The under dog story
เรื่องของผมอาจจะไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจที่สุด อาจจะไม่ใช่เรื่องที่อ่านแล้วได้กำลังใจที่สุด หรืออ่าจบแล้วจะร้องว่า OMG!! พระเจ้ามากสวดยวดมาก.....เอาเป็นแค่เรื่องของคนที่มีฝันแล้วพยายามที่จะทำให้ได้เท่านั้น ชีวิตผมเป็นชีวิตลูกคนโต ในพี่น้องสามคน ถูกเลี้ยงแบบ ชนชั้นกลางที่พยายามถีบตัวเองในยุค 70-80 ต้องประหยัด และประหยัด มีหลายเรื่องที่ในสมัยนั้นเราตั้งคำถามว่า ทำไมต้องประหยัดอะไรขนาดนั้น...ผมเองก็ได้เรียนโรงเรียนแถวบ้านซึ่งก็ห่างจากบ้านประมาณกิโลนึง ตอนที่ผมขึ้นชั้นปอ หนึ่งจำได้ดีไม่เคยลืม เพื่อนๆทุกคนใส่ชุดนักเรียนประถม ที่กางเกงสีกากี เสื้อขาว.....แต่ผมไม่ใช่!
…..ในตอนนั้นผมโครตฮิปเตอร์เลยคือใส่ชุดนักเรียนอนุบาลสอง....ชุดเอี๊ยมที่มีกระดุมรอบตัว กางเกงสีน้ำเงิน..:ซึ่งแนวและประหลาดโครตๆในสายตาครูและเพื่อนๆ ผมเก็บงำคำถามนี้ถามแม่ผมเสมอว่า “ทำไม ไม่เปลี่ยนชุดให้เหมือนเพื่อนๆ” คำตอบที่แม่ผมมีให้คือ “เอาน่า!! เดี๋ยวแม่จะย้ายโรงเรียนแล้วทนเอาหน่อยแค่ปีเดียว” แค่ปีเดียวนี่นะ....ทุกอย่างเลยจบตั้งแต่ตอนนั้น.........
การย้ายโรงเรียก็ได้เกิดขึ้นจริงๆ....จากเด็กปอหนึ่งกำลังจะขึ้นปอสอง...ย้ายไปที่ใหม่กลายเป็นเด็กใหม่ที่โข่งขึ้นกว่าเดิม เพราะทางโรงเรียนบอกว่า สมองผมไม่เทียบขั้นเด้กปอหนึ่งขึ้นปอสอง....ต้องอยู่ ปอเตรียมก่อน...กรรมเลยที่นี้....แก่ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา.....ดีใจจนน้ำตาไหล....แต่ รร.เอกชนที่เข้าไปใหม่นั้นเคร่งคัดเรื่องระเบียบมากสารพัด ตอนนั้นผมเองก็ได้ใส่ชุดเหมือนชาวบ้าน อย่างน่าภาคภูมิ....
.....ที่นั่นผมทำกิจกรรมมากกว่าการเรียน แต่ก็ไม่เคยเรียนตกซ้ำชั้น เล่นกีฬาสารพัด เป็นนักวิ่งระยะสั้น เป็นนักว่ายน้ำ เป็นนักบอล จนจบประถมหกด้วยเกรดอันน่าสะพรึ่ง!!! แต่ช่างเถอะพอขึ้นชั้นมอหนึ่งก็เล่นกีฬามากกว่าเรียนเหมือนเดิม....ซึ่งตรงนี้นี่เองที่ทำให้เป็นข้อดีที่วันนึงผมต้องขอบคุณความซนของผม....
....การเรียนผ่านไปอย่างสนุกสนานในระดับมัธยมต้นและปลาย จบมาด้วยเกรดเฉลี่ยที่เรียกได้ว่า พ่อแม่น้ำตาซึ่ม..ว่านี่เหรอคนที่ส่งเรียน.....ผมเรียนจบปริญญาตรีที่สถาบันราชภัฎแห่งหนึ่งใกล้ๆสวนสัตว์กลางในเมือง.....หลังจากทุกอย่างเรียบร้อยรับปริญญาอย่างที่แม่พ่อวาดหวัง.....ทำงานได้ปีกว่าๆก็พบว่าป่วย!! และไม่ใช่แค่อาการหวัด หรือท้องเสียธรรมดาสามัญ....
