หลังจากที่ผมได้กดสั่งซื้อ Apple Watch ไปตั้งแต่นาทีแรกที่เปิดให้จองผ่านหน้าเว็บไซต์ของประเทศญี่ปุ่น ก็ทำการรอจนถึงวันที่ 24 เมษายน Apple ก็ได้จัดส่งเจ้านาฬิกาเรือนนี้มายังบ้านญาติของผมที่โน่น และทำการส่งต่อมายังไทยแบบลุ้นระทึกว่าจะเจอทีเด็ดไปรษณีย์ไทยบ้านเราด้วยรึเปล่า จนสุดท้ายเมื่อช่วงสิ้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา Apple Watch ก็ได้เดินทางมาสู่ข้อมือของเจ้าของตัวจริงเสียที จึงเกิดเป็นรีวิวนี้ขึ้น!
เอาล่ะครับ! มาตกลงกันก่อน ว่าในรีวิวนี้อาจจะไม่ใช่รีวิวที่ละเอียดที่สุด ครบทุกฟังก์ชั่นที่สุด เพราะตามประสารีวิวสไตล์ผมเองนั้น จะเน้นประสบการณ์เป็นหลัก ซึ่งข้อมูลหลายๆ อย่างที่คุณผู้อ่านสามารถเปิดเว็บของ Apple แล้วอ่านเองได้ชิลๆ นั้น เราอาจจะขอไม่พูดถึง (เดี๋ยวนี้เว็บ Apple แปลไทยให้ละด้วย) คือง่ายๆ เราจะไม่คุยกันแล้วนะว่า Apple Watch สเปคเป็นยังไง มีปุ่มอะไรอยู่ตรงไหน แต่จะว่าด้วยเรื่องของการใช้แล้วเป็นยังไงเป็นหลัก (แต่ก็มีแนะนำฟีเจอร์บ้างล่ะน่ะ)
มาดูกล่องกันก่อนครับ ซึ่งก่อนจะอยู่ในชั้นนี้ Apple ก็ทำการห่อพลาสติกมาให้อยู่แล้วชั้นนึง แต่เวลาถ่ายรูปแล้วแสงชอบสะท้อน เลยจัดการฉีกออกไปอย่างไร้เยื่อใย (จริงๆ คือค่อยๆ แซะออก ไม่ให้ขาด ไม่ให้ยับ เวลาขายต่อจะได้ห่อกล่องได้เนียนๆ เหมือนของใหม่…) โดยตัวกล่องต้องบอกว่าหนักเอาเรื่องนะครับ เพราะเดิมที่เราคิดว่ามันเป็นนาฬิกาอันเล็กๆ น่าจะเบานะ เอาเข้าจริงกล่องมาอย่างใหญ่ และน้ำหนักค่อนข้างหนักเลยล่ะ
เมื่อเปิดกล่องออกมาด้วยระบบสูญญากาศที่ตัวฐานจะค่อยๆ ไหล…
ก็จะเจอกับกล่อง Apple Watch ห่อพลาสติกสีขาวอีกชั้น ซึ่งแน่นอนว่าก็ต้องค่อยๆ แซะ ค่อยๆ แงะไม่ให้เป็นรอย ซึ่งไอ้แผ่นขาวๆ นี้แกะยากมาก สุดท้ายก็ต้องลอกให้ขาดจนได้
ยกกล่อง Apple Watch ออกไปก่อน แล้วชะโงกหัวเข้าไปก็จะเจอกับสายชาร์จพลังแม่เหล็ก เห็นแว๊บแรกนึกว่าเครื่องมือการแพทย์อะไรซักอย่าง แล้วก็อแดปเตอร์นอนวางไว้ 1 อัน โดยผมสั่งเครื่องญี่ปุ่นมาเลยได้หัวเล็กๆ รับไฟบ้านเราได้พอดี เสียบได้ไม่มีปัญหา
และก็มาถึงคู่มือที่อยู่ในกล่องครับ ตัวผมเองนั้นที่แรกเลือกสั่งสาย Sport Band สีขาวไป และคิดว่าต้องเลือกไซส์ตอนสั่งด้วย แต่เอาเข้าจริง Apple เค้าใจดี ส่งมาให้ทั้งสองไซส์เลย เส้นที่เป็นเส้นสำรองเลยแพ็คมากับคู่มืออย่างที่เห็น ตรงนี้ถือว่าดีมากที่ให้สายมาสองเส้น เพราะเชื่อว่าหลายๆ คนที่ข้อมือเล็กก็อาจจะกังวลเรื่องความไม่พอดีของสายและไม่รู้จะเลือกแบบไหน Apple เลยบอก เอาไป 2 ไซส์เลย จบ!
