
สวัสดีทุกๆท่านชาวพันทิปนะครับ เป็นกระทู้แรกและรีวิวแรกเลยก็ว่าได้ในพันทิป
จั่วหัวมาเกี่ยวกับโคนันแต่จริงๆแล้วก็ไม่ได้เกี่ยวกับโคนันไปเสียทั้งหมดนะครับ (ฮา)
ก่อนจะเล่าไปถึงรายละเอียดอื่นๆผมขออนุญาตเล่าโอเว่อนิดๆ และอาจจะมีคำหยาบอยู่บ้างนะครับ
เพื่ออรรถรสในการอ่านอย่างเพลิดเพลินบันเทิงใจอย่างสูงสุด เด็กและสตรีมีครรภ์ที่ยังอายุไม่ถึง 18 ปี ควรได้คำแนะนำ
ส่วนภาพนั้นอาจจะไม่ได้สวยมากนะครับ เพราะไม่ได้เก่งเรื่องถ่ายรูปสักเท่าไหร่ ถ่ายแบบงูๆปลาๆไป
สำหรับการเดินทางครั้งนี้ไปกันทั้งหมด 5 คนครับ แล้วก็ 3 ใน 5 เป็นแฟนพันธุ์แท้โคนัน
ที่ออกรายการแฟนพันธุ์แท้ ก็คือพี่เทป (พิมพ์ชนก) สุดยอดแฟนพันธุ์แท้ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน
พร้อมกับพี่โบ้ (อมรพงศ์) พี่นุ่น (ณัฏฐา) แฟนพันธุ์แท้ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน แล้วก็มีกาฝาก
อีกสองคนก็คือผม และพี่ตั้ง ตากล้องหลักในการเดินทางครั้งนี้ (จริงๆมีกล้อง 4 คน แต่พี่ตั้งถ่ายสวยสุด)
คงไม่มีใครอยากรู้หรอกเนาะว่าพวกผมรู้จักกันได้ยังไง (ฮา) เพราะว่า... จริงๆแล้วพวกเราบางคนแทบไม่รู้จักกันเลย
คือแบบว่าต่างคนต่างกระเหี้ยนกระหือรือที่อยากจะไปญี่ปุ่นจนตัวสั่น แล้วรู้จักแค่ไม่กี่ปีเท่านั้นเอง เต็มที่ให้ 3 ปี
แต่ด้วยความชอบที่เหมือนกันคือการ์ตูนญี่ปุ่นทำให้เรารู้จักกันมากขึ้นและวางแผนมาประเทศญี่ปุ่นด้วยตัวเอง
(ทัวร์เทออะไรไม่สนใจทั้งนั้น!!! ไปแบบนี้แหละอิสระดี!!!)
หลังจากวางแผนกันมาประมาณ 1 ปีครึ่ง เอาล่ะ ถึงเวลาบินไปญี่ปุ่นกันสักที ในทริปนี้มีคนเคยไปญี่ปุ่นมาแล้วเพียง 2 คนเท่านั้นก็คือพี่เทป (ได้ไปญี่ปุ่นเพราะรางวัลในรายการแฟนพันธุ์แท้) พี่โบ้ (ดวงดีเหลือกิน ได้ไปเพราะชิงโชคจากบริษัทสัญญาณโทรศัพท์แห่งหนึ่ง)อีกสามคนไม่มีประสบการณ์อะไรทั้งสิ้น ถ้าสองคนข้างต้นล่อไปฆ่าก็คงไม่มีอะไรต้องสงสัย แล้วก็ในทริปนี้มีพี่เทปคนเดียวที่พอจะพูดภาษาญี่ปุ่นได้รู้เรื่องที่สุด เอาวะ ปัจจัยมีเท่านี้ก็ไปกันแบบนี้แหละ
(วันเดินทาง 9 เมษายน 2558)
พวกเรานัดกันที่สนามบินดอนเมือง 4 โมงเย็น เผื่อเวลาเช็ดอิน 4 ชั่วโมง พวกเรามาเจอกันด้วยความตื่นเต้น วันนั้นเป็นวันแรก
ที่ผมรู้จักพี่ตั้ง (ไม่เคยรู้จักพี่ตั้งเลยตั้งแต่เริ่มวางแผนเดินทาง รู้แค่ว่าเขาอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ แล้วก็โผล่มาวันไปเลย) ซึ่งพี่ตั้งเนี่ย
เป็นน้องพี่โบ้อีกทีครับ (น้องที่เคยไปเที่ยวด้วยกันนะ) ก็เลยชวนๆกันมาไปเที่ยวด้วยกัน
เช็คอินเสร็จตั้งแต่ 6 โมงเย็น รอขึ้นเครื่อง 2 ทุ่ม... ไฟล์ท

ดีเลย์ (เข้ โดนมันตั้งแต่ยังไม่ได้เดินทางเลยเหรอ)...