…..แต่มันเป็น...”ไตวายเรื้อรัง” ชนิดที่ไม่สามารถรักษาหายและต้องกินยาตลอดชีวิตจะหาไม่....ซึ่งบอกเลยตอนนั้นมันไม่สามารถจะเข้าใจอะไรได้สักอย่างว่าไอ้ที่เป็นอยู่นี่มันคืออะไร....ไม่มีความรู้ ไม่มีอะไรเลยทั้งบ้าน...เรียกได้ว่า งงกันทั้งคณะ...แต่อย่างน้อยๆในขณะนั้น..ก็ยังมีความโชคดีในโชคร้าย
....ในช่วงนั้นนับว่าเป็นช่วงชีวิตที่ยากแสนยาก...ลำบากแสนสาหัสทั้งบ้าน ทั้งพ่อแม่..ที่เคร่งเครียด ผมเองก็เครียด อย่างที่บอกผมยังมีคู่ชีวิตซึ่งตอนนั้นเราเป็นเพียงแฟนกัน ซึ่งคบกันได้ไม่ถึงสามปี..เอเองไม่ยอมแพ้และเป้นคนที่หาแสงสว่างให้กับครอบครัวผมและตัวผมเอง....เธอค้นคว้าทุกอย่างซึ่งในสมัยนั้น internetกากมากและยังไม่มีใครใช้เป็นหรือรู้จักมันด้วยซ้ำ.....เธอหาข้อมูลอ่านทุกอย่างคุยกับหมอและที่สำคัญเชื่อว่าเราต้องผ่านมันไปได้.....
....สามปีที่ผ่านไปของผมนอนฟอกเลือดอยู่ที่เครื่องไตเทียม ด้วยความหวังที่น้อยนิดว่าจะได้เปลี่ยนไต จนวันนึงรุ่นพี่ท่านนึงโทรมาคุยและได้พูดถึงเรื่องการเปลี่ยนไตขึ้นมา....วันนั้นเองที่ทำให้ผมมีความหวังมากขึ้น จนวันนึงน้องชายร่วมสายเลือดมานั่งคุยกับผมว่า “ต้องการบริจาคไตให้พี่ข้างนึง”....ซึ่งผมเองตอนนั้นบอกได้คำเดียวว่า “ไม่อยากได้เพราะอยากจะรอไตบริจาคมากกว่า” แต่ก็ถูกน้องชายปฏิเสธและให้สติว่า “ถ้าเขาป่วย....เป็นเสียเอง...ผมซึ่งเป็นพี่ชายเค้าก็คงต้องทำเช่นเดียวกัน”......หลังจากคำพูดนั้น....ทุกอย่างก็เข้ากระบวนการในทันที...........แล้วทุกอย่างกลับเปลี่ยนไปอีกครั้งนึง..ซึ่งครั้งนี้คือจุดเริ่ม..ที่ผมคิดว่าเหนื่อยและเหนื่อยมาก....
....
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
The under dog story เรื่องของคนชั้นล่าง
เรื่องของผมอาจจะไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจที่สุด อาจจะไม่ใช่เรื่องที่อ่านแล้วได้กำลังใจที่สุด หรืออ่าจบแล้วจะร้องว่า OMG!! พระเจ้ามากสวดยวดมาก.....เอาเป็นแค่เรื่องของคนที่มีฝันแล้วพยายามที่จะทำให้ได้เท่านั้น ชีวิตผมเป็นชีวิตลูกคนโต ในพี่น้องสามคน ถูกเลี้ยงแบบ ชนชั้นกลางที่พยายามถีบตัวเองในยุค 70-80 ต้องประหยัด และประหยัด มีหลายเรื่องที่ในสมัยนั้นเราตั้งคำถามว่า ทำไมต้องประหยัดอะไรขนาดนั้น...ผมเองก็ได้เรียนโรงเรียนแถวบ้านซึ่งก็ห่างจากบ้านประมาณกิโลนึง ตอนที่ผมขึ้นชั้นปอ หนึ่งจำได้ดีไม่เคยลืม เพื่อนๆทุกคนใส่ชุดนักเรียนประถม ที่กางเกงสีกากี เสื้อขาว.....แต่ผมไม่ใช่!
…..ในตอนนั้นผมโครตฮิปเตอร์เลยคือใส่ชุดนักเรียนอนุบาลสอง....ชุดเอี๊ยมที่มีกระดุมรอบตัว กางเกงสีน้ำเงิน..:ซึ่งแนวและประหลาดโครตๆในสายตาครูและเพื่อนๆ ผมเก็บงำคำถามนี้ถามแม่ผมเสมอว่า “ทำไม ไม่เปลี่ยนชุดให้เหมือนเพื่อนๆ” คำตอบที่แม่ผมมีให้คือ “เอาน่า!! เดี๋ยวแม่จะย้ายโรงเรียนแล้วทนเอาหน่อยแค่ปีเดียว” แค่ปีเดียวนี่นะ....ทุกอย่างเลยจบตั้งแต่ตอนนั้น.........
