[Loser Voice] Avengers : Age of Ultron - พล็อตเก่าเล่าใหม่ไม่น่าเบื่อ และเหตุผลที่คู่พระ-นางเป็นเช่นนั้น
.
.
By : TonyMao_NK51
E-Mail : tonymao_nk51@hotmail.com
Facebook Page : TonyMao_NK51
.
“สังคมของมนุษย์ตั้งอยู่บนความไม่สมบูรณ์แบบ และเมื่อใครคิดจะทำให้มันสมบูรณ์แบบ เมื่อนั้นปัญหาจะตามมา”
.
อย่างที่ผมตั้งเป็นหัวคอลัมน์วันนี้แหละครับ
“พล็อตเก่าเล่าใหม่” ของแท้เลย กับเรื่องราวประมาณว่ามีพวกหัวดี-พวกอัจฉริยะสักคน ( หรือหลายคน ) พยายามที่จะ
“จัดระเบียบสังคมมนุษย์” พยายามสร้างโน่นสร้างนี่ขึ้นมาเพื่อที่จะใช้มันป้องกันเรื่องร้ายๆ ทั้งหลายไม่ให้เกิดขึ้น เพราะเชื่อว่าถ้าป้องกันในระดับสูงสุดตั้งแต่ก่อนเริ่มต้น ก็จะไม่ต้องมีการสูญเสียอีก ทว่าผลคือเจ้าสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นนั้นหากไม่ถูกคนที่คิดอะไรร้ายๆ ชิงเอาไปใช้ หรือคนที่ริเริ่มให้สร้างคือพวกวิญญูชนจอมปลอมที่จริงๆ แล้วหวังจะยึดครองโลก ก็จะกลายเป็นตัวเจ้าสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นนี่แหละ ที่จะคิดทำลายล้างสังคมมนุษย์แทนด้วยตัวของมันเอง
.
Avengers : Age of Ultron นี่ก็เช่นกันครับ พล็อตเก่านำมาเล่าใหม่ เมื่อ
Tony Stark ( Iron Man ) เกิดไปได้ข้อมูล
“Project Ultron” มาจากปฏิบัติการถล่มฐานทัพองค์กร
Hydra แล้วสนใจนำมาพัฒนาต่อ เพราะหวังว่าจะช่วยป้องกันไม่ให้กองกำลังนอกโลกเข้ามารุกรานได้ แต่กลายเป็นว่าเมื่อระบบสมบูรณ์ ตัว Ultron เกิดคิดได้เองแล้วเข้าใจว่าต้อง
“ล้างโลก” กำจัดมนุษย์ให้สิ้นซาก ( ซึ่งจริงๆ เกิดจากการที่ Ultron เชื่อมต่อกับ Internet ได้ทั้งโลก ทำให้มันรับรู้ข้อมูลทุกอย่าง รวมถึงประวัติศาสตร์มนุษยชาติที่เต็มไปด้วยสงคราม เลยมองมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่อันตราย )
.
ทว่าแม้โครงเรื่องหลักจะเป็นพล็อตเก่าเล่าใหม่ แต่เนื้อเรื่องย่อยๆ ต่างหากที่น่าสนใจ เห็นได้จากตั้งแต่วันแรกที่หนังเข้าฉาย บรรดาแม่ยกพ่อยกทั้งหลายออกอาการ
“รับไม่ได้” ทันทีที่รู้ว่าผู้สร้างเขียนบทให้
Natasha Romanoff ( Black Widow ) ไปคบหากับ
Bruce Banner ( Hulk ) ซึ่งการที่แฟนหนังไม่น้อย
“ส่ายหัว” แบบนี้ก็ไม่แปลกหรอกครับ เพราะหนังของ Marvel ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็น Avengers ภาคแรก หรือ Captain America : Winter Soldier มันไม่มีอะไรที่ปูมาถึงจุดนี้ได้เลย เมื่อเทียบกับ 2 หนุ่มอย่าง
Clint Barton (Hawkeye) หรือ
Steve Rogers ( Captain America ) ยังไม่นับเรื่องภาพของนักแสดงที่ดูแล้วไม่น่าจะเข้ากันได้อีกต่างหาก
.
