัญญาจ้างกับพนักงานทุกครั้ง เราเองก็เคยทำงานฝ่ายบุคคล เราก็ต้องให้พนักงานไป เพื่อแสดงถึงความสุจริตใจและความเข้าใจตรงกันว่า เรากับบริษัทฯตกลงที่จะร่วมงานกัน โดยเราทำงานให้บริษัทฯ โดยมีค่าจ้างตอบแทน ตามเงื่อนไขที่บริษัทฯระบุในสัญญาจ้างงาน
ด้วยความที่เราอยากทำงานที่นี้ด้วย เราเลยไม่เรียกร้องอะไรมาก บวกกับความคิดในแง่ดีค่ะ ว่าขอทีหลังอาจจะได้มั้ง ?! (จุดนี้แหละค่ะ ที่พลาด !!!)
ตามข้อตกลงคือเราเริ่มงานวันที่ 16 ธันวาคม 57 และทำการทดลองงาน 4 เดือน ...
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเราก็ทำงานอย่างตั้งใจและมุ่งมั่น ในที่นี้หมายถึงทำงานให้ตรงตามความถูกต้องและไม่ให้เกิดความผิดพลาดที่จะก่อเกิดความเสียหายแก่บริษัทฯค่ะ ซึ่งเราก็ไม่เคยทำให้บริษัทฯต้องเสียหาย ทั้งในแง่ของชื่อเสียงหรือค่าใช้จ่ายใดๆที่เกิดจากการทำงานของเรา แต่ด้วยลักษณะนิสัยของเรา ที่นิ่งๆ เงียบๆ ทำงานตามระบบระเบียบ ไม่ชอบเอะอะหรือเสียงดัง เวลาคุยกับบุคคลภายนอกองค์กรซึ่งเราจะต้องประสานงานด้วย เราจะเป็นคนที่พูดสุภาพและนิ่งมากๆ ซึ่งทำให้บางครั้งเราโดนมองว่า " ไม่ Active หรือ ไม่กระตือรือร้น " นั้นเอง...
สำหรับเรามีความคิดที่ว่า "ดีที่สุดสำหรับเราและเขา ไม่เหมือนกันค่ะ" ไม่ว่าจะใครบนโลกก็ตาม เรามองว่าการทำงานเราทุกคนต่างมีสไตล์เป็นของตนเอง เราจะบังคับให้เขาชอบและเห็นดีเห็นชอบเราทุกอย่าง มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
แต่ในการทำงานเราก็ทำดีที่สุดในแบบของเราแล้วค่ะ
จนกระทั่งประมาณวันที่ 8 เมษายน 57 หัวหน้างานมาบอกกับเราว่า เจ้านายจะให้เราต่อเวลาการทดลองงานออกไปอีก 1 เดือนค่ะ เพราะเรายัง Active ไม่พอ (ในตอนนั้นเราคิดว่าโอเคค่ะ ไม่เป็นไร) โดยเราก็ถามแล้วว่าไม่มีจดหมายแจ้งเหรอค่ะ คำตอบที่ได้กลับมาคือ เจ้านายให้มาบอกแค่นี้... จบค่ะ เราก็โอเค้ ก็ได้ค่ะ เราคิดว่าไหนๆจะแจ้งทั้งทีบอกเป็นคำพูดแบบนี้ ก็ถือเป็นสัจวาจา ละกัน ไม่คิดมาก ไม่คิดมาก ตั้งใจทำงานต่อไปค่ะ
จนกระทั่งวันศุกร์ที่ 30 เมษายน 57 ที่ผ่านมา... หัวหน้างานมาบอกกับเราตอนเช้าว่า " วันนี้เคลียร์งานได้เลยนะ วันจันทร์ไม่ต้องมาทำงานแล้ว "
อิจเมจ ณ ตอนนั้นเหมือนมีฟ้าผ่าลงกลางตัวเลยค่ะ น้ำตาตกในเลย อยากจะร้องไห้แต่ร้องไม่ออก เราไม่อยากทำให้พี่หัวหน้างานหนักใจ เพราะพี่เค้าเองก็รับคำสั่งจากเจ้านายอีกทีนึง วันนั้นเราเลยนั่งเคลียร์งานให้ตามที่ได้รับสั่งมาค่ะ
โดยเราเองก็คิดไปด้วยว่า ตามกฎหมายแรงงาน ต้องมีการแจ้งล่วงหน้า 30 วันทำการ หรือมีจดหมายแจ้งจากบริษัทฯ