การย้ายโรงเรียก็ได้เกิดขึ้นจริงๆ....จากเด็กปอหนึ่งกำลังจะขึ้นปอสอง...ย้ายไปที่ใหม่กลายเป็นเด็กใหม่ที่โข่งขึ้นกว่าเดิม เพราะทางโรงเรียนบอกว่า สมองผมไม่เทียบขั้นเด้กปอหนึ่งขึ้นปอสอง....ต้องอยู่ ปอเตรียมก่อน...กรรมเลยที่นี้....แก่ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา.....ดีใจจนน้ำตาไหล....แต่ รร.เอกชนที่เข้าไปใหม่นั้นเคร่งคัดเรื่องระเบียบมากสารพัด ตอนนั้นผมเองก็ได้ใส่ชุดเหมือนชาวบ้าน อย่างน่าภาคภูมิ....
.....ที่นั่นผมทำกิจกรรมมากกว่าการเรียน แต่ก็ไม่เคยเรียนตกซ้ำชั้น เล่นกีฬาสารพัด เป็นนักวิ่งระยะสั้น เป็นนักว่ายน้ำ เป็นนักบอล จนจบประถมหกด้วยเกรดอันน่าสะพรึ่ง!!! แต่ช่างเถอะพอขึ้นชั้นมอหนึ่งก็เล่นกีฬามากกว่าเรียนเหมือนเดิม....ซึ่งตรงนี้นี่เองที่ทำให้เป็นข้อดีที่วันนึงผมต้องขอบคุณความซนของผม....
....การเรียนผ่านไปอย่างสนุกสนานในระดับมัธยมต้นและปลาย จบมาด้วยเกรดเฉลี่ยที่เรียกได้ว่า พ่อแม่น้ำตาซึ่ม..ว่านี่เหรอคนที่ส่งเรียน.....ผมเรียนจบปริญญาตรีที่สถาบันราชภัฎแห่งหนึ่งใกล้ๆสวนสัตว์กลางในเมือง.....หลังจากทุกอย่างเรียบร้อยรับปริญญาอย่างที่แม่พ่อวาดหวัง.....ทำงานได้ปีกว่าๆก็พบว่าป่วย!! และไม่ใช่แค่อาการหวัด หรือท้องเสียธรรมดาสามัญ....
…..แต่มันเป็น...”ไตวายเรื้อรัง” ชนิดที่ไม่สามารถรักษาหายและต้องกินยาตลอดชีวิตจะหาไม่....ซึ่งบอกเลยตอนนั้นมันไม่สามารถจะเข้าใจอะไรได้สักอย่างว่าไอ้ที่เป็นอยู่นี่มันคืออะไร....ไม่มีความรู้ ไม่มีอะไรเลยทั้งบ้าน...เรียกได้ว่า งงกันทั้งคณะ...แต่อย่างน้อยๆในขณะนั้น..ก็ยังมีความโชคดีในโชคร้าย
....ในช่วงนั้นนับว่าเป็นช่วงชีวิตที่ยากแสนยาก...ลำบากแสนสาหัสทั้งบ้าน ทั้งพ่อแม่..ที่เคร่งเครียด ผมเองก็เครียด อย่างที่บอกผมยังมีคู่ชีวิตซึ่งตอนนั้นเราเป็นเพียงแฟนกัน ซึ่งคบกันได้ไม่ถึงสามปี..เอเองไม่ยอมแพ้และเป้นคนที่หาแสงสว่างให้กับครอบครัวผมและตัวผมเอง....เธอค้นคว้าทุกอย่างซึ่งในสมัยนั้น internetกากมากและยังไม่มีใครใช้เป็นหรือรู้จักมันด้วยซ้ำ.....เธอหาข้อมูลอ่านทุกอย่างคุยกับหมอและที่สำคัญเชื่อว่าเราต้องผ่านมันไปได้.....
....สามปีที่ผ่านไปของผมนอนฟอกเลือดอยู่ที่เครื่องไตเทียม ด้วยความหวังที่น้อยนิดว่าจะได้เปลี่ยนไต จนวันนึงรุ่นพี่ท่านนึงโทรมาคุยและได้พูดถึงเรื่องการเปลี่ยนไตขึ้นมา....วันนั้นเองที่ทำให้ผมมีความหวังมากขึ้น จนวันนึงน้องชายร่วมสายเลือดมานั่งคุยกับผมว่า “ต้องการบริจาคไตให้พี่ข้างนึง”....ซึ่งผมเองตอนนั้นบอกได้คำเดียวว่า “ไม่อยากได้เพราะอยากจะรอไตบริจาคมากกว่า” แต่ก็ถูกน้องชายปฏิเสธและให้สติว่า “ถ้าเขาป่วย....เป็นเสียเอง...ผมซึ่งเป็นพี่ชายเค้าก็คงต้องทำเช่นเดียวกัน”......หลังจากคำพูดนั้น....ทุกอย่างก็เข้ากระบวนการในทันที...........แล้วทุกอย่างกลับเปลี่ยนไปอีกครั้งนึง..ซึ่งครั้งนี้คือจุดเริ่ม..ที่ผมคิดว่าเหนื่อยและเหนื่อยมาก....
....
(โปรดติดตามตอนต่อไป)