แล้วเราต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่มาเลย์เซีย ซึ่งเราใช้เวลาบินจากดอนเมืองไปกัวลาลัมเปอร์ประมาณ 2 ชั่วโมงนิดๆ แล้ววิ่ง
เหมือนวิ่งหนีตาย เพื่อทรานเฟอร์เครื่องไปญี่ปุ่น พอขึ้นเครื่องที่มาเลย์ได้สายตาของคนที่อยู่บนเครื่องบินก่อนแล้วน่ากลัวมาก
เหมือนเขาจะสื่อสารกับเราว่า "ไม่มาซะพรุ่งนี้กันเลยล่ะ กูนั่งจนดากกูจะเป็นส่วนหนึ่งของเบาะอยู่แล้ว" ก็อยากบอกเขาว่ากูรีบสุดๆแล้ว
ถ้าไม่พอใจก็ไปด่าสายการบินเอาแล้วกัน (สะบัดบ็อบ)
บนเครื่องบินก็โอเคนะครับในตอนแรกๆ สักพักผมก็ค่อนข้างเริ่มเจ็บเท้านิดๆเพราะรองเท้าที่ซื้อมาใหม่จาก Union Mall ไม่อยากบอกว่า
New Balance นะคร้าบ... ราคา 950 บาท ใส่แล้วโคตรเจ็บตีน ไม่ได้รับน้ำหนักอะไรกูเล๊ย!! ความผิดพลาดเพราะตอนมา กทม. ลืม
เอารองเท้าคู่เก่งมาด้วยเลยต้องมาหาซื้อใหม่ กะว่าจะไปซื้อพอถูไถที่ Union Mall แล้วไปหาซื้อใหม่ที่ญี่ปุ่นเอาอะไรแบบนี้... ยังไง
ก็แนะนำนะครับ New Balance ที่ Union Mall ราคา 950 บาท ไม่ต้องบอกมั้งครับว่าจริงหรือปลอม แข็งอย่างกับหิน เอาไปวางที่รางรถไฟ
ให้รถไฟวิ่งทับ ผมว่ารถไฟมีสิทธิ์ตกราง
ผ่านจากเรื่องรองเท้ามาที่บนเครื่องบินต่อเนื่องจากนี้เป็นไฟล์ทไปต่างประเทศไฟล์ทแรกในชีวิต หลังจากถอดรองเท้าแล้วผมรู้สึกดี้ด้ามาก
(ดีว่าเราเป็นคนเท้าไม่เหม็น) แล้วก็เนื่องด้วยความหิวก็เลยหยิบเมนูขึ้นมาดู (มันเสียบอยู่หลังเบาะด้านหน้า) โอ้โห อาหารเยอะเลย
สายการบินนี้ไม่ธรรมดาแล้วเราก็แลกเงินริงกิตมาเผื่อซื้อของบนเครื่องแล้วด้วย เอาล่ะได้เวลาหาอะไรเข้าท้องแล้วล่ะ
"พี่เทป พี่นุ่น กินอะไรไหม ชิกเก้นฮอทด็อกน่ากินนะเอาไหมคนล่ะอัน"
"เอาดิๆ" พี่เทปเอาด้วยแบบนี้สั่งเลยแล้วกัน
"Execute me" (ขอประทานโทษขอรับ) เรียกแอร์โฮสเตจโดยพลัน
"Yes, could i help you?" (ค่ะ, มีอะไรให้ช่วยเหลือคะ)
"I would like to order three chicken hot-dog please" (คือพวกเราอยากสั่งฮอทดอกไก่สักสามชิ้นน่ะครับ)
"I think we don't have chicken hot-dog here" (ฉันคิดว่าเราไม่มีฮอทดอกไก่บนเครื่องนี้นะคะ"
...สตั้น 4 วินาที เบาๆ...
ก็ในเมนูมีไง นี่หลอกลวงผู้บริโภคหรือไงวะ! เออ ไม่เป็นไรคิดในทางที่ดีมันอาจจะหมดก็ได้ เลยสั่งไปอีกสามอย่างเผื่อมันจะมี
สุดท้ายพวกเราสามคนได้อะไรมารู้ไหมครับ!!...น้ำเปล่าสามขวด... นอนๆ ตื่นที่ญี่ปุ่นแล้วค่อยหา-!! ที่หน้าทีหลังเอา
เมนูไปเผาไฟทิ้งนะโคตรไร้ประโยชน์เลย!!!

