เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด : ราชันย์ที่รอวันทวงบัลลังก์


(credit : mtufc.com)


กิเลนผยอง .. เมืองทอง ยูไนเต็ด บุกเข้าไป เอ้า!! ลุยเข้าไป เมืองทอง


ย้อนกลับไปราวปี พ.ศ. 2553 ผมเคยได้ไปสัมผัสยอดทีมย่านปากเกร็ด ซึ่ง ณ ตอนนั้นต้องถือเป็นทีมฟุตบอลอาชีพ ที่มีระบบการจัดการอย่างมืออาชีพ ทั้งในด้านการโฆษณา, การตลาด รวมถึงบุคลากรที่มีคุณภาพอยู่อย่างคับคั่ง อีกทั้ง ณ ตอนนั้นยังเป็นทีมที่อยู่ในระดับ Top ของประเทศด้วยระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี ที่สำคัญความน่าทึ่งของทีม ๆ นี้ คือ การที่ใช้เวลาเพียง 3 ปี กระโดดจาก ดิวิชั่น 2 มาคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศได้


เมืองทอง ยูไนเต็ด ชุดแชมป์ปี 2553
(credit : thaipremierleague.co.th)


ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังมีกลุ่มแฟนบอล ที่เรียกตัวเองว่า "อุลตร้าเมืองทอง" คอยสนับสนุนตลอดทั้งในบ้านและนอกบ้านเป็นที่น่าอิจฉาของหลาย ๆ ทีม ณ ขณะนั้นเลยก็ว่าได้


อุลตร้าเมืองทอง
(credit : pakkretlive.com)


เอาละครับ .. ทีนี้เรามาลองย้อนเวลาไปทำความรู้จักกับ ทีมเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ยอดทีมย่านปากเกร็ดกันแบบคร่าว ๆ กันบ้างครับ

ทีมเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด เริ่มก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2532 โดยผู้ก่อตั้งคือ นายวรวีร์ มะกูดี (ปัจจุบันดำรงตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย) โดยใช้ชื่อว่า ทีมโรงเรียนหนองจอกพิทยานุสสรณ์ โดยเริ่มเล่นจากรายการถ้วยพระราชทาน ง ลีกสมัครเล่นอันดับล่างสุดของประเทศไทย และค่อย ๆ ไต่เต้าขึ้นมา จนในช่วงที่ทีมอยู่ในระดับดิวิชั่น 1 ฤดูกาล 2545 - 2546 ทีมโรงเรียนหนองจอกพิทยานุสสรณ์ ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น สโมสรฟุตบอลไข่มุกดำหนองจอก โดยมีนายวีระ มุสิกพงศ์ เข้ามาบริหารทีม


สโมสรฟุตบอลไข่มุกดำหนองจอก
(credit : CRAZY_MAN ภารโรงเอ ณ เมืองทอง)


แต่เพียงแค่ปีเดียวเท่านั้น เมื่อทีมไม่ประสบความสำเร็จ นายวีระ ก็ได้วางมือในการบริหารทีมไป และมีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารชุดใหม่ อีกทั้งเปลี่ยนชื่อทีมเป็น "สโมสรฟุตบอลหลักทรัพย์โกลเบล็ค หนองจอก" ในฤดูกาล 2546-2547 แต่ผลงานก็ยังไม่ดีขึ้นจนร่วงตกชั้นไปเล่นในถ้วยพระราชทาน ข ฤดูกาล 2547-2548 และกลับไปใช้ชื่อ ทีมโรงเรียนหนองจอกพิทยานุสสรณ์  แต่ผลงานก็ยังลุ่ม ๆ ดอน ๆ เหมือนเดิม


ระวิ โหลทอง
(credit : smmonline.net)


ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการจัดการแข่งขันของลีกภายในประเทศ ได้มีการก่อตั้งลีกดิวิชั่น 2 โดยการนำทีมจากถ้วยพระราชทาน ข และ ค มาผสมกันและแข่งขันในฤดูกาล 2549-2550 (ปีที่ไทยพรีเมียร์ลีก รวมกับ โปรวิเชี่ยนลีก) ซึ่ง ณ ปีนี้เอง เป็นจุดเริ่มต้นของ "กิเลนผยอง" โดยการเข้ามาบริหารงานของ นายระวิ โหลทอง ที่รับบทประธานสโมสร พร้อมเปลี่ยนชื่อจาก "ทีมโรงเรียนหนองจอกพิทยานุสสรณ์" เป็น "สโมสรเมืองทอง หนองจอก ยูไนเต็ด"