( ถ้าจะว่ากันตรงๆ ทั้ง
Jeremy Renner และ
Chris Evans เวลาประกบคู่พระ-นางกับ
Scarlett Johansson ดูลงตัวมากๆ แต่ไม่ใช่สำหรับ
Mark Ruffalo เพราะต้องบอกว่าดูขัดๆ ไปเลยจริงๆ )
.
แต่หากตัดอคติในเรื่องความเข้ากันของนักแสดงออกไป การที่เขียนบทให้ Natasha รู้สึกดีๆ กับ Bruce ก็ถือว่ามีเหตุผลไม่น้อย ถามว่าทำไม? เราลองมาไล่ดูนะครับ Tony กับ Thor นี่ตัดไปเลย เพราะมีคนรักอยู่แล้ว แล้วก็มีความสุขกันดี ส่วน Steve นั้นถ้าว่ากันด้วยเหตุผลบ้านๆ คือ
“เธอดีเกินไป” ( ที่เป็นเหตุผลจริงๆ ไม่ใช่ข้ออ้างในการบอกเลิก ) อย่างที่เห็นๆ ใน Captain America : Winter Soldier แม้ตอนต้นเรื่องดูเหมือน 2 คนนี้จะรู้สึกดีๆ ต่อกัน แต่อย่าลืมว่าตัวของ Natasha มีประวัติที่ดำมืด อยู่กับความรู้สึกผิดบาปที่ตัวเองเคยทำสมัยเป็นจารชนตลอดเวลา เมื่อเทียบกับตัวของ Steve ที่แม้จะเป็นทหาร แต่ก็ไม่เคยต้องทำงานใต้ดินที่ชีวิตเต็มไปด้วยการหลอกลวง ต้องหักหลังได้ทุกคนเพื่อภารกิจ ซึ่งก็น่าจะเช่นเดียวกับ Clint ที่อาจจะเป็นตัวละครแนวเดียวกับ Steve
.
( ผมไม่เคยดูหรืออ่านเนื้อเรื่องแยกย่อยนะครับ เลยขอเดาเช่นนี้ เพราะจาก Avengers : Age of Ultron จะบอกเล่าแค่ว่าตัว Clint ถูกชวนไปร่วมกับหน่วย SHIELD เลยตั้งแต่แรก ไม่ได้กล่าวถึงว่าก่อนหน้านี้เคยเป็นจารชนหรือมือสังหารหน่วยอื่นมาก่อนหรือเปล่า? )
.
หวยก็เลยมาออกที่ Bruce นั่นแหละครับ แม้เขาจะดูเนิร์ดๆ เป็นนักวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ทหารหรือนักฆ่าที่พะบู๊เก่งอย่างคนอื่นๆ แต่ตัว Bruce มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกับ Natasha คือความรู้สึกผิดบาปในสิ่งที่ตัวเองก่อขึ้น อย่างที่เราทราบกันว่าการทดลองที่ผิดพลาด ทำให้เขากลายเป็นสั.ตว์ประหลาดยักษ์ตัวเขียวได้ทุกเมื่อ เขาต้องหลบหนีไปเรื่อยๆ เพราะกลัวว่าจะควบคุมตัวเองไม่ได้แล้วจะไปอาละวาดทำร้ายคนที่ไม่รู้เรื่องด้วย ( ไม่ใช่แค่ความโกรธ แต่อะไรก็ตามที่หากทำให้หัวใจของ Bruce เต้นเร็วมากๆ นั่นล้วนกระตุ้นให้เขากลายเป็น Hulk ได้ทั้งนั้นครับ ) ก็ไม่ต่างอะไรกับชีวิตของจารชน ที่ต้องอยู่ด้วยความกลัวว่าหากมีคนรักที่เป็นคนธรรมดาๆ ไม่ใช่คนที่เคยอยู่ในโลกด้านมืด วันหนึ่งบาปกรรมจากภารกิจในอดีตจะหวนกลับมาและทำร้ายคนที่รักหรือเปล่า?
.