คู่มือก็มีมาให้ด้วยนะ แต่ถามจริงๆ เวลาซื้อของจาก Apple อ่านกันบ้างมั้ยนั่น! ก็เล่นรู้ฟีเจอร์ตั้งแต่ก่อนวางขายเป็นเดือนๆ จากเว็บไซต์กันหมดแล้วนี่นา
เนื่องจากผมเป็นคนข้อมือเล็กมากถึงมากที่สุด เลยทำการแงะสายสำรอง ไซส์ S/M มารอเปลี่ยนเลยครับ
เอาล่ะได้เวลาเปิดกล่อง Apple Watch สีขาวนวล ชวนเคลิ้มกันแล้ว โดยเปิดปุ๊ปก็จะเจอ Apple Wacth นอนอยู่ในร่องที่เอาไว้วางตัวเครื่องด้านใน โดยตัวกล่องข้างในจะบุผิวเป็นไมโครไฟเบอร์ด้วย ดังนั้นเวลาชาร์จเราก็วางในกล่องนี้ได้ ไม่เป็นรอย
พอเห็นตัวเครื่องกับตาตัวเองครั้งแรก คิดในใจเลยครับว่า เฮ้ย! สั่งแบบตัวเรือนสแตนเลสไป ทำไมได้แบบอลูมิเนียมมาฟะ! แต่พอมองดูใกล้ๆ อีกทีก็พบว่า Apple เอาพลาสติกสีขุ่นมาหุ้ม Apple Watch เอาไว้อีกที ให้เรามีโมเม้นท์แกะพลาสติกออกจากตัวเครื่องอีกรอบก่อนจะได้จับของจริง (เพ็คหลายชั้นมากเหมือนจะเอาโล่ด้านนี้) ถือว่า Apple ละเอียดกับการสร้างภาพลักษณ์ความเป็นสินค้าพรีเมี่ยมมากๆ คือดูไฮโซตั้งแต่ตอนแกะแล้ว
ยกตัวเครื่องขึ้นมาครั้งแรก สิ่งนึงที่รู้สึกได้คือ “มันเล็กกว่าที่คิดมากๆ” ครับ โดยผมที่เป็นคนข้อมือเล็กเวลาใส่นาฬิกาอะไรก็จะใหญ่แบบเลยข้อมือออกมา เลยคิดมาตลอดว่า Apple Watch ไซส์ 42 มม. ที่สั่งมาน่าจะใหญ่ไปหน่อย แต่เอาเข้าจริงผมว่าไซส์นี้ถือว่ากำลังดีกับข้อมือผมเลยครับ ซึ่งเจอแบบนี้ผมคิดว่าไซส์ 38 มม. ไม่น่าจะโอเคแล้วล่ะ เพราะแค่นี้ก็เล็กแล้ว
การหุ้มพลาสติกต่างๆ ทำมาอย่างดีเพื่อป้องกันรอยขีดข่วน เวลาแกะก็ตื่นเต้นไป สนุกสนานไป
ในที่สุดก็ออกมาเจอกันจนได้ครับสำหรับ Apple Watch ขนาด 42 มม. สาย Sport Band สีขาว ที่ทำการสลับสายเป็นไซส์เล็กเรียบร้อยแล้ว
สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนมากๆ ก็คือคุณภาพวัสดุแล้วความเนี้ยบในการประกอบของ Apple ครับ ที่ชัดที่สุดเลยก็ตรง Digital Crown ที่เอาไว้กดเข้าหน้าจอหลักและหมุนขึ้นๆ ลงๆ เพื่อเลื่อนหน้าจอนี่แหละครับ คือมันเล็กมากๆ ทำให้รายละเอียดเช่นเส้นที่เป็นขีดๆ รอบ Digital Crown นั้นดูละเอียดมากๆ ราวกับว่าเป็นงานบนนาฬิการะดับท็อปๆ ในวงการนาฬิกากันเลย ส่วนตัวเรือนสแตนเลสสตีลก็มันเงา และดูพรีเมี่ยมมากๆ โดยรวมเรื่องคุณภาพวัสดุและความละเอียดเอาคะแนนไปเต็มเหนี่ยว ไร้ข้อติใดๆ กันเลยครับ