สโมสรเมืองทอง หนองจอก ยูไนเต็ด
(credit : phuketindex.com)


และภายใต้การบัญชาทัพของ โรเบิรต์ โปรคูเรอร์ ผู้จัดการทีมฝีมือดีชาวเบลเยี่ยม และ "โค้ชนพ" นพพร เอกศาสตรา อดีตลูกหม้อจากกรุงเทพคริสเตียนเข้ามากุมบังเหียนกิเลนตัวนี้ พวกเขาก็เริ่มไล่ล่าความสำเร็จ ด้วยการเถลิงบัลลังก์ แชมป์ลีกดิวิชั่น 2 ฤดูกาล 2550 ภายใต้เงื่อนไขเงินลงทุน 3 ล้านบาท และเลื่อนชั้นสู่ดิวิชั่น 1 ภายใน 1 ฤดูกาล นับเป็นการเริ่มต้นความสำเร็จที่บ่งชี้ความสามารถของการบริหารทีมได้อย่างดีเยี่ยม


โรเบิร์ต โปรคูเรอร์
(credit : goal.com)



นพพร เอกศาสตรา
(credit : manuclubs.com)


ต่อมาในลีกดิวิชั่น 1 ฤดูกาล 2551 ทางเมืองทองฯ ได้เปลี่ยนเฮดโค้ชจาก นพพร เอกศาสตรา เป็น "โค้ชหมี" สุรศักดิ์ ตังค์สุรัตน์ เข้ามากุมบังเหียนกิเลนตัวนี้ต่อ ซึ่งเขาก็ไม่ทำให้ผิดหวังแต่อย่างใด โดยการจบฤดูกาลด้วยการคว้าแชมป์ลีกดิวิชั่น 1 มาครอง พร้อมสิทธิ์เลื่อนชั้นขึ้นไปเล่นในลีกสูงสุดระดับประเทศ อย่าง ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก 2552 เป็นครั้งแรกของพวกเขาได้สำเร็จ


สุรศักดิ์ ตังค์สุรัตน์
(credit : สุรศักดิ์ ตังสุรัตน์)


จากนั้นพวกเขาได้ทำการเปลี่ยนแปลงทีมครั้งใหญ่ โดยการดึงผู้เล่นฝีเท้าดีกรีทีมชาติ, แข้งต่างชาติ และ เฮดโค้ชระดับพระกาฬอย่าง อรรถพล ปุษปาคม, ซูมาโฮโร่ ยาย่า, พิชิตพงษ์ เฉยฉิว, มุสซา ซิลลา, ณัฐพร พันธุ์ฤทธิ์ ฯลฯ โดยรวมกับผู้เล่นเก่าอย่าง ธีรศิลป์ แดงดา, กวิน ธรรมสัจจานันท์ สอดผสมผสานเขย่ากันได้ที และพวกเขาก็สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการฟุตบอลไทย โดยการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดในประเทศเป็นครั้งแรกของสโมสร และเป็นสโมสรเดียวที่สามารถคว้า 3 แชมป์ภายใน 3 ปี


ซูมาโฮโร่ ยาย่า
(credit : siamsport.co.th)


จากนั้นในปีต่อมา พวกเขาก็ป้องกันแชมป์ และสร้างสถิติ คว้าแชมป์สองสมัยติดต่อกัน เทียบเท่า บีอีซี เทโรศาสน, ธนาคารกรุงไทย และ ทหารอากาศ และเริ่มไล่ล่าความสำเร็จ จนเรียกได้ว่าช่วงนั้นกลายเป็น "ยุคทองของกิเลนผยอง" ไปเลยก็ว่าได้ ด้วยการคว้าถ้วยพระราชทาน ก. และได้อันดับ 3 (ร่วม) เอเอฟซีคัพ 2010, รองแชมป์ ไทยคม เอฟเอคัพ และสามารถป้องกันแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีกได้ 3 สมัยติดต่อกัน

ในระดับเอเอฟซีคัพ พวกเขาทำได้ดีที่สุด คือ การเข้ารอบตัดเชือกศึก เอเอฟซี คัพ 2010 พ่าย อัล อิตติฮัด ยอดทีมจากซีเรียไป ด้วยสกอร์รวม 2-1 โดยนัดแรกเล่นในบ้าน พวกเขาทำได้ดี ด้วยการเปิดธันเดอร์โดม เอาชนะ ไปก่อน ด้วยสกอร์ 1-0 แต่ก็ไม่สามารถทำได้สำเร็จ เมื่อบุกไปพ่าย อัล อิตติฮัด ด้วยสกอร์ 2-0 ทำให้ไม่สามารถที่จะสร้างประวัติศาสตร์อีกหน้านึงให้กับสโมสรได้ แต่นับได้ว่า กิเลนตัวนี้ได้พิสูจน์ตัวเองในระดับเอเซียได้อย่างดีเยี่ยม