และเรามีสิทธิได้เงินชดเชยจากบริษัทฯ เพราะเราทำงานเกิน 120 วันจะได้รับเงินชดเชย 30 วันของอัตราเงินเดือนล่าสุด
กลายเป็นว่า พี่เค้าเอา "จดหมายลาออก" มาให้เรา แล้วบอกให้เราเซ็น อ้าว !! เราเลยบอกไปว่าหนูเซ็นให้ไม่ได้หรอก หนูไม่มีความประสงค์จะลาออก พี่ออกจดหมายหรือหนังสือแจ้งมาดีกว่าค่ะ และเราก็บอกเรื่องขอหนังสือแจ้งให้ออก และ เรื่องเงินชดเชย แต่ได้คำตอบมาว่า ขอคุยกับนายก่อน เพราะ ณ ตอนนั้นเจ้านายอยู่ต่างประเทศค่ะ โดยเราก็คุยกับพี่เค้าตามความเห็นของเรา โดยเราเองก็ขอข้อเท็จจริงจากพี่เค้าด้วย เพราะเราเองก็ไม่ได้มีความรู้อะไรมากมาย แค่เคยมีประสบการณ์ด้านบุคคลนิดๆหน่อยๆ
แต่แล้วจู่ๆเราก็เอะใจขึ้นมา เลยขอดูสัญญาจ้างงาน เพื่อที่จะได้อ่านเงื่อนไข ว่าที่เราเรียกร้องไปนั้นถูกต้องตามที่ควรหรือเปล่า คำตอบที่ได้มาคือ..." ไม่ให้ค่ะ " ... อ้าว !! เงิบสิค่ะ ทำไงดี แล้วจะรู้ได้ไงว่าอะไรคือสิ่งที่เราควรทำในกรณีที่ตัวเราเองเจอเหตุการณ์แบบนี้ เราต้องยอมรับชะตากรรมแล้วเดินออกมาตัวเปล่างั้นเหรอ ? คิดมากเลยค่ะนาทีนั้น ไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน ทำอะไรไม่ถูกเลย เราเลยขอ "จดหมายแจ้งให้ออกจากงาน" พี่เค้าก็บอกอีกว่า "ขอคุยกับนายก่อน" ณ นาทีนั้นเราทำอะไรไม่ได้เลย ได้แต่นั่งเคลียร์งานไป น้ำตาตกในไป...
(ใกล้จบแล้วค่ะ เรื่องยาวนิดนึง)
และจุดที่พีคมากที่สุด คือ จุดนี้ค่ะ...
เวลาประมาณเกือบๆ 1 ทุ่ม (เวลาเลิกงาน 6 โมงเย็น แต่เราอยู่เคลียร์งานให้พี่หัวหน้างานอยู่ และกำลังเก็บของจะกลับบ้าน) พี่ฝ่ายบุคคลก็มาขอคุยกับเราค่ะ โดยหัวข้อที่คุยคือ " จะไม่จ่ายเงินชดเชยให้ แต่จะให้เราทำงานต่อถึง 25 พฤษภา และถึงตอนนั้นให้เราเขียนจดหมายลาออกให้บริษัทฯ...ถ้าจะไปสมัครงานก็จะหักเงิน"
นาทีนั้น ความรู้สึกไม่ใช่ฟ้าผ่าค่ะ แต่เหมือนโดนยิงกลางหน้าผากแล้วเอาสำลีมาซับแผลให้... เจ็บมาก...เซจนล้มนั่งพับเพียบเลยค่ะ หน้าชา สมองเบลอเลย...อดกลั้นน้ำตาไว้...เสียใจมาก...นี้หรือคือข้อเสนอ เราตอบไม่รับข้อเสนอค่ะ เราขอออกเลย เราเคลียร์งานให้แล้ว เราขอหนังสือแจ้งผลการทำงาน หรือหนังสือรับรองอะไรก็ได้... สิ่งที่ได้มาคือคำตอบเดิมค่ะ "ขอคุยกับนายก่อน" เราไม่โกรธพี่ฝ่ายบุคคลนะค่ะ แต่เราเองก็แจ้งข้อเท็จจริงไป
ต้องขอโทษด้วยนะค่ะ ที่ร่ายมาซะยาวเลย
ในกรณีแบบนี้ เราควรจะทำอย่างไรค่ะ เพราะตอนนี้เราไม่มีอะไรติดตัวมาเลย หนังสือเอกสารต่างๆจากบริษัทฯ ขอไปไม่ได้เลยสักอย่าง ถ้าเราผิดจริงๆก็ขอความคิดเห็นและคำชี้แจงในทางที่ถูกต้อง ด้วยความสุภาพด้วยนะค่ะ
ขอบพระคุณค่ะ