เพื่อให้เห็นภาพเรื่องขนาด เลยจับมาเทียบกับนาฬิกาทรงกลมที่ขนาดหน้าปัด 44 มม. กันหน่อย ซึ่งดูแล้วจะเห็นว่ารูปทรงของ Apple Watch นั้นไม่ได้เป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ทำให้ขนาดหน้าจอ 42 มม. (ในแนวตั้ง) นั้นดูเพรียว และคล่องตัวกว่าขนาด 44 มม. มากพอสมควร
แวะกลับไปดูเรื่องของที่ชาร์จกันหน่อยนึง โดยที่ชาร์จระบบแม่เหล็กตัวนี้ถือว่าทำมาได้ดีมากครับ ให้สายมายาวพอควร ซึ่งจะจัดวางตำแหน่งชาร์จไว้ตรงไหนในห้องก็ไม่มีปัญหา อ้อ! ถ้าเป็น Apple Watch รุ่น Sport ที่ชาร์จจะไม่ได้เป็นอลูมิเนียมเงาๆ อย่างที่เห็นนะครับ จะเป็นพลาสติกทั้งดุ้นแทน (ยังแอบลดตุ้นทุนได้อีกนะ)
พลิกมาดูหลังเครื่องกันบ้างที่ความงามไม่แพ้ด้านหน้าเครื่องเลยครับ โดยพวกเซ็นเซอร์ต่างๆ ก็จะอยู่ตรงนี้หมด ความสวยก็ต้องบอกว่าสวยมาก ดูเนี้ยบและสะท้อนแสงระยิบระยับ แต่ก็เป็นรอยนิ้วมือง่ายมากๆ เช่นกัน
เทียบขนาดของสาย Sport Band ทั้งสองเส้นที่ให้มาครับ จะเห็นว่ายาวกว่ากันพอสมควร (สังเกตจากรูบนสาย) ของผมใช้สายด้านซ้าย และใช้รูที่ 2 นับจากด้านบนครับ (ข้อมือเล็กมั้ยล่ะ)
พอเปิดเครื่องครั้งแรก ก็จะเจอหน้าจอให้เลือกภาษาสำหรับตัวเครื่องครับ ยังไม่มีภาษาไทยให้เลือกนะ ซึ่งก็ต้องเลือกภาษาอังกฤษไปตามระเบียบ
จากนั้นมันจะมีปุ่มให้เรากดเพื่อเริ่มทำการ Pairing กับ iPhone ครับ โดยผมอยากจะยกรางวัลโนเบลสาขาออกแบบยอดเยี่ยม (มันมีไหมล่ะนั่น) ให้กับคนคิดระบบการ Pair เครื่องอันนี้เลยจริงๆ โดยหลังจากเราเห็นหน้าจอวิ้งๆ แบบนี้…
ก็ให้เราเปิดแอพ Apple Watch บน iPhone แล้วกดปุ่ม Pair บนนั้น มันจะเปิดกล้องให้เราเอาหน้าจอไปส่องให้พอดีกับ Apple Watch จากนั้นรอแป๊ปนึง เป็นอันเสร็จการ Pair แล้ว แทบไม่ต้องทำอะไรเลย ขั้นตอนนี้ได้ใจผมไปเต็มๆ คือแทบไม่ต้องปวดหัวคิดอะไรมากเลยครับ ใครที่ไม่เชี่ยวชาญเรื่องไอทีก็ยังทำได้ง่ายๆ เอาเป็นว่าแม่ผมก็ยังทำได้อ่ะ ง่ายขนาดไหนคิดเอาเอง