( นี่ก็พล็อตคลาสสิกอย่างนึงครับ..ตัวเอกที่ทำงานในโลกด้านมืด มักไม่อยากมีความรักกับคนในโลกด้านสว่าง เพราะกลัวว่าสิ่งที่ทำจะไปทำร้ายอีกฝ่ายด้วย ล่าสุดก็ Batman : Dark Knight Rise ของ Nolan นั่นแหละครับ แม้ Bruce Wayne จะรู้สึกดีกับผู้หญิงอยู่หลายคน แต่การที่เขาต้องทำงานในโลกมืด ปกปิดตัวเองเป็นมนุษย์ค้างคาว ดังนั้นคนที่คู่ควรก็คือ Catwoman ที่เป็นนางโจรมาก่อน ถือว่าเป็นคนประเภทเดียวกัน สามารถเปิดอกคุยกันได้มากกว่าคนอื่นๆ )
.
ตรงนี้แหละครับที่ผมบอกว่าแม้แกนเรื่องหลักจะเป็นพล็อตเก่าๆ เดิมๆ แต่ปมที่ใส่มาระหว่างดำเนินเรื่อง หากทำให้ดีมันก็กลายเป็นสิ่งดึงดูดให้น่าติดตามได้ ซึ่งนอกจากปมความรักตรงนี้แล้ว ยังมีเรื่องของ
“ครอบครัว” เข้ามาเกี่ยวด้วย โดยเฉพาะบทของ Clint ที่ทั้งใส่มาให้ว่ามีครอบครัวแล้ว ( แถมคนในครอบครัวยังคุ้นเคยกับ Natasha อีกต่างหาก ) , ตอนไปช่วย
Wanda Maximoff (Scarlet Witch ) จากกองกำลัง Ultron และตอนไปช่วยเด็กน้อยที่ยังติดอยู่ในเมืองช่วงท้ายๆ ทำให้บทของมือธนูอย่าง Hawkeye มีมิติมากขึ้นกว่าภาคแรก รวมถึงประวัติของ Natasha ที่การเป็นจารชนรหัส Black Widow นั้นมันเจ็บปวดขนาดไหน? ( ต้องไปดูแล้วจะรู้สึกสงสารเธอครับ บอกใบ้ให้นิดนึง คล้ายๆ กับหนังเก่าอย่าง Naked Weapon ลองหามาชมกันดู )
.
เรื่องของนักแสดงหลัก ทุกคนก็ยังทำหน้าที่ได้ดี แต่ภาคนี้บทของ Mark Ruffalo , Jeremy Renner และ Scarlett Johansson จะเด่นขึ้นกว่าภาคแรก นักแสดงทั้ง 3 คนได้ใช้ Acting สีหน้าและแววตามากขึ้นครับ แม้ตัวดำเนินเรื่องจะยังคงเป็น Robert Downey Jr. กับ Chris Evans ก็ตาม
.
โดยรวมถือว่าดีกว่าภาคแรกครับ..เพราะไม่ใช่แค่หนังรวมพลยอดมนุษย์ไปปราบเหล่าร้ายอย่างเดียว แต่ยังให้ตัวละครหลักมีมิติของความคิด-จิตใจ ที่แม้จะมีพลังพิเศษหรือทักษะพะบู๊ที่เหนือกว่าคนทั่วไป แต่ก็รู้สึกกลัวเป็น เจ็บเป็น และรักเป็น ไม่ได้ต่างจากคนธรรมดาเลย ซึ่งนี่เป็นเสน่ห์ของการ์ตูนฮีโร่ฝั่งอเมริกัน
.
วันนี้เขียนแค่นี้ครับ แล้วพบกันใหม่ สวัสดีครับ
.
------------------------------
.
ปล.อันนี้เกาะกระแสบรรดาขาจิ้นบ้าง : แต่ถึงยังไงผมก็ยังรู้สึกว่า Jeremy Renner นี่แสดงเข้าขากับ Scarlett Johansson กว่านักแสดงหลักคนอื่นๆ ในเรื่องนี้อยู่ดีอะครับ ( แม้แต่ Chris Evans ก็เถอะ ) อย่างฉากที่สปอยครอบนี่แหละ
.
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ฉากท้ายๆ ที่ Clint กับ Natasha ขับรถไปช่วยพวก Avengers คนอื่นๆ แล้วคุยกันเรื่องที่ Clint ชอบทุบบ้านตัวเองเพื่อปรับปรุงนั่นนี่บ่อยๆ ดูยังไงมันก็เหมือนคนเป็นแฟน ( หรืออย่างน้อยก็ต้องเคยเป็นแฟนเก่า ) กันชัดๆ นะครับ
.