(ภาพถ่ายโง่ๆจากบนเครื่องครับ ก่อนลงที่คันไซ)
(วันแรกที่เหยียบแผ่นดินญี่ปุ่น วันที่ 10 เมษายน 2558)
หลังจากใช้เวลาเดินทางตั้งแต่ออกจากไทยมาก็กินเวลาร่วมแปดชั่วโมงเห็นจะได้ เครื่องบินของพวกเราทั้งห้าคนก็แลนดิ้งลงที่
สนามบิน KIX (สนามบินคันไซ) ที่โอซาก้า สนามบินนี้เคยถูกกล่าวถึงในโคนันเล่ม 25 นะครับ สามารถไปเปิดอ่านกันได้
พอเครื่องแตะพื้นปุ๊ปสิ่งแรกที่ทำคือตรวจสอบสภาพอากาศจากสายตาคร่าวๆและแอพริเคชั่นในโทรศัพท์ วันที่ 10 เมษายน 2558
ที่โอซาก้าอากาศอยู่ 11 องศา "คงจะหนาวมาก" ตอนนั้นคิดในใจเพราะยังไม่ได้ไปโดนอากาศจริงๆข้างนอก บวกกับฝนที่ตกปรอยๆ
ดูเก๋ไก๋ไปอีกแบบ หลังจากที่ตรวจสอบอากาศเสร็จแล้วก็ไปที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง
ตัวผมเองไม่เคยเจอด่านตรวจคนเข้าเมืองมาก่อนเลยตื่นเต้นนิดหน่อย แต่ก็คิดว่าเอกสารพร้อมไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ปัญหาเดียวตอนนั้นคือคนเยอะมาก ที่ยืนตรงนั้นน่าจะมีคนไทยอยู่ประมาณ 30 เปอร์เซ็น ที่เหลือก็จะเป็นชนชาติอื่นปะปนกันไป ด่านตรวจก็มีหลายช่องมาก พวกเราทั้ง 5 คนก็แยกกันไปเพื่อความรวดเร็ว ใครเสร็จก่อนก็ไปรออีกฝากหนึ่ง ตัวผมนั้นต่อแถวอยู่ข้างหลังอาซิ่มคนหนึ่งน่าจะมากับทัวร์ดูจากพาสปอร์ตแล้วน่าจะเป็นคนไทเปย์ พอถึงคิวแก แกก็เดินไปที่หน้าเค้าท์เตอร์ซึ่งมีเจ้าหน้าที่นั่งอยู่คอยซักถามหรือตรวจสอบเอกสารแล้วก็ให้สัญญาณให้ประทับลายนิ้วมือบนเครื่องอ่านลายนิ้วมือ โดยปกติแล้วเครื่องนี้ต้องแช่นิ้วจนกว่าเครื่องจะให้สัญญาณว่าเรียบร้อย แต่อาซิ่มแกไม่ทำอย่างนั้นครับ แกเอานิ้วโป้งทั้งสองข้างของแกแตะที่เซ็นเซอร์เพียงเศษเสี้ยวของวินาทีเท่านั้น แกทำอยู่อย่างนั้นอยู่ประมาณ 8 ครั้งเห็นจะได้ จนมีลุงคนหนึ่ง(น่าจะเป็นผู้นำทัวร์)จับมืออาซิ่มแปะลงเซ็นเซอร์แล้วยึดมืออาซิ่มไว้ไม่ให้ยกออกจนกว่าเครื่องจะอ่านเสร็จ กลายเป็นว่าผมเป็นคนสุดท้ายใน 5 คนที่ผ่านตรวจคนเข้าเมืองไปได้ กูล่ะจะบ้าตาย...
หลังจากทานอาหารในสนามบินเสร็จแล้วก็พากันเดินไปที่ทางออก ก่อนที่เราจะออกเราก็ลืมไปกันไปเลยว่า... มันหนาว 11 องศานะ
แล้วก็มีฝนปรอยๆด้วย ด้วยความที่เรากำลังดี๊ด๊ากันอยู่เราก็เดินมาถึงประตูอัตโนมัติเพื่อจะออกไปข้างนอกสนามบิน สิ่งแรกที่เราสัมผัสได้
ก็คือ...
ฟริ้ว~~~ (เสียงลมพัดผ่านใบหน้า และแกนกลางของกระดูก)
เหมือนได้ยินเสียงราชินีเอลซ่าร้องเพลง Let It Go อยู่เบื้องหน้า
โคตรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรร!!!
หนาววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว!!!
เลยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!
จะหนาวไปไหน!! ทั้งหนาวทั้งเปียก!! อะไรจะต้อนรับกันอบอุ่นแบบย้อนทางได้ขนาดนี้!!!