จากนั้นเราก็ตั้งค่าพื้นฐานไป เช่นปรกติใส่นาฬิกาข้างไหน ผมก็เลือกเป็นข้างซ้าย และก็จะขึ้นหน้าจอการ Sync ซึ่งถือว่าหน้าตาประหลาด หลุดแนว Apple ไปหน่อย (ทุกทีมาแนวเรียบๆ อันนี้เหมือน The Maze Runner ยังไงไม่รู้) โดยจังหวะ Sync นี่รอนานเหมือนกันครับ 3-5 นาทีได้เลย และขั้นตอนนี้กินแบตเตอรี่พอควรเลยนะ
จากนั้นเมื่อตั้งค่าอะไรเรียบร้อย ก็ได้เวลาขึ้นข้อมือครั้งแรก ซึ่งก็ต้องบอกว่าสบายอย่างน่าประหลาด คือก่อนหน้านี้ผมคิดว่าไอ้ส่วนด้านหลังเครื่องที่เป็นเซรามิกสีดำโค้งๆ นั่นอาจจะดันข้อมือเราตอนใส่ แต่พอใส่เข้าจริงๆ พบว่าตัวสายนั้นนิ่มมากครับ ทำให้เวลารัดข้อมือแบบแน่นหนา ก็ยังรู้สึกสบาย ชิวๆ ไม่ได้รู้สึกแน่นเหมือนพวกสายหนังแข็งๆ ดูแล้วเหมาะกับการใส่ออกกำลังกายสมชื่อ Sport Band เลยทีเดียว
และแล้วก็ต้องมาเจอกับ Interface แบบใหม่เป็นครั้งแรก สิ่งแรกที่เป็นก็คือ งงกับไอคอนครับ โดยบางอันนี่เราก็เดาได้ง่ายๆ นะ ว่าอันนี้คือนาฬิกา อันนี้น่าจะเป็นแผนที่ แต่บางอันที่มันเป็นรูปนาฬิกาสีส้ม มันมีคล้ายๆ กันสองอัน ต้องกดเข้าไปถึงจะรู้ว่าอันนึงเป็นนาฬิกาจับเวลา อีกอันเอาไว้จับเวลาถอยหลัง (จะแยกกันให้งงทำไม)
และสิ่งที่เป็นไฮไลท์ที่สุดของ Apple Watch… เอาจริงๆ นะครับ ผมว่ามันคือหน้าปัดนาฬิกานี่แหละ ที่แต่งได้หลายรูปแบบมากๆ ซึ่งหน้าปัดเท่ๆ อย่าง Mickey Mouse นี่แทบจะบ่งบอกความเก๋ของ Apple ได้ดีมาก คือคิดได้เนอะ เอามิกกี้มาชี้นิ้ว กระทืบเท้าบอกเวลาเนี่ย และส่วนที่ดีมากๆ ก็คือเกือบทุกหน้าจอเราสามารถเลือกส่วนประกอบได้ ว่าจะเอาตัวเลขบอกแบตเตอรี่คงเหลือวางไว้มุมนี้ เอาวันที่วางไว้มุมโน้น ปรับแต่งหน้าจอกันเพลินเลย
ส่วนอีกหน้าจอที่ผมชอบก็คือหน้าจอแสดงเวลาที่เป็นผีเสื้อครับ ซึ่งเราสามารถเลือกให้มันเป็นดอกไม้ หรือแมงกระพรุนได้ ซึ่งเวลายกข้อมือมาดูเวลาทีนึง หน้าจอก็จะติดขึ้นมาพร้อมกับโมชั่นสวยๆ ของผีเสื้อ หรือถ้าเป็นดอกไม้ ก็จะเป็นภาพดอกไม้กำลังบาน แลดูไฮโซผู้ดีมากๆ งานดีไซน์ตรงนี้ให้คะแนนเต็มไม่รู้จะหักอะไรอีกเหมือนกัน สวยงามมาก โอย…
ยังมีต่อนะครับ...