เมืองทอง ยูไนเต็ด นัดบุกพ่าย อัล อิตติฮัด
(credit : siamsport.co.th)


ซึ่งต่อมาในช่วงปี พ.ศ. 2554 ได้มีการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในสโมสรแห่งนี้ ด้วยการเปลี่ยนผู้จัดการทีม ไล่ตั้งแต่ เรอเน เดอซาแยร์ เป็น คาร์ลอส โรเบิร์ต และเฮ็นริเก คาลิสโต อีกทั้งได้สโมสรเมืองทองฯ ยังได้สร้างสีสรรให้กับวงการฟุตบอลไทยลีก ด้วยการเซ็นสัญญาคว้าตัว "เดอะก็อด" ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ตำนานศูนย์หน้าของลิเวอร์พูล มาร่วมทีม ซึ่งต่อมาได้ควบตำแหน่งเป็น "ผู้เล่น+ผู้จัดการทีม" แต่ก็ยังทำผลงานไม่เข้าตาเมื่อจบด้วยอันดับที่ 3 ในฤดูกาลดังกล่าว และฟาวเลอร์ก็ได้ขอลาออกในตำแหน่งดังกล่าว


ร็อบบี้ ฟาวเลอร์
(credit : siamsport.co.th)


ในฤดูกาล 2555 นั้น สโมสรเมืองทอง หนองจอก ยูไนเต็ด ได้เปลี่ยนชื่อทีมเป็น "เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด" จากการเซ็นสัญญาเข้าเป็นผู้สนับสนุนของ ปูนซีเมนต์ไทย เจ้าพ่อธุรกิจซีเมนต์ชั้นแนวหน้าของประเทศ ด้วยมูลค่าสัญญาถึง 600 ล้านบาท เป็นเวลา 5 ปี มีการเปลี่ยนชื่อสนามจาก "ยามาฮ่า สเตเดี้ยม" เป็น "เอสซีจี สเตเดี้ยม" และนำเข้าผู้เล่นต่าง ๆ มากมาย อาทิ อัตนัน บาราคัท, มาริโอ ยูรอฟสกี้, เอกภูมิ โพธารุ่งโรจน์, มงคล นามนวด, เอดีวัลโด้ เอร์โมซา, เปาโล เรนเกิล รวมถึงการเซ็นสัญญาผู้จัดการทีมคนใหม่ อย่าง สลาวีซา โยคาโนวิช หรือ ยอคก้า (ปัจจุบันคุมสโมสรวัตฟอร์ด) และก็สามารถพาทีมคว้าแชมป์มาครองได้อีกครั้งในปีนั้น พร้อมสร้างสถิติ "ไร้พ่าย" ในฤดูกาลนี้เอง รวมถึงคว้าสิทธิ์รอบแบ่งกลุ่มศึก AFC Champion League ในปี 2013 อีกด้วย


สโมสรเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ชุดไร้พ่าย
(credit : goal.com)


ซึ่งใน AFC Champion League 2013 นั้นพวกเขาก็พบกับ "ความต่างในระดับเอเซีย" เมื่อรอบแบ่งกลุ่มพวกเขาตกรอบด้วยการมีเพียง 1 คะแนน ยิงได้ 4 ประตู และเสียถึง 17 ประตู แต่ก็ยังประคองตัวเข้าป้ายรองแชมป์ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีกในปีดังกล่าวได้ แต่ในปีต่อมาพวกเขาทำผลงานได้น่าผิดหวัง ด้วยการจบอันดับที่ 5 ในไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก และ ไม่ผ่านเข้ารอบแบ่งกลุ่ม AFC Champion League 2014 ด้วยการบุกไปพ่ายเมลเบิร์น วิคตอรี่ ไปด้วยสกอร์เฉียดฉิว 2-1

ปัจจุบัน ทีมเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด พรั่งพร้อมไปด้วยผู้เล่นชั้นดี ไม่ว่าจะเป็น กวิน ธรรมสัจจานันท์, ดัสกร ทองเหลา, ธีรศิลป์ แดงดา, สารัช อยู่เย็น, วุฒิชัย ทาทอง, อาทิตย์ ดาวสว่าง, ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์, ทศพล ลาเทศ, มาริโอ ยูรอฟสกี, คลีตัน ซิลวา และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งพร้อมที่จะ "ทวงบัลลังก์แชมป์ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก" กลับมาได้ทุกเวลา