จนอยากให้มีหนังที่ทั้งคู่เป็นพระ-นางบ้างเหมือนกัน ( ไม่ต้องเป็นตัวละครใน Marvel ก็ได้ครับ )
[Loser Voice] Avengers : Age of Ultron - พล็อตเก่าเล่าใหม่ไม่น่าเบื่อ และเหตุผลที่คู่พระ-นางเป็นเช่นนั้น
.
.
By : TonyMao_NK51
E-Mail : tonymao_nk51@hotmail.com
Facebook Page : TonyMao_NK51
.
“สังคมของมนุษย์ตั้งอยู่บนความไม่สมบูรณ์แบบ และเมื่อใครคิดจะทำให้มันสมบูรณ์แบบ เมื่อนั้นปัญหาจะตามมา”
.
อย่างที่ผมตั้งเป็นหัวคอลัมน์วันนี้แหละครับ “พล็อตเก่าเล่าใหม่” ของแท้เลย กับเรื่องราวประมาณว่ามีพวกหัวดี-พวกอัจฉริยะสักคน ( หรือหลายคน ) พยายามที่จะ “จัดระเบียบสังคมมนุษย์” พยายามสร้างโน่นสร้างนี่ขึ้นมาเพื่อที่จะใช้มันป้องกันเรื่องร้ายๆ ทั้งหลายไม่ให้เกิดขึ้น เพราะเชื่อว่าถ้าป้องกันในระดับสูงสุดตั้งแต่ก่อนเริ่มต้น ก็จะไม่ต้องมีการสูญเสียอีก ทว่าผลคือเจ้าสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นนั้นหากไม่ถูกคนที่คิดอะไรร้ายๆ ชิงเอาไปใช้ หรือคนที่ริเริ่มให้สร้างคือพวกวิญญูชนจอมปลอมที่จริงๆ แล้วหวังจะยึดครองโลก ก็จะกลายเป็นตัวเจ้าสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นนี่แหละ ที่จะคิดทำลายล้างสังคมมนุษย์แทนด้วยตัวของมันเอง
.
Avengers : Age of Ultron นี่ก็เช่นกันครับ พล็อตเก่านำมาเล่าใหม่ เมื่อ Tony Stark ( Iron Man ) เกิดไปได้ข้อมูล “Project Ultron” มาจากปฏิบัติการถล่มฐานทัพองค์กร Hydra แล้วสนใจนำมาพัฒนาต่อ เพราะหวังว่าจะช่วยป้องกันไม่ให้กองกำลังนอกโลกเข้ามารุกรานได้ แต่กลายเป็นว่าเมื่อระบบสมบูรณ์ ตัว Ultron เกิดคิดได้เองแล้วเข้าใจว่าต้อง “ล้างโลก” กำจัดมนุษย์ให้สิ้นซาก ( ซึ่งจริงๆ เกิดจากการที่ Ultron เชื่อมต่อกับ Internet ได้ทั้งโลก ทำให้มันรับรู้ข้อมูลทุกอย่าง รวมถึงประวัติศาสตร์มนุษยชาติที่เต็มไปด้วยสงคราม เลยมองมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่อันตราย )
.
ทว่าแม้โครงเรื่องหลักจะเป็นพล็อตเก่าเล่าใหม่ แต่เนื้อเรื่องย่อยๆ ต่างหากที่น่าสนใจ เห็นได้จากตั้งแต่วันแรกที่หนังเข้าฉาย บรรดาแม่ยกพ่อยกทั้งหลายออกอาการ “รับไม่ได้” ทันทีที่รู้ว่าผู้สร้างเขียนบทให้ Natasha Romanoff ( Black Widow ) ไปคบหากับ Bruce Banner ( Hulk ) ซึ่งการที่แฟนหนังไม่น้อย “ส่ายหัว” แบบนี้ก็ไม่แปลกหรอกครับ เพราะหนังของ Marvel ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็น Avengers ภาคแรก หรือ Captain America : Winter Soldier มันไม่มีอะไรที่ปูมาถึงจุดนี้ได้เลย เมื่อเทียบกับ 2 หนุ่มอย่าง Clint Barton (Hawkeye) หรือ Steve Rogers ( Captain America ) ยังไม่นับเรื่องภาพของนักแสดงที่ดูแล้วไม่น่าจะเข้ากันได้อีกต่างหาก
.