[CR] รีวิว Apple Watch 42 มม. สาย Sport Band
เอาล่ะครับ! มาตกลงกันก่อน ว่าในรีวิวนี้อาจจะไม่ใช่รีวิวที่ละเอียดที่สุด ครบทุกฟังก์ชั่นที่สุด เพราะตามประสารีวิวสไตล์ผมเองนั้น จะเน้นประสบการณ์เป็นหลัก ซึ่งข้อมูลหลายๆ อย่างที่คุณผู้อ่านสามารถเปิดเว็บของ Apple แล้วอ่านเองได้ชิลๆ นั้น เราอาจจะขอไม่พูดถึง (เดี๋ยวนี้เว็บ Apple แปลไทยให้ละด้วย) คือง่ายๆ เราจะไม่คุยกันแล้วนะว่า Apple Watch สเปคเป็นยังไง มีปุ่มอะไรอยู่ตรงไหน แต่จะว่าด้วยเรื่องของการใช้แล้วเป็นยังไงเป็นหลัก (แต่ก็มีแนะนำฟีเจอร์บ้างล่ะน่ะ)
มาดูกล่องกันก่อนครับ ซึ่งก่อนจะอยู่ในชั้นนี้ Apple ก็ทำการห่อพลาสติกมาให้อยู่แล้วชั้นนึง แต่เวลาถ่ายรูปแล้วแสงชอบสะท้อน เลยจัดการฉีกออกไปอย่างไร้เยื่อใย (จริงๆ คือค่อยๆ แซะออก ไม่ให้ขาด ไม่ให้ยับ เวลาขายต่อจะได้ห่อกล่องได้เนียนๆ เหมือนของใหม่…) โดยตัวกล่องต้องบอกว่าหนักเอาเรื่องนะครับ เพราะเดิมที่เราคิดว่ามันเป็นนาฬิกาอันเล็กๆ น่าจะเบานะ เอาเข้าจริงกล่องมาอย่างใหญ่ และน้ำหนักค่อนข้างหนักเลยล่ะ
เมื่อเปิดกล่องออกมาด้วยระบบสูญญากาศที่ตัวฐานจะค่อยๆ ไหล…
ก็จะเจอกับกล่อง Apple Watch ห่อพลาสติกสีขาวอีกชั้น ซึ่งแน่นอนว่าก็ต้องค่อยๆ แซะ ค่อยๆ แงะไม่ให้เป็นรอย ซึ่งไอ้แผ่นขาวๆ นี้แกะยากมาก สุดท้ายก็ต้องลอกให้ขาดจนได้
ยกกล่อง Apple Watch ออกไปก่อน แล้วชะโงกหัวเข้าไปก็จะเจอกับสายชาร์จพลังแม่เหล็ก เห็นแว๊บแรกนึกว่าเครื่องมือการแพทย์อะไรซักอย่าง แล้วก็อแดปเตอร์นอนวางไว้ 1 อัน โดยผมสั่งเครื่องญี่ปุ่นมาเลยได้หัวเล็กๆ รับไฟบ้านเราได้พอดี เสียบได้ไม่มีปัญหา
และก็มาถึงคู่มือที่อยู่ในกล่องครับ ตัวผมเองนั้นที่แรกเลือกสั่งสาย Sport Band สีขาวไป และคิดว่าต้องเลือกไซส์ตอนสั่งด้วย แต่เอาเข้าจริง Apple เค้าใจดี ส่งมาให้ทั้งสองไซส์เลย เส้นที่เป็นเส้นสำรองเลยแพ็คมากับคู่มืออย่างที่เห็น ตรงนี้ถือว่าดีมากที่ให้สายมาสองเส้น เพราะเชื่อว่าหลายๆ คนที่ข้อมือเล็กก็อาจจะกังวลเรื่องความไม่พอดีของสายและไม่รู้จะเลือกแบบไหน Apple เลยบอก เอาไป 2 ไซส์เลย จบ!
