การเมืองสงฆ์แบบย่อๆ ที่เกิดขึ้นไล่ๆ กับเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลง 2475 ที่คุณควรรู้(ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม)
________________________________________________________________________วัชรานนท์
เริ่มที่การถือกำเนิด “ธรรมยุตินิกาย” เพียงสั้นๆ ว่าถือกำเนิดขึ้นสมัยรัชกาลที่๓ นับแต่นั้นเป็นต้นมาตำแหน่งสูงสุดในพุทธจักรก็ตกเป็นของพระฝ่ายธรรมยุตินานหลายทศวรรษ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรมมรังสี) ที่ว่าโด่งดังในสมัยนั้น เป็นพระราชาคณะขั้นสมเด็จ (ชั้นสุพรรณบัฏ)เดินเข้านอกออกในเขตพระราชฐานได้(คงจำกันได้ วีรกรรมที่จุดเทียนเดินเข้าวัง) ที่ถือว่าเป็น แคนดิเดท ขึ้นเป็นสังฆราชได้เลยทั้งวัยวุฒิและคุณวุฒิ แต่เมื่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรานุชิตชิโนรสสมเด็จพระสังฆาราชสิ้นพระชนม์ ตำแหน่งสังฆราชว่างลงก็ไม่ได้มีการแต่งตั้งเป็นเวลาหลายปี ซึ่งต่อมาก็ได้แต่งตั้งสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศฯ ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช(ถือว่าเป็นการข้ามสมเด็จพระพุฒนาจารย์(โต)ซึ่งเป็นพระฝ่ายมหานิกายไป: วัชรานนท์) จากนั้นตำแหน่งสังฆราชก็ตกอยู่ที่พระฝ่ายธรรมยุติเรื่อยมา
หลังการอภิวัฒน์ปี2475 ได้มีพระมหาเปรียญหนุ่มไฟแรงจากวัดฝ่ายมหานิกายหลายรูป (บางกระแสกล่าวว่ารวมถึงพระมหาปุ่น วัดเชตุพน ซึ่งหลายๆ ปีต่อมาท่านได้ดำรงแหน่งสังฆราชด้วย) จากวัด เชนตุพน มหาธาตุ เบญจมิบพิตร ฯลฯ เข้าพบนายปรีดี พนมยงค์เพื่อเสนอการปฏิรูปการปกครองคณะสงฆ์เสียใหม่ เช่นว่าการรวมกันลงพระอุโบสถของพระสองนิกายให้กลับมาเหมือนเดิม (เป็นที่ทราบดีว่าพระฝ่ายธรรมยุติตำหนิพระฝ่ายมหานิกายอย่างรุนแรงว่าไม่เคร่งครัดพระวินัย นี่คือเหตุผลที่พระฝ่ายธรรมยุตไม่ขอร่วมลงสังฆกรรมกับพระฝ่ายมหานิกาย) ซึ่งฝ่ายพระมหานิกายเองก็รู้สึกในทำนองว่าเป็น”ลูกเมียน้อย” (ขออภัยที่ต้องใช้คำนี้เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน)นับตั้งแต่การถือกำเนิดธรรมยุตินิกายขึ้นมา เลยขอให้ฝ่ายรัฐบาลของนายปรีดีเข้ามาดูแลเรื่องนี้ นั่นคือที่มาของ พรบ.สงฆ์ ฉบับใหม่ (ซึ่งต่อมาไม่นานก็ถูกฉีกทิ้ง แล้วร่างใหม่อีก ฉบับใหม่ใช้ไม่นานเสร็จก็ฉีกทิ้งอีก เหมือนฝ่ายบ้านเมืองเด๊ะ) ประเด็นหลักๆ ของต้องการปฏิรูปก็คือความเท่าเทียมกันระหว่างพระฝ่ายมหานิกายและฝ่ายธรรมยุติ ซึ่งนั่นก็ถือว่าสำเร็จไปได้ระดับหนึ่ง โดยเฉพาะเรื่องตำแหน่ง “สังฆราช” ไม่ได้ "ผูกขาด" อยู่ที่พระฝ่ายธรรมยุติเหมือนที่เคยถูกครอบครองมาหลายทศวรรษอีกต่อไป........