( ถ้าจะว่ากันตรงๆ ทั้ง Jeremy Renner และ Chris Evans เวลาประกบคู่พระ-นางกับ Scarlett Johansson ดูลงตัวมากๆ แต่ไม่ใช่สำหรับ Mark Ruffalo เพราะต้องบอกว่าดูขัดๆ ไปเลยจริงๆ )
.
แต่หากตัดอคติในเรื่องความเข้ากันของนักแสดงออกไป การที่เขียนบทให้ Natasha รู้สึกดีๆ กับ Bruce ก็ถือว่ามีเหตุผลไม่น้อย ถามว่าทำไม? เราลองมาไล่ดูนะครับ Tony กับ Thor นี่ตัดไปเลย เพราะมีคนรักอยู่แล้ว แล้วก็มีความสุขกันดี ส่วน Steve นั้นถ้าว่ากันด้วยเหตุผลบ้านๆ คือ “เธอดีเกินไป” ( ที่เป็นเหตุผลจริงๆ ไม่ใช่ข้ออ้างในการบอกเลิก ) อย่างที่เห็นๆ ใน Captain America : Winter Soldier แม้ตอนต้นเรื่องดูเหมือน 2 คนนี้จะรู้สึกดีๆ ต่อกัน แต่อย่าลืมว่าตัวของ Natasha มีประวัติที่ดำมืด อยู่กับความรู้สึกผิดบาปที่ตัวเองเคยทำสมัยเป็นจารชนตลอดเวลา เมื่อเทียบกับตัวของ Steve ที่แม้จะเป็นทหาร แต่ก็ไม่เคยต้องทำงานใต้ดินที่ชีวิตเต็มไปด้วยการหลอกลวง ต้องหักหลังได้ทุกคนเพื่อภารกิจ ซึ่งก็น่าจะเช่นเดียวกับ Clint ที่อาจจะเป็นตัวละครแนวเดียวกับ Steve
.
( ผมไม่เคยดูหรืออ่านเนื้อเรื่องแยกย่อยนะครับ เลยขอเดาเช่นนี้ เพราะจาก Avengers : Age of Ultron จะบอกเล่าแค่ว่าตัว Clint ถูกชวนไปร่วมกับหน่วย SHIELD เลยตั้งแต่แรก ไม่ได้กล่าวถึงว่าก่อนหน้านี้เคยเป็นจารชนหรือมือสังหารหน่วยอื่นมาก่อนหรือเปล่า? )
.
หวยก็เลยมาออกที่ Bruce นั่นแหละครับ แม้เขาจะดูเนิร์ดๆ เป็นนักวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ทหารหรือนักฆ่าที่พะบู๊เก่งอย่างคนอื่นๆ แต่ตัว Bruce มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกับ Natasha คือความรู้สึกผิดบาปในสิ่งที่ตัวเองก่อขึ้น อย่างที่เราทราบกันว่าการทดลองที่ผิดพลาด ทำให้เขากลายเป็นสั.ตว์ประหลาดยักษ์ตัวเขียวได้ทุกเมื่อ เขาต้องหลบหนีไปเรื่อยๆ เพราะกลัวว่าจะควบคุมตัวเองไม่ได้แล้วจะไปอาละวาดทำร้ายคนที่ไม่รู้เรื่องด้วย ( ไม่ใช่แค่ความโกรธ แต่อะไรก็ตามที่หากทำให้หัวใจของ Bruce เต้นเร็วมากๆ นั่นล้วนกระตุ้นให้เขากลายเป็น Hulk ได้ทั้งนั้นครับ ) ก็ไม่ต่างอะไรกับชีวิตของจารชน ที่ต้องอยู่ด้วยความกลัวว่าหากมีคนรักที่เป็นคนธรรมดาๆ ไม่ใช่คนที่เคยอยู่ในโลกด้านมืด วันหนึ่งบาปกรรมจากภารกิจในอดีตจะหวนกลับมาและทำร้ายคนที่รักหรือเปล่า?
.