คู่มือก็มีมาให้ด้วยนะ แต่ถามจริงๆ เวลาซื้อของจาก Apple อ่านกันบ้างมั้ยนั่น! ก็เล่นรู้ฟีเจอร์ตั้งแต่ก่อนวางขายเป็นเดือนๆ จากเว็บไซต์กันหมดแล้วนี่นา
เนื่องจากผมเป็นคนข้อมือเล็กมากถึงมากที่สุด เลยทำการแงะสายสำรอง ไซส์ S/M มารอเปลี่ยนเลยครับ
เอาล่ะได้เวลาเปิดกล่อง Apple Watch สีขาวนวล ชวนเคลิ้มกันแล้ว โดยเปิดปุ๊ปก็จะเจอ Apple Wacth นอนอยู่ในร่องที่เอาไว้วางตัวเครื่องด้านใน โดยตัวกล่องข้างในจะบุผิวเป็นไมโครไฟเบอร์ด้วย ดังนั้นเวลาชาร์จเราก็วางในกล่องนี้ได้ ไม่เป็นรอย
พอเห็นตัวเครื่องกับตาตัวเองครั้งแรก คิดในใจเลยครับว่า เฮ้ย! สั่งแบบตัวเรือนสแตนเลสไป ทำไมได้แบบอลูมิเนียมมาฟะ! แต่พอมองดูใกล้ๆ อีกทีก็พบว่า Apple เอาพลาสติกสีขุ่นมาหุ้ม Apple Watch เอาไว้อีกที ให้เรามีโมเม้นท์แกะพลาสติกออกจากตัวเครื่องอีกรอบก่อนจะได้จับของจริง (เพ็คหลายชั้นมากเหมือนจะเอาโล่ด้านนี้) ถือว่า Apple ละเอียดกับการสร้างภาพลักษณ์ความเป็นสินค้าพรีเมี่ยมมากๆ คือดูไฮโซตั้งแต่ตอนแกะแล้ว
ยกตัวเครื่องขึ้นมาครั้งแรก สิ่งนึงที่รู้สึกได้คือ “มันเล็กกว่าที่คิดมากๆ” ครับ โดยผมที่เป็นคนข้อมือเล็กเวลาใส่นาฬิกาอะไรก็จะใหญ่แบบเลยข้อมือออกมา เลยคิดมาตลอดว่า Apple Watch ไซส์ 42 มม. ที่สั่งมาน่าจะใหญ่ไปหน่อย แต่เอาเข้าจริงผมว่าไซส์นี้ถือว่ากำลังดีกับข้อมือผมเลยครับ ซึ่งเจอแบบนี้ผมคิดว่าไซส์ 38 มม. ไม่น่าจะโอเคแล้วล่ะ เพราะแค่นี้ก็เล็กแล้ว
การหุ้มพลาสติกต่างๆ ทำมาอย่างดีเพื่อป้องกันรอยขีดข่วน เวลาแกะก็ตื่นเต้นไป สนุกสนานไป
ในที่สุดก็ออกมาเจอกันจนได้ครับสำหรับ Apple Watch ขนาด 42 มม. สาย Sport Band สีขาว ที่ทำการสลับสายเป็นไซส์เล็กเรียบร้อยแล้ว
สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนมากๆ ก็คือคุณภาพวัสดุแล้วความเนี้ยบในการประกอบของ Apple ครับ ที่ชัดที่สุดเลยก็ตรง Digital Crown ที่เอาไว้กดเข้าหน้าจอหลักและหมุนขึ้นๆ ลงๆ เพื่อเลื่อนหน้าจอนี่แหละครับ คือมันเล็กมากๆ ทำให้รายละเอียดเช่นเส้นที่เป็นขีดๆ รอบ Digital Crown นั้นดูละเอียดมากๆ ราวกับว่าเป็นงานบนนาฬิการะดับท็อปๆ ในวงการนาฬิกากันเลย ส่วนตัวเรือนสแตนเลสสตีลก็มันเงา และดูพรีเมี่ยมมากๆ โดยรวมเรื่องคุณภาพวัสดุและความละเอียดเอาคะแนนไปเต็มเหนี่ยว ไร้ข้อติใดๆ กันเลยครับ