(จากในภาพจะเป็นด้านหน้าชั้น 2 ของสนามบินคันไซนะครับ ขวามือจากในภาพนั้นจะเป็นที่ขายตั๋วหรือแลกตั๋ว JR แต่เป็นด้านหลังนะครับต้องเดินอ้อมไปอีกนิดหน่อย)
วันแรกก็เจออากาศเหน็บหนาวเข้าเนื้อ ไม่เป็นไรเดี๋ยวก็ชินๆ หลังจากที่ชินกับอากาศได้สักพักพวกเราก็ไปเอา JR Pass ที่ซื้อไว้จากไทย
ที่บริเวณด้านหน้าสนามบิน ซึ่งจะเป็นออฟฟิศของ JR อยู่ที่นั่นเลยครับสะดวกหาไม่ยากด้วย อ้อ สำหรับมือใหม่ที่กังวลเรื่องรถไฟ
ในญี่ปุ่นกลัวจะไปมาไม่ถูก JR Pass ช่วยย่นระยะเวลาเปลี่ยนรถให้ท่านได้นะครับ ดีกว่าจะไปยืนงงไม่รู้จะไปทางไหนที่หน้าป้ายรถไฟ
พวกผมซื้อจากไทยราคา 7,600 บาท (อันนี้ลดจากราคาปกตินะครับ) ซึ่งสามารถใช้ได้ 7 วัน สามารถขึ้น-ลง รถไฟสายไหนก็ได้ของ JR
แม้แต่ชินกังเซ็นเลยทีเดียว

(อันนี้เป็นตั๋ว JR Pass ที่ซื้อจากไทย ต้องเอาไปแลกที่นู่นอีกทีครับ)

(พอแลกแล้วด้านหน้าจะเป็นแบบนี้)

(ด้านหลังจะเป็นแบบนี้ครับ อีกสองใบเล็กนั่นก็เป็นตั๋วชินกังเซ็นที่ใช้คู่กับ JR Pass ครับ เวลาเราจะไปขึ้นชินกังเซ็น เราต้องไปแจ้งตรงที่จำหน่ายตั๋วชินกังเซ็นก่อน แล้วเขาจะออกตั๋วเล็กนั่นมาให้อีกที ปกติเขาจะเก็บคืนหลังไปถึงปลายทางแล้ว แต่นี่ขออนุญาตเจ้าหน้าที่เขาเก็บไว้ครับตอนไปเกียวโต)
หลังจากที่ได้ JR Pass ป้ายต่อไปคือไปที่พักที่ทตโตริ โดยนั่งรถไฟจากสนามบินไปลงที่ชินโอซาก้าแล้วต่อรถซูเปอร์โฮคุโตะไปยังทตโตริ สำหรับใครที่ JR Pass ในส่วนนี้จะเสียค่าโดยสารเพิ่มนะครับ ประมาณ 1,720 เยน เพราะว่าสายที่เราจะไปมันเป็นสายที่เป็นของสัมประทานของเจ้าอื่นแต่ JR ของวิ่งด้วย เราก็ต้องเสียค่าส่วนต่างนี้ด้วยนะครับ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงเศษๆเราก็ถึงสถานีคุราโยชิ สำหรับคุราโยชินั้นใช้เวลาสามชั่วโมงจากโอซาก้าครับ ถือว่าไกลเอาเรื่องอยู่แต่นั่งรถไฟไปก็เห็นอะไรหลายๆอย่างครับ ความเงียบสงบ ธรรมชาติ แล้วก็วิธีชีวิตอีกด้วย แต่ก็เห็นแค่แปปเดียวครับ เพราะผมหลับหลังจากขึ้นรถไฟได้หนึ่งชั่วโมง (ฮา) จากนั้นก็มาตื่นที่คุราโยชิเลย

(รถไฟไปคุราโยชิว่างมาก นึกว่าเหมามาทั้งขบวน)
ที่เลือกมาพักที่คุราโยชินั้น เพราะว่าที่พักที่เราจองนั้นมีที่มาที่ไปครับ เพราะที่พักที่เราไปพักนั้นเคยปรากฎในโคนันเล่มที่ 69 ครับ เป็นฉากฆาตกรรมในออนเซ็นของโรงแรมเห่งนี้ พอพวกเรารู้ว่าไอ้โรงแรมที่ว่านั้นมีอยู่จริงก็โดนบรรจุเข้ามาทริปทันที่ว่าต้องไปพัก โชคดีอีกอย่างก็คือผมรู้จักคนไทยที่เคยมาพักที่นี่แล้ว พี่เขาใจดีมากครับเป็นธุระจองให้ เพราะพี่เขาเก่งภาษาญี่ปุ่นมากแล้วก็ชอบโคนันเหมือนๆกัน ขอกราบขอบพระคุณมาก ณ โอกาสนี้ด้วยนะครับ (พี่เขาเป็นแอดมินเว็บบอร์ด CJRTeashop ครับ ถือว่าเป็นแหล่งข้อมูลโคนันชั้นเลิศเลยก็ว่าได้)
ยังไงก็ติดตามต่อในคอมเม้นท์ถัดไปครับผม... รับรองความฮานับและภาพอีกเป็นขบวนนับจากนี้ (นี่ยังไม่หมดวันแรกเลยนะ)
กระทู้ใหม่ ขอแก้เป็น CR ครับ
[CR] เที่ยวญี่ปุ่น 11 วัน กับแฟนพันธุ์แท้โคนัน!!