( นี่ก็พล็อตคลาสสิกอย่างนึงครับ..ตัวเอกที่ทำงานในโลกด้านมืด มักไม่อยากมีความรักกับคนในโลกด้านสว่าง เพราะกลัวว่าสิ่งที่ทำจะไปทำร้ายอีกฝ่ายด้วย ล่าสุดก็ Batman : Dark Knight Rise ของ Nolan นั่นแหละครับ แม้ Bruce Wayne จะรู้สึกดีกับผู้หญิงอยู่หลายคน แต่การที่เขาต้องทำงานในโลกมืด ปกปิดตัวเองเป็นมนุษย์ค้างคาว ดังนั้นคนที่คู่ควรก็คือ Catwoman ที่เป็นนางโจรมาก่อน ถือว่าเป็นคนประเภทเดียวกัน สามารถเปิดอกคุยกันได้มากกว่าคนอื่นๆ )
.
ตรงนี้แหละครับที่ผมบอกว่าแม้แกนเรื่องหลักจะเป็นพล็อตเก่าๆ เดิมๆ แต่ปมที่ใส่มาระหว่างดำเนินเรื่อง หากทำให้ดีมันก็กลายเป็นสิ่งดึงดูดให้น่าติดตามได้ ซึ่งนอกจากปมความรักตรงนี้แล้ว ยังมีเรื่องของ “ครอบครัว” เข้ามาเกี่ยวด้วย โดยเฉพาะบทของ Clint ที่ทั้งใส่มาให้ว่ามีครอบครัวแล้ว ( แถมคนในครอบครัวยังคุ้นเคยกับ Natasha อีกต่างหาก ) , ตอนไปช่วย Wanda Maximoff (Scarlet Witch ) จากกองกำลัง Ultron และตอนไปช่วยเด็กน้อยที่ยังติดอยู่ในเมืองช่วงท้ายๆ ทำให้บทของมือธนูอย่าง Hawkeye มีมิติมากขึ้นกว่าภาคแรก รวมถึงประวัติของ Natasha ที่การเป็นจารชนรหัส Black Widow นั้นมันเจ็บปวดขนาดไหน? ( ต้องไปดูแล้วจะรู้สึกสงสารเธอครับ บอกใบ้ให้นิดนึง คล้ายๆ กับหนังเก่าอย่าง Naked Weapon ลองหามาชมกันดู )
.
เรื่องของนักแสดงหลัก ทุกคนก็ยังทำหน้าที่ได้ดี แต่ภาคนี้บทของ Mark Ruffalo , Jeremy Renner และ Scarlett Johansson จะเด่นขึ้นกว่าภาคแรก นักแสดงทั้ง 3 คนได้ใช้ Acting สีหน้าและแววตามากขึ้นครับ แม้ตัวดำเนินเรื่องจะยังคงเป็น Robert Downey Jr. กับ Chris Evans ก็ตาม
.
โดยรวมถือว่าดีกว่าภาคแรกครับ..เพราะไม่ใช่แค่หนังรวมพลยอดมนุษย์ไปปราบเหล่าร้ายอย่างเดียว แต่ยังให้ตัวละครหลักมีมิติของความคิด-จิตใจ ที่แม้จะมีพลังพิเศษหรือทักษะพะบู๊ที่เหนือกว่าคนทั่วไป แต่ก็รู้สึกกลัวเป็น เจ็บเป็น และรักเป็น ไม่ได้ต่างจากคนธรรมดาเลย ซึ่งนี่เป็นเสน่ห์ของการ์ตูนฮีโร่ฝั่งอเมริกัน
.
วันนี้เขียนแค่นี้ครับ แล้วพบกันใหม่ สวัสดีครับ
.
------------------------------
.
ปล.อันนี้เกาะกระแสบรรดาขาจิ้นบ้าง : แต่ถึงยังไงผมก็ยังรู้สึกว่า Jeremy Renner นี่แสดงเข้าขากับ Scarlett Johansson กว่านักแสดงหลักคนอื่นๆ ในเรื่องนี้อยู่ดีอะครับ ( แม้แต่ Chris Evans ก็เถอะ ) อย่างฉากที่สปอยครอบนี่แหละ
.
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
.
จนอยากให้มีหนังที่ทั้งคู่เป็นพระ-นางบ้างเหมือนกัน ( ไม่ต้องเป็นตัวละครใน Marvel ก็ได้ครับ )