แต่ด้วยเสียงครหามากมายจากแฟนบอลทั่วประเทศถึงการเอื้อประโยชน์ต่าง ๆ ให้กับสโมสรแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินที่ลำเอียง, การเอื้อประโยชน์จากคณะกรรมการผู้ตัดสินฟุตบอลแห่งประเทศไทย, สายสัมพันธ์ระหว่างคนในสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยกับผู้บริหารสโมสร รวมถึงการควบคุมแฟนบอล "ฮาร์ดคอร์" ของพวกเขา ที่ยังดูไม่ค่อยเป็นผลสักเท่าไหร่

หรือว่าสิ่งต่าง ๆ ที่กล่าวไปข้างต้น จะเป็นเหมือน "อุปสรรค" ที่จะขัดขวางกิเลนตัวนี้ไม่ให้ประสบความสำเร็จ? ซึ่งโดยความเห็นส่วนตัวแล้ว หาก "ผู้ใหญ่บางคน" ยังทำอะไรที่มันดู "น่าเกลียด" ที่เหมือนเป็นการ "เอื้อประโยชน์ให้กับสโมสร" เชื่อเถอะครับ สิ่ง ๆ นั้นไม่ได้ "ค้ำจุน" สโมสรในระยะยาวหรอก มันกลับจะทำให้สโมสรที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ "ด้อยค่า" ลงอย่างชัดเจน เนื่องจากฝีมือผู้ไม่ประสงค์ดีแค่ไม่กี่คน

ช่วยกันเถอะครับ .. ช่วยกัน "ฟื้นคืนชีพให้กับกิเลนตัวนี้" ให้เป็นคู่แข่งของทีมระดับ Top ของประเทศโดยปราศจากข้อครหาจากทั่วสารทิศอีกครั้ง และผมอยากที่จะจำพวกเขาในฐานะ "ตำนาน" มากกว่า "ผู้ร้าย" ที่สร้างความเสื่อมเสียให้กับวงการฟุตบอลไทย

เพราะนี่คือสโมสรแรกที่ทำให้ผมรู้จัก "การเชียร์สุดมันส์ของเหล่าอุลตร้าและการเล่นฟุตบอลระดับอาชีพสุดเร้าใจของพวกเขา" .. กิเลนผยอง เมืองทอง ยูไนเต็ด ครับ

ผิดพลาดประการใดขออภัยไว้ ณ ที่นี้
ปอปฏิเวธ

คุยกันนึดนึง : ตอนแรกผมกะว่าจะเขียนเรื่องเกี่ยวกับฟุตบอลหญิงทีมชาติไทย แต่ด้วยความที่ผมมีเวลารวบรวมข้อมูลน้อย อีกทั้งต้องยอมรับเลยว่า ไม่เคยนั่งดูฟุตบอลหญิงทีมชาติไทยแบบจริง ๆ จัง ๆ เลย เลยมิกล้าที่จะมาเขียนเป็นบทความ อาจจะต้องรวบรวมข้อมูล + นั่งดูสักพักนึง และอีกอย่าง ที่ผมเลือกหยิบเมืองทองฯ ขึ้นมาร้อยเรียง ด้วยเพราะความที่เป็นทีมใกล้บ้าน อีกทั้ง เคยเป็นหนึ่งคนที่ถูกร่ายล้อมด้วยขุนพลอุลตร้าเมืองทอง เท่านั้นเองครับ หวังว่าสักวันผมจะได้กลับไปยัง "บ้าน" หลังนี้ และได้รับการต้อนรับอย่างอุ่นหนาฝาคั่งจากบรรดากองเชียร์อุลตร้าเมืองทอง เหมือนที่ผมเคยได้รับเมื่อ 5-6 ปีก่อนอีกครั้งครับ ขอบคุณครับ

ป.ล. มันจะกลายเป็นกระทู้ล่อเป้าไหมครับเนี่ย - -" 555+ ไม่เอานะ ๆ ๆ ๆ แฟนบอลไทยเหมือนกันครับ รักกัน ๆ

ป.ล. ท่านใดอยากลองอ่านบทความเก่า ๆ ของผม ขอเชิญที่ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ และเลือกจิ้มดูเลยครับ พอดีเอา Link มาวางได้ไม่หมด มันเกิน 10,000 ตัวอักษรครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่