จั่วหัวมาเกี่ยวกับโคนันแต่จริงๆแล้วก็ไม่ได้เกี่ยวกับโคนันไปเสียทั้งหมดนะครับ (ฮา)
ก่อนจะเล่าไปถึงรายละเอียดอื่นๆผมขออนุญาตเล่าโอเว่อนิดๆ และอาจจะมีคำหยาบอยู่บ้างนะครับ
เพื่ออรรถรสในการอ่านอย่างเพลิดเพลินบันเทิงใจอย่างสูงสุด เด็กและสตรีมีครรภ์ที่ยังอายุไม่ถึง 18 ปี ควรได้คำแนะนำ
ส่วนภาพนั้นอาจจะไม่ได้สวยมากนะครับ เพราะไม่ได้เก่งเรื่องถ่ายรูปสักเท่าไหร่ ถ่ายแบบงูๆปลาๆไป
สำหรับการเดินทางครั้งนี้ไปกันทั้งหมด 5 คนครับ แล้วก็ 3 ใน 5 เป็นแฟนพันธุ์แท้โคนัน
ที่ออกรายการแฟนพันธุ์แท้ ก็คือพี่เทป (พิมพ์ชนก) สุดยอดแฟนพันธุ์แท้ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน
พร้อมกับพี่โบ้ (อมรพงศ์) พี่นุ่น (ณัฏฐา) แฟนพันธุ์แท้ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน แล้วก็มีกาฝาก
อีกสองคนก็คือผม และพี่ตั้ง ตากล้องหลักในการเดินทางครั้งนี้ (จริงๆมีกล้อง 4 คน แต่พี่ตั้งถ่ายสวยสุด)
คงไม่มีใครอยากรู้หรอกเนาะว่าพวกผมรู้จักกันได้ยังไง (ฮา) เพราะว่า... จริงๆแล้วพวกเราบางคนแทบไม่รู้จักกันเลย
คือแบบว่าต่างคนต่างกระเหี้ยนกระหือรือที่อยากจะไปญี่ปุ่นจนตัวสั่น แล้วรู้จักแค่ไม่กี่ปีเท่านั้นเอง เต็มที่ให้ 3 ปี
แต่ด้วยความชอบที่เหมือนกันคือการ์ตูนญี่ปุ่นทำให้เรารู้จักกันมากขึ้นและวางแผนมาประเทศญี่ปุ่นด้วยตัวเอง
(ทัวร์เทออะไรไม่สนใจทั้งนั้น!!! ไปแบบนี้แหละอิสระดี!!!)
หลังจากวางแผนกันมาประมาณ 1 ปีครึ่ง เอาล่ะ ถึงเวลาบินไปญี่ปุ่นกันสักที ในทริปนี้มีคนเคยไปญี่ปุ่นมาแล้วเพียง 2 คนเท่านั้นก็คือพี่เทป (ได้ไปญี่ปุ่นเพราะรางวัลในรายการแฟนพันธุ์แท้) พี่โบ้ (ดวงดีเหลือกิน ได้ไปเพราะชิงโชคจากบริษัทสัญญาณโทรศัพท์แห่งหนึ่ง)อีกสามคนไม่มีประสบการณ์อะไรทั้งสิ้น ถ้าสองคนข้างต้นล่อไปฆ่าก็คงไม่มีอะไรต้องสงสัย แล้วก็ในทริปนี้มีพี่เทปคนเดียวที่พอจะพูดภาษาญี่ปุ่นได้รู้เรื่องที่สุด เอาวะ ปัจจัยมีเท่านี้ก็ไปกันแบบนี้แหละ
(วันเดินทาง 9 เมษายน 2558)
พวกเรานัดกันที่สนามบินดอนเมือง 4 โมงเย็น เผื่อเวลาเช็ดอิน 4 ชั่วโมง พวกเรามาเจอกันด้วยความตื่นเต้น วันนั้นเป็นวันแรก
ที่ผมรู้จักพี่ตั้ง (ไม่เคยรู้จักพี่ตั้งเลยตั้งแต่เริ่มวางแผนเดินทาง รู้แค่ว่าเขาอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ แล้วก็โผล่มาวันไปเลย) ซึ่งพี่ตั้งเนี่ย
เป็นน้องพี่โบ้อีกทีครับ (น้องที่เคยไปเที่ยวด้วยกันนะ) ก็เลยชวนๆกันมาไปเที่ยวด้วยกัน
เช็คอินเสร็จตั้งแต่ 6 โมงเย็น รอขึ้นเครื่อง 2 ทุ่ม... ไฟล์ท