เพื่อให้เห็นภาพเรื่องขนาด เลยจับมาเทียบกับนาฬิกาทรงกลมที่ขนาดหน้าปัด 44 มม. กันหน่อย ซึ่งดูแล้วจะเห็นว่ารูปทรงของ Apple Watch นั้นไม่ได้เป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ทำให้ขนาดหน้าจอ 42 มม. (ในแนวตั้ง) นั้นดูเพรียว และคล่องตัวกว่าขนาด 44 มม. มากพอสมควร
แวะกลับไปดูเรื่องของที่ชาร์จกันหน่อยนึง โดยที่ชาร์จระบบแม่เหล็กตัวนี้ถือว่าทำมาได้ดีมากครับ ให้สายมายาวพอควร ซึ่งจะจัดวางตำแหน่งชาร์จไว้ตรงไหนในห้องก็ไม่มีปัญหา อ้อ! ถ้าเป็น Apple Watch รุ่น Sport ที่ชาร์จจะไม่ได้เป็นอลูมิเนียมเงาๆ อย่างที่เห็นนะครับ จะเป็นพลาสติกทั้งดุ้นแทน (ยังแอบลดตุ้นทุนได้อีกนะ)
พลิกมาดูหลังเครื่องกันบ้างที่ความงามไม่แพ้ด้านหน้าเครื่องเลยครับ โดยพวกเซ็นเซอร์ต่างๆ ก็จะอยู่ตรงนี้หมด ความสวยก็ต้องบอกว่าสวยมาก ดูเนี้ยบและสะท้อนแสงระยิบระยับ แต่ก็เป็นรอยนิ้วมือง่ายมากๆ เช่นกัน
เทียบขนาดของสาย Sport Band ทั้งสองเส้นที่ให้มาครับ จะเห็นว่ายาวกว่ากันพอสมควร (สังเกตจากรูบนสาย) ของผมใช้สายด้านซ้าย และใช้รูที่ 2 นับจากด้านบนครับ (ข้อมือเล็กมั้ยล่ะ)
พอเปิดเครื่องครั้งแรก ก็จะเจอหน้าจอให้เลือกภาษาสำหรับตัวเครื่องครับ ยังไม่มีภาษาไทยให้เลือกนะ ซึ่งก็ต้องเลือกภาษาอังกฤษไปตามระเบียบ
จากนั้นมันจะมีปุ่มให้เรากดเพื่อเริ่มทำการ Pairing กับ iPhone ครับ โดยผมอยากจะยกรางวัลโนเบลสาขาออกแบบยอดเยี่ยม (มันมีไหมล่ะนั่น) ให้กับคนคิดระบบการ Pair เครื่องอันนี้เลยจริงๆ โดยหลังจากเราเห็นหน้าจอวิ้งๆ แบบนี้…
ก็ให้เราเปิดแอพ Apple Watch บน iPhone แล้วกดปุ่ม Pair บนนั้น มันจะเปิดกล้องให้เราเอาหน้าจอไปส่องให้พอดีกับ Apple Watch จากนั้นรอแป๊ปนึง เป็นอันเสร็จการ Pair แล้ว แทบไม่ต้องทำอะไรเลย ขั้นตอนนี้ได้ใจผมไปเต็มๆ คือแทบไม่ต้องปวดหัวคิดอะไรมากเลยครับ ใครที่ไม่เชี่ยวชาญเรื่องไอทีก็ยังทำได้ง่ายๆ เอาเป็นว่าแม่ผมก็ยังทำได้อ่ะ ง่ายขนาดไหนคิดเอาเอง