2475 จากอภิวัฒน์สยามสู่ตำนานการเมืองสงฆ์ : ถอดรหัสเจ้าคุณพิพิธฯ ว่าด้วยการเตะสกัดตำแหน่งสังฆราช
________________________________________________________________________วัชรานนท์
เริ่มที่การถือกำเนิด “ธรรมยุตินิกาย” เพียงสั้นๆ ว่าถือกำเนิดขึ้นสมัยรัชกาลที่๓ นับแต่นั้นเป็นต้นมาตำแหน่งสูงสุดในพุทธจักรก็ตกเป็นของพระฝ่ายธรรมยุตินานหลายทศวรรษ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรมมรังสี) ที่ว่าโด่งดังในสมัยนั้น เป็นพระราชาคณะขั้นสมเด็จ (ชั้นสุพรรณบัฏ)เดินเข้านอกออกในเขตพระราชฐานได้(คงจำกันได้ วีรกรรมที่จุดเทียนเดินเข้าวัง) ที่ถือว่าเป็น แคนดิเดท ขึ้นเป็นสังฆราชได้เลยทั้งวัยวุฒิและคุณวุฒิ แต่เมื่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรานุชิตชิโนรสสมเด็จพระสังฆาราชสิ้นพระชนม์ ตำแหน่งสังฆราชว่างลงก็ไม่ได้มีการแต่งตั้งเป็นเวลาหลายปี ซึ่งต่อมาก็ได้แต่งตั้งสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศฯ ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช(ถือว่าเป็นการข้ามสมเด็จพระพุฒนาจารย์(โต)ซึ่งเป็นพระฝ่ายมหานิกายไป: วัชรานนท์) จากนั้นตำแหน่งสังฆราชก็ตกอยู่ที่พระฝ่ายธรรมยุติเรื่อยมา
หลังการอภิวัฒน์ปี2475 ได้มีพระมหาเปรียญหนุ่มไฟแรงจากวัดฝ่ายมหานิกายหลายรูป (บางกระแสกล่าวว่ารวมถึงพระมหาปุ่น วัดเชตุพน ซึ่งหลายๆ ปีต่อมาท่านได้ดำรงแหน่งสังฆราชด้วย) จากวัด เชนตุพน มหาธาตุ เบญจมิบพิตร ฯลฯ เข้าพบนายปรีดี พนมยงค์เพื่อเสนอการปฏิรูปการปกครองคณะสงฆ์เสียใหม่ เช่นว่าการรวมกันลงพระอุโบสถของพระสองนิกายให้กลับมาเหมือนเดิม (เป็นที่ทราบดีว่าพระฝ่ายธรรมยุติตำหนิพระฝ่ายมหานิกายอย่างรุนแรงว่าไม่เคร่งครัดพระวินัย นี่คือเหตุผลที่พระฝ่ายธรรมยุตไม่ขอร่วมลงสังฆกรรมกับพระฝ่ายมหานิกาย) ซึ่งฝ่ายพระมหานิกายเองก็รู้สึกในทำนองว่าเป็น”ลูกเมียน้อย” (ขออภัยที่ต้องใช้คำนี้เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน)นับตั้งแต่การถือกำเนิดธรรมยุตินิกายขึ้นมา เลยขอให้ฝ่ายรัฐบาลของนายปรีดีเข้ามาดูแลเรื่องนี้ นั่นคือที่มาของ พรบ.สงฆ์ ฉบับใหม่ (ซึ่งต่อมาไม่นานก็ถูกฉีกทิ้ง แล้วร่างใหม่อีก ฉบับใหม่ใช้ไม่นานเสร็จก็ฉีกทิ้งอีก เหมือนฝ่ายบ้านเมืองเด๊ะ) ประเด็นหลักๆ ของต้องการปฏิรูปก็คือความเท่าเทียมกันระหว่างพระฝ่ายมหานิกายและฝ่ายธรรมยุติ ซึ่งนั่นก็ถือว่าสำเร็จไปได้ระดับหนึ่ง โดยเฉพาะเรื่องตำแหน่ง “สังฆราช” ไม่ได้ "ผูกขาด" อยู่ที่พระฝ่ายธรรมยุติเหมือนที่เคยถูกครอบครองมาหลายทศวรรษอีกต่อไป........