แล้วเราต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่มาเลย์เซีย ซึ่งเราใช้เวลาบินจากดอนเมืองไปกัวลาลัมเปอร์ประมาณ 2 ชั่วโมงนิดๆ แล้ววิ่ง
เหมือนวิ่งหนีตาย เพื่อทรานเฟอร์เครื่องไปญี่ปุ่น พอขึ้นเครื่องที่มาเลย์ได้สายตาของคนที่อยู่บนเครื่องบินก่อนแล้วน่ากลัวมาก
เหมือนเขาจะสื่อสารกับเราว่า "ไม่มาซะพรุ่งนี้กันเลยล่ะ กูนั่งจนดากกูจะเป็นส่วนหนึ่งของเบาะอยู่แล้ว" ก็อยากบอกเขาว่ากูรีบสุดๆแล้ว
ถ้าไม่พอใจก็ไปด่าสายการบินเอาแล้วกัน (สะบัดบ็อบ)
บนเครื่องบินก็โอเคนะครับในตอนแรกๆ สักพักผมก็ค่อนข้างเริ่มเจ็บเท้านิดๆเพราะรองเท้าที่ซื้อมาใหม่จาก Union Mall ไม่อยากบอกว่า
New Balance นะคร้าบ... ราคา 950 บาท ใส่แล้วโคตรเจ็บตีน ไม่ได้รับน้ำหนักอะไรกูเล๊ย!! ความผิดพลาดเพราะตอนมา กทม. ลืม
เอารองเท้าคู่เก่งมาด้วยเลยต้องมาหาซื้อใหม่ กะว่าจะไปซื้อพอถูไถที่ Union Mall แล้วไปหาซื้อใหม่ที่ญี่ปุ่นเอาอะไรแบบนี้... ยังไง
ก็แนะนำนะครับ New Balance ที่ Union Mall ราคา 950 บาท ไม่ต้องบอกมั้งครับว่าจริงหรือปลอม แข็งอย่างกับหิน เอาไปวางที่รางรถไฟ
ให้รถไฟวิ่งทับ ผมว่ารถไฟมีสิทธิ์ตกราง
ผ่านจากเรื่องรองเท้ามาที่บนเครื่องบินต่อเนื่องจากนี้เป็นไฟล์ทไปต่างประเทศไฟล์ทแรกในชีวิต หลังจากถอดรองเท้าแล้วผมรู้สึกดี้ด้ามาก
(ดีว่าเราเป็นคนเท้าไม่เหม็น) แล้วก็เนื่องด้วยความหิวก็เลยหยิบเมนูขึ้นมาดู (มันเสียบอยู่หลังเบาะด้านหน้า) โอ้โห อาหารเยอะเลย
สายการบินนี้ไม่ธรรมดาแล้วเราก็แลกเงินริงกิตมาเผื่อซื้อของบนเครื่องแล้วด้วย เอาล่ะได้เวลาหาอะไรเข้าท้องแล้วล่ะ
"พี่เทป พี่นุ่น กินอะไรไหม ชิกเก้นฮอทด็อกน่ากินนะเอาไหมคนล่ะอัน"
"เอาดิๆ" พี่เทปเอาด้วยแบบนี้สั่งเลยแล้วกัน
"Execute me" (ขอประทานโทษขอรับ) เรียกแอร์โฮสเตจโดยพลัน
"Yes, could i help you?" (ค่ะ, มีอะไรให้ช่วยเหลือคะ)
"I would like to order three chicken hot-dog please" (คือพวกเราอยากสั่งฮอทดอกไก่สักสามชิ้นน่ะครับ)
"I think we don't have chicken hot-dog here" (ฉันคิดว่าเราไม่มีฮอทดอกไก่บนเครื่องนี้นะคะ"
...สตั้น 4 วินาที เบาๆ...
ก็ในเมนูมีไง นี่หลอกลวงผู้บริโภคหรือไงวะ! เออ ไม่เป็นไรคิดในทางที่ดีมันอาจจะหมดก็ได้ เลยสั่งไปอีกสามอย่างเผื่อมันจะมี
สุดท้ายพวกเราสามคนได้อะไรมารู้ไหมครับ!!...น้ำเปล่าสามขวด... นอนๆ ตื่นที่ญี่ปุ่นแล้วค่อยหา-!! ที่หน้าทีหลังเอา
เมนูไปเผาไฟทิ้งนะโคตรไร้ประโยชน์เลย!!!