จากนั้นเราก็ตั้งค่าพื้นฐานไป เช่นปรกติใส่นาฬิกาข้างไหน ผมก็เลือกเป็นข้างซ้าย และก็จะขึ้นหน้าจอการ Sync ซึ่งถือว่าหน้าตาประหลาด หลุดแนว Apple ไปหน่อย (ทุกทีมาแนวเรียบๆ อันนี้เหมือน The Maze Runner ยังไงไม่รู้) โดยจังหวะ Sync นี่รอนานเหมือนกันครับ 3-5 นาทีได้เลย และขั้นตอนนี้กินแบตเตอรี่พอควรเลยนะ
จากนั้นเมื่อตั้งค่าอะไรเรียบร้อย ก็ได้เวลาขึ้นข้อมือครั้งแรก ซึ่งก็ต้องบอกว่าสบายอย่างน่าประหลาด คือก่อนหน้านี้ผมคิดว่าไอ้ส่วนด้านหลังเครื่องที่เป็นเซรามิกสีดำโค้งๆ นั่นอาจจะดันข้อมือเราตอนใส่ แต่พอใส่เข้าจริงๆ พบว่าตัวสายนั้นนิ่มมากครับ ทำให้เวลารัดข้อมือแบบแน่นหนา ก็ยังรู้สึกสบาย ชิวๆ ไม่ได้รู้สึกแน่นเหมือนพวกสายหนังแข็งๆ ดูแล้วเหมาะกับการใส่ออกกำลังกายสมชื่อ Sport Band เลยทีเดียว
และแล้วก็ต้องมาเจอกับ Interface แบบใหม่เป็นครั้งแรก สิ่งแรกที่เป็นก็คือ งงกับไอคอนครับ โดยบางอันนี่เราก็เดาได้ง่ายๆ นะ ว่าอันนี้คือนาฬิกา อันนี้น่าจะเป็นแผนที่ แต่บางอันที่มันเป็นรูปนาฬิกาสีส้ม มันมีคล้ายๆ กันสองอัน ต้องกดเข้าไปถึงจะรู้ว่าอันนึงเป็นนาฬิกาจับเวลา อีกอันเอาไว้จับเวลาถอยหลัง (จะแยกกันให้งงทำไม)
และสิ่งที่เป็นไฮไลท์ที่สุดของ Apple Watch… เอาจริงๆ นะครับ ผมว่ามันคือหน้าปัดนาฬิกานี่แหละ ที่แต่งได้หลายรูปแบบมากๆ ซึ่งหน้าปัดเท่ๆ อย่าง Mickey Mouse นี่แทบจะบ่งบอกความเก๋ของ Apple ได้ดีมาก คือคิดได้เนอะ เอามิกกี้มาชี้นิ้ว กระทืบเท้าบอกเวลาเนี่ย และส่วนที่ดีมากๆ ก็คือเกือบทุกหน้าจอเราสามารถเลือกส่วนประกอบได้ ว่าจะเอาตัวเลขบอกแบตเตอรี่คงเหลือวางไว้มุมนี้ เอาวันที่วางไว้มุมโน้น ปรับแต่งหน้าจอกันเพลินเลย
ส่วนอีกหน้าจอที่ผมชอบก็คือหน้าจอแสดงเวลาที่เป็นผีเสื้อครับ ซึ่งเราสามารถเลือกให้มันเป็นดอกไม้ หรือแมงกระพรุนได้ ซึ่งเวลายกข้อมือมาดูเวลาทีนึง หน้าจอก็จะติดขึ้นมาพร้อมกับโมชั่นสวยๆ ของผีเสื้อ หรือถ้าเป็นดอกไม้ ก็จะเป็นภาพดอกไม้กำลังบาน แลดูไฮโซผู้ดีมากๆ งานดีไซน์ตรงนี้ให้คะแนนเต็มไม่รู้จะหักอะไรอีกเหมือนกัน สวยงามมาก โอย…
ยังมีต่อนะครับ...