(ภาพถ่ายโง่ๆจากบนเครื่องครับ ก่อนลงที่คันไซ)
(วันแรกที่เหยียบแผ่นดินญี่ปุ่น วันที่ 10 เมษายน 2558)
หลังจากใช้เวลาเดินทางตั้งแต่ออกจากไทยมาก็กินเวลาร่วมแปดชั่วโมงเห็นจะได้ เครื่องบินของพวกเราทั้งห้าคนก็แลนดิ้งลงที่
สนามบิน KIX (สนามบินคันไซ) ที่โอซาก้า สนามบินนี้เคยถูกกล่าวถึงในโคนันเล่ม 25 นะครับ สามารถไปเปิดอ่านกันได้
พอเครื่องแตะพื้นปุ๊ปสิ่งแรกที่ทำคือตรวจสอบสภาพอากาศจากสายตาคร่าวๆและแอพริเคชั่นในโทรศัพท์ วันที่ 10 เมษายน 2558
ที่โอซาก้าอากาศอยู่ 11 องศา "คงจะหนาวมาก" ตอนนั้นคิดในใจเพราะยังไม่ได้ไปโดนอากาศจริงๆข้างนอก บวกกับฝนที่ตกปรอยๆ
ดูเก๋ไก๋ไปอีกแบบ หลังจากที่ตรวจสอบอากาศเสร็จแล้วก็ไปที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง
ตัวผมเองไม่เคยเจอด่านตรวจคนเข้าเมืองมาก่อนเลยตื่นเต้นนิดหน่อย แต่ก็คิดว่าเอกสารพร้อมไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ปัญหาเดียวตอนนั้นคือคนเยอะมาก ที่ยืนตรงนั้นน่าจะมีคนไทยอยู่ประมาณ 30 เปอร์เซ็น ที่เหลือก็จะเป็นชนชาติอื่นปะปนกันไป ด่านตรวจก็มีหลายช่องมาก พวกเราทั้ง 5 คนก็แยกกันไปเพื่อความรวดเร็ว ใครเสร็จก่อนก็ไปรออีกฝากหนึ่ง ตัวผมนั้นต่อแถวอยู่ข้างหลังอาซิ่มคนหนึ่งน่าจะมากับทัวร์ดูจากพาสปอร์ตแล้วน่าจะเป็นคนไทเปย์ พอถึงคิวแก แกก็เดินไปที่หน้าเค้าท์เตอร์ซึ่งมีเจ้าหน้าที่นั่งอยู่คอยซักถามหรือตรวจสอบเอกสารแล้วก็ให้สัญญาณให้ประทับลายนิ้วมือบนเครื่องอ่านลายนิ้วมือ โดยปกติแล้วเครื่องนี้ต้องแช่นิ้วจนกว่าเครื่องจะให้สัญญาณว่าเรียบร้อย แต่อาซิ่มแกไม่ทำอย่างนั้นครับ แกเอานิ้วโป้งทั้งสองข้างของแกแตะที่เซ็นเซอร์เพียงเศษเสี้ยวของวินาทีเท่านั้น แกทำอยู่อย่างนั้นอยู่ประมาณ 8 ครั้งเห็นจะได้ จนมีลุงคนหนึ่ง(น่าจะเป็นผู้นำทัวร์)จับมืออาซิ่มแปะลงเซ็นเซอร์แล้วยึดมืออาซิ่มไว้ไม่ให้ยกออกจนกว่าเครื่องจะอ่านเสร็จ กลายเป็นว่าผมเป็นคนสุดท้ายใน 5 คนที่ผ่านตรวจคนเข้าเมืองไปได้ กูล่ะจะบ้าตาย...
หลังจากทานอาหารในสนามบินเสร็จแล้วก็พากันเดินไปที่ทางออก ก่อนที่เราจะออกเราก็ลืมไปกันไปเลยว่า... มันหนาว 11 องศานะ
แล้วก็มีฝนปรอยๆด้วย ด้วยความที่เรากำลังดี๊ด๊ากันอยู่เราก็เดินมาถึงประตูอัตโนมัติเพื่อจะออกไปข้างนอกสนามบิน สิ่งแรกที่เราสัมผัสได้
ก็คือ...
ฟริ้ว~~~ (เสียงลมพัดผ่านใบหน้า และแกนกลางของกระดูก)
เหมือนได้ยินเสียงราชินีเอลซ่าร้องเพลง Let It Go อยู่เบื้องหน้า
โคตรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรร!!!
หนาววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว!!!
เลยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!
จะหนาวไปไหน!! ทั้งหนาวทั้งเปียก!! อะไรจะต้อนรับกันอบอุ่นแบบย้อนทางได้ขนาดนี้!!!
(จากในภาพจะเป็นด้านหน้าชั้น 2 ของสนามบินคันไซนะครับ ขวามือจากในภาพนั้นจะเป็นที่ขายตั๋วหรือแลกตั๋ว JR แต่เป็นด้านหลังนะครับต้องเดินอ้อมไปอีกนิดหน่อย)
วันแรกก็เจออากาศเหน็บหนาวเข้าเนื้อ ไม่เป็นไรเดี๋ยวก็ชินๆ หลังจากที่ชินกับอากาศได้สักพักพวกเราก็ไปเอา JR Pass ที่ซื้อไว้จากไทย
ที่บริเวณด้านหน้าสนามบิน ซึ่งจะเป็นออฟฟิศของ JR อยู่ที่นั่นเลยครับสะดวกหาไม่ยากด้วย อ้อ สำหรับมือใหม่ที่กังวลเรื่องรถไฟ
ในญี่ปุ่นกลัวจะไปมาไม่ถูก JR Pass ช่วยย่นระยะเวลาเปลี่ยนรถให้ท่านได้นะครับ ดีกว่าจะไปยืนงงไม่รู้จะไปทางไหนที่หน้าป้ายรถไฟ
พวกผมซื้อจากไทยราคา 7,600 บาท (อันนี้ลดจากราคาปกตินะครับ) ซึ่งสามารถใช้ได้ 7 วัน สามารถขึ้น-ลง รถไฟสายไหนก็ได้ของ JR
แม้แต่ชินกังเซ็นเลยทีเดียว
(อันนี้เป็นตั๋ว JR Pass ที่ซื้อจากไทย ต้องเอาไปแลกที่นู่นอีกทีครับ)
(พอแลกแล้วด้านหน้าจะเป็นแบบนี้)
(ด้านหลังจะเป็นแบบนี้ครับ อีกสองใบเล็กนั่นก็เป็นตั๋วชินกังเซ็นที่ใช้คู่กับ JR Pass ครับ เวลาเราจะไปขึ้นชินกังเซ็น เราต้องไปแจ้งตรงที่จำหน่ายตั๋วชินกังเซ็นก่อน แล้วเขาจะออกตั๋วเล็กนั่นมาให้อีกที ปกติเขาจะเก็บคืนหลังไปถึงปลายทางแล้ว แต่นี่ขออนุญาตเจ้าหน้าที่เขาเก็บไว้ครับตอนไปเกียวโต)
หลังจากที่ได้ JR Pass ป้ายต่อไปคือไปที่พักที่ทตโตริ โดยนั่งรถไฟจากสนามบินไปลงที่ชินโอซาก้าแล้วต่อรถซูเปอร์โฮคุโตะไปยังทตโตริ สำหรับใครที่ JR Pass ในส่วนนี้จะเสียค่าโดยสารเพิ่มนะครับ ประมาณ 1,720 เยน เพราะว่าสายที่เราจะไปมันเป็นสายที่เป็นของสัมประทานของเจ้าอื่นแต่ JR ของวิ่งด้วย เราก็ต้องเสียค่าส่วนต่างนี้ด้วยนะครับ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงเศษๆเราก็ถึงสถานีคุราโยชิ สำหรับคุราโยชินั้นใช้เวลาสามชั่วโมงจากโอซาก้าครับ ถือว่าไกลเอาเรื่องอยู่แต่นั่งรถไฟไปก็เห็นอะไรหลายๆอย่างครับ ความเงียบสงบ ธรรมชาติ แล้วก็วิธีชีวิตอีกด้วย แต่ก็เห็นแค่แปปเดียวครับ เพราะผมหลับหลังจากขึ้นรถไฟได้หนึ่งชั่วโมง (ฮา) จากนั้นก็มาตื่นที่คุราโยชิเลย
(รถไฟไปคุราโยชิว่างมาก นึกว่าเหมามาทั้งขบวน)
ที่เลือกมาพักที่คุราโยชินั้น เพราะว่าที่พักที่เราจองนั้นมีที่มาที่ไปครับ เพราะที่พักที่เราไปพักนั้นเคยปรากฎในโคนันเล่มที่ 69 ครับ เป็นฉากฆาตกรรมในออนเซ็นของโรงแรมเห่งนี้ พอพวกเรารู้ว่าไอ้โรงแรมที่ว่านั้นมีอยู่จริงก็โดนบรรจุเข้ามาทริปทันที่ว่าต้องไปพัก โชคดีอีกอย่างก็คือผมรู้จักคนไทยที่เคยมาพักที่นี่แล้ว พี่เขาใจดีมากครับเป็นธุระจองให้ เพราะพี่เขาเก่งภาษาญี่ปุ่นมากแล้วก็ชอบโคนันเหมือนๆกัน ขอกราบขอบพระคุณมาก ณ โอกาสนี้ด้วยนะครับ (พี่เขาเป็นแอดมินเว็บบอร์ด CJRTeashop ครับ ถือว่าเป็นแหล่งข้อมูลโคนันชั้นเลิศเลยก็ว่าได้)
ยังไงก็ติดตามต่อในคอมเม้นท์ถัดไปครับผม... รับรองความฮานับและภาพอีกเป็นขบวนนับจากนี้ (นี่ยังไม่หมดวันแรกเลยนะ)
กระทู้ใหม่ ขอแก้เป็น